หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 40

ตอนที่ 40

มันคือภาพสมัยที่เธอยังฟันหลอ สวมชุดจีนแขนยาวปกตั้งสีแดงเข้ม หน้าผากแต้มด้วยจุดสีแดง ปากแดง แก้มถูกระบายด้วยสีแดงยาวไปจนถึงใบหู

 

“ให้ตายเถอะ ฉันมีช่วงที่ขี้เหร่ขนาดนี้ด้วยเหรอ?”

 

ที่น่าประหลาดใจไปกว่านั้นคือลายเซ็นของใครคนหนึ่งหลังภาพถ่าย ตัวหนังสือตวัดราวกับมังกรฉวัดเฉวียน ดูก็รู้ว่าคนเขียนน่าจะฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

 

กู้เซียงรู้จักเจ้าของลายเซ็น เพราะเคยเห็นเขาแจกแฟนคลับนับครั้งไม่ถ้วน

 

คนคนนั้นก็คือจ่านหยาง

 

 

เรื่องโลดโผนมักอยู่ในละคร แต่ชีวิตจริงมักราบเรียบและจืดชืด

 

แม้จะเป็นนักแสดงชื่อดัง ซึ่งคนนอกมองว่ามีชีวิตหรูหรารุ่งเรืองจนน่าอิจฉา แต่หากให้พูดถึงชีวิตของตัวเอง พวกเขาคงบอกแค่ว่าจำเจและจืดชืด

 

ตอนแสดงละครอาจดูกระตือรือร้น แต่ส่วนใหญ่จ่านหยางจะสุขุมและเรียบง่าย มีเพียงไม่กี่ชั่วโมงและไม่กี่เรื่องที่ทำให้อารมณ์ของเขาแปรปรวน

 

อย่างตอนที่แสดงเป็นจอมยุทธ์ในภาพยนตร์กำลังภายใน เขาได้เอ่ยประโยคที่ขัดกับบุคลิกของตนเองออกมาว่า “ข้าอยากขี่ม้าที่เร็วที่สุด ปีนขึ้นภูเขาที่สูงที่สุด ซ้อมดาบที่คมที่สุด ฆ่าคนที่เลวที่สุด ดื่มเหล้าที่ร้อนแรงที่สุด และนอนกับผู้หญิงที่สวยที่สุด”

 

แน่นอนว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ขี่ม้าเร็วเกินไปก็อันตราย ไหนจะยุ่งจนไม่มีเวลาไปปีนเขาที่สูงที่สุดอีก เหล้าแรงเกินไปก็ทำลายสุขภาพ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่สวยที่สุดมาก่อน

 

นี่คือชีวิตจริงของจ่านหยาง ซึ่งมีอยู่สองส่วนใหญ่ๆ เมื่อต้องไปทำงาน เขาจะได้พบผู้คนมากมายหลายประเภท รู้สึกทั้งตื่นเต้นและโล่งใจ ดุเดือดและสงบเงียบคล้ายได้เป็นอิสระ ส่วนชีวิตจริง คนที่พบเจอล้วนหวังแค่ชื่อเสียงและผลประโยชน์ ไม่จริงใจสักคน

 

ภายนอก จ่านหยางคือสุภาพบุรุษที่หาได้ยากยิ่ง มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ถึงความอ้างว้างในใจ

 

เขาเหมือนคนที่ดูหนังเป็นหมื่นครั้ง ทำเรื่องเดิมซ้ำๆ จนรู้สึกจืดชืด วันนี้ก็เช่นกัน

 

บนชั้น Business Class ของเครื่องบินที่จะเดินทางจากแคนาดาไปจีน จ่านหยางสวมผ้าปิดปาก ดึงหมวกของเสื้อคลุมลงปิดบังศีรษะ รูดซิปถึงคาง พอใส่แว่นดำใบหน้าก็ถูกปิดจนเกือบมิด ข้างๆ คือชายสูงวัยที่กำลังนั่งอ่านนิตยสาร ท่าทางเหมือนนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

 

แอร์โฮสเตสสาวสวยเดินทำท่าเขินอายมาหาจ่านหยาง ก่อนจะโน้มตัวลงถามด้วยเสียงแผ่วเบา

 

“ฉันเป็นแฟนคลับของคุณ ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ?” พูดจบก็ส่งสมุดให้เขา

 

เธอเป็นแฟนคลับที่คลั่งไคล้เขามาก เพราะในนั้นมีแต่รูปของเขา ทั้งภาพถ่ายทั่วไปและโปสต์การ์ดที่ซื้อมา

 

จ่านหยางใจเย็นกับแฟนคลับเสมอ หากมีใครสักคนรักคุณ ก็ควรค่าแก่การซาบซึ้งและดีใจ

 

เขาบรรจงเซ็นลงสมุดแล้วพยักหน้าให้แอร์โฮสเตส “ขอบคุณครับ”

 

แอร์โฮสเตสสาวตื่นเต้นจนพูดไม่ออก หลังซ่อนสมุดไว้ด้านหลังก็ก้มหน้าจากไปอย่างรวดเร็ว

 

ตำแหน่งที่เขานั่งเป็นมุมอับ จึงไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ อีกทั้งชายสูงวัยที่นั่งข้างๆ ก็เป็นแค่คุณพ่อที่ชอบอ่านข่าวและดูฟุตบอลเท่านั้น

 

“คุณคือจ่านหยางเหรอ?”

 

จ่านหยางอึ้งไปเล็กน้อย เสน่ห์ของเขาลามไปถึงกลุ่มคุณพ่อแล้วเหรอเนี่ย?

 

พอตั้งสติได้ จ่านหยางก็พยักหน้าช้าๆ

 

“ผมรู้จักคุณ คุณเป็นเพื่อนร่วมงานของลูกสาวผม”

 

“คุณลุง จำคนผิดหรือเปล่าครับ?”

 

“ไม่ผิดแน่นอน นิตยสารบันเทิงรายวันยังมีรูปเธอกับคุณอยู่เลย เสียดายที่ผมไม่ได้เอามา ไม่งั้นจะเอาให้ดู”

 

จ่านหยางนึกย้อนถึงข่าวบันเทิงรายวัน เขาเพิ่งถูกสัมภาษณ์เดี่ยวไป ไม่มีดาราหญิงร่วมด้วยสักคน หรืออีกฝ่ายจะเป็นพวกความจำสั้น

 

“ลูกสาวผมเพิ่งเข้าวงการบันเทิง คนที่ได้รางวัลนกยูงทองยังสวยสู้เธอไม่ได้เลย แต่เธอไม่เน้นหน้าตานะ เน้นความสามารถด้านการแสดงมากกว่า ลูกคนนี้ก็เหมือนผมนั่นแหละ ไหวพริบดี ฉลาด ขยัน เห็นว่าเพิ่งได้เล่นหนังเรื่องเหมยจวงที่เป็นแนวพีเรียดน่ะ อีกหน่อยคงดังระเบิดระเบ้อ”

 

ผู้ชายคนนี้เหมือนจะไม่สนใจวงการบันเทิง แต่ก็ศึกษาหาข้อมูลเพื่อลูกสาวไม่น้อย

 

เซียงเซียงที่คุณพ่อคนนี้พูดถึงน่าจะเป็นเด็กใหม่ แต่ละปีมีนักแสดงเข้าสู่วงการบันเทิงไม่น้อย และไม่ใช่ว่าทุกคนจะดัง แต่ดูเหมือนเธอจะพิเศษกว่าใคร

 

“เสี่ยวจ่าน” ชายสูงวัยตบบ่าของเขาอย่างคุ้นเคย “ในเมื่อเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว ฝากดูแลเธอด้วยนะ กู้เซียงเป็นคนอ่อนโยน รู้ประสา ใจกว้าง วางตัวดี ไม่เคยโมโหใส่ใคร พูดเสียงดังนิดหน่อยก็กลัวแล้ว อาจจะดื้อไปบ้าง เลยอยากให้รุ่นพี่อย่างคุณที่รู้เรื่องในวงการมากกว่าช่วยสอน ผมขอละ… ช่วยดูแลเธอด้วย”

 

ฝ่ายนั้นทำตัวสนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี ทั้งที่จ่านหยางไม่รู้ชื่อของคุณลุงคนนี้ด้วยซ้ำ

 

“ตอนยังไม่เข้าวงการ เซียงเซียงคลั่งไคล้คุณมาก เรียกว่าเป็นไอดอลเลยแหละ บอกว่าคุณเป็นคนดี ฉลาด อ่อนโยน มีมารยาท และไม่ถือตัว ซึ่งหาได้ยากมากในวงการบันเทิง”

 

ประโยคนี้คล้ายประโยคปิดท้ายบทสัมภาษณ์ของเขา ซึ่งลงในนิตยสารบันเทิงรายวันฉบับก่อนหน้า

 

“เธอบอกผมว่าจะต้องเป็นดาราที่ดีเหมือนคุณให้ได้”

 

ใบหน้าภายใต้ผ้าปิดปากของจ่านหยางแดงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาเคยถูกชมมานักต่อนัก ทั้งจากคนทั่วไป แฟนคลับ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ และพิธีกรในรายการสัมภาษณ์ แต่ไม่เคยถูกชายสูงวัยชมด้วยท่าทางเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็กมาก่อน

 

“ช่วยเซ็นลายเซ็นให้ลูกสาวผมหน่อยได้ไหม?”

 

เขาหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วดึงรูปเก่าๆ ใบหนึ่งออกมา รูปนี้ทั้งยับและเก่าจนเป็นสีเหลือง

 

ในภาพคือเด็กน้อยอายุประมาณสี่ห้าขวบ สวมชุดจีนแขนยาวสีแดง ถักเปียสองข้าง บนหน้าผากมีจุดสีแดงแต้มอยู่ ปัดแก้มยาวไปจนถึงข้างหู แย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดีทั้งที่ไม่มีฟันหน้า

 

“สวยตั้งแต่เด็กเลยใช่ไหม?”

 

หลังเซ็นรูปให้ก็ยังถูกอีกฝ่ายชวนคุยเรื่องในวงการบันเทิงต่อ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของศิลปิน ความลำบากในการทำงาน และความรับผิดชอบต่างๆ

 

จ่านหยางตอบคำถามอย่างใจเย็น กระทั่งเครื่องบินถึงที่หมายก็บังเอิญได้ยินชายผู้นั้นคุยโทรศัพท์กับใครบางคน

 

เสียงสั่งการทั้งคล่องแคล่วและชัดเจน เต็มไปด้วยไหวพริบตามแบบฉบับของนักธุรกิจ ต่างจากคุณลุงที่เพิ่งคุยกับเขาเมื่อครู่

 

หลังสั่งงานเสร็จ เขาก็โทรหาลูกชายเพื่อเล่าเรื่องที่เจอกับจ่านหยาง

 

“กู้หนาน วันนี้พ่อเจอเพื่อนร่วมงานของพี่สาวแกด้วยนะ ว่างๆ ก็ไปเยี่ยมพี่เขาหน่อย ทำงานหนักขนาดนั้นจะป่วยเอาได้”

 

พอกลับถึงบ้าน จ่านหยางก็ขอนิตยสารบันเทิงรายวันจากถางรุ่ย แล้วก็ได้เห็นเซียงเซียงคนที่ชายสูงวัยคนนั้นพูดถึง

 

เธอชื่อว่ากู้เซียง เป็นนางแบบโฆษณาเครื่องดื่มที่อยู่มุมล่างของหนังสือ แม้ภาพจะไม่ชัดมาก แต่ก็ดูออกว่าเป็นคนหน้าตาดี

 

สวยตั้งแต่เด็กจริงๆ ด้วย

 

หากมีโอกาส เขาก็ยินดีจะดูแลเธอ คิดไม่ถึงว่าโอกาสจะมาถึงเร็วขนาดนี้…

 

ขณะนั่งรอถางรุ่ยอยู่ในห้องรับรองนักแสดง จ่านหยางก็ได้ยินละครฉากหนึ่งพอดี

 

เสียงของผู้หญิงคนนั้นเย็นชาและหยิ่งผยอง แม้จะมีม่านกั้น ก็พอจะเดาสีหน้าเย้ยหยันของผู้พูดได้

 

“คิดว่ากรรไกรของเธอหรือมือของฉันเร็วกว่ากันล่ะ?!”

 

ความกล้าหาญของเธอทำเขาแทบอยากปรบมือให้ จากนั้นม่านก็ถูกเปิดออก เขาจำได้ว่าหญิงสาวในชุดกระโปรงสั้นตรงหน้าคือสาวสวยที่เป็นพรีเซนเตอร์เครื่องดื่มในช่องโฆษณาเล็กๆ ของนิตยสาร คือเซียงเซียงที่คุณพ่อคนนั้นพูดถึง

 

“กู้เซียงเป็นคนอ่อนโยน รู้ประสา ใจกว้าง วางตัวดี ไม่เคยโมโหใส่ใคร พูดเสียงดังนิดหน่อยก็กลัวแล้ว”

 

อืม ดูไม่ออกเลยจริงๆ…

 

เธอมองจ่านหยางด้วยสีหน้าประหลาดใจ ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นเหมือนแสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่ง

 

หลังดึงม่านปิด กู้เซียงก็หันไปโกหกกับผู้จัดการส่วนตัวอย่างแนบเนียน ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่พ่อของเธอไม่ได้บอก

 

ฝีมือโกหกเป็นเลิศ!

 

ในฐานะรุ่นพี่ จะสนับสนุนรุ่นน้องสักหน่อยคงไม่เป็นไร เพราะยังไงเขาก็เป็นไอดอลของเธอ

 

แต่ที่จ่านหยางไม่รู้ก็คือ เขาไม่เพียงไม่ฝืนใจช่วย แต่ยังเต็มใจช่วยแบบเป็นกันเอง ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ขอด้วยซ้ำ

 

เขารู้เพียงว่า ชีวิตที่จืดชืดจำเจเริ่มมีสีสันขึ้นบ้างแล้ว และเธอก็คือสีสันที่วิเศษที่สุด

 

ชีวิตคนเราไม่ได้ราบเรียบเสมอไป เพียงแต่สีสันที่ปรากฏคือสิ่งที่รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ อาจเพราะได้เจอตัวเอกของเรื่องแล้วก็เป็นได้

 

ต้องมีสักวันที่คุณจะได้ขี่ม้าที่เร็วที่สุด พาตัวเองไปปีนเขาที่สูงที่สุด ได้ลิ้มรสเหล้าที่ร้อนแรงที่สุด และมีโอกาสได้เจอผู้หญิงที่สวยที่สุด

 

 

หลังการสารภาพรักเพียงไม่กี่วัน ผู้จัดการส่วนตัวของจ่านหยางก็ออกมาแถลงข่าว

 

“ทั้งสองคบหากันแล้ว หวังว่าจะได้รับคำอวยพรจากทุกคน”

 

เรื่องนี้กลายเป็นกระแสในโลกอินเทอร์เน็ตแบบมืดฟ้ามัวดิน เหล่าแฟนคลับต่างใจสลายเมื่อรู้ว่าไอดอลในดวงใจมีเจ้าของแล้ว แต่ก็ยังอวยพรทั้งน้ำตา

 

ตู้หยู่ให้เสี่ยวหมิ่นดูคลิปวิดีโอที่ตัดต่อคู่รักในสวนสนุกชิงกวางไปเป็นคู่ของจ่านหยางกับกู้เซียงอย่างแนบเนียน

 

“ฉันอยากจะบ้าตาย!” เสี่ยวหมิ่นมองภาพของจ่านหยางด้วยแววตาเจ็บปวด “เขาทิ้งแฟนคลับแล้ว เกลียดที่สุดเลย!”

 

“อย่าคิดแบบนั้นสิ” ตู้หยู่ปลอบเพื่อนรัก “เซียงเซียงทั้งสวยทั้งเก่ง คนทั้งวงการบันเทิงไม่มีใครเหมาะสมกับจ่านหยางเท่าเธอแล้ว กิ่งทองใบหยกชัดๆ”

 

“เพ้อเจ้อ!” เสี่ยวหมิ่นเบ้ปาก “หรือบริษัทแค่ปั่นกระแส พวกเขาอาจไม่ได้คบกันจริงๆ”

 

“ถ้าเป็นอย่างที่เธอว่า จ่านหยางคงเสียสติไปแล้ว” ตู้หยู่ตอบแบบไม่ลังเล

 

“ก็จริง เขาเท่ขนาดนั้น จะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม” เสี่ยวหมิ่นทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท