“ดีมาก!” ถางรุ่ยผิวปาก
จ่านหยางค่อยๆ ปล่อยร่างของกู้เซียง
“เอาแบบนี้อีกรอบหนึ่ง!”
“หา?” จ่านหยางทำตาโต
ฉากนี้ถูกถ่ายอีกครั้งและผ่านไปอย่างราบรื่น กู้เซียงเป็นนักแสดงมืออาชีพอยู่แล้วจึงรับมือฉากจูบได้แบบสบายๆ ส่วนจ่านหยางก็แสดงได้เข้าถึงอารมณ์และสมจริงเนื่องจากผ่านการซ้อมรอบหนึ่งแล้ว
“คัท!”
พอแยกออกจากกัน จ่านหยางก็เอื้อมไปหยิบน้ำแล้วกระดกดื่มคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คำว่า “อืม” ที่ออกจากปากของเขา รวมถึงใบหูและลำคอที่แดงก่ำช่วยยืนยันความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
กู้เซียงยักไหล่ให้กับความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย ส่วนจ่านหยางก็รีบออกไปสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์
เจี่ยงลี่ลี่ส่งผ้าขนหนูให้กู้เซียงแล้วนั่งลงข้างๆ “อิจฉาพวกเธอจัง ได้อวดความหวานทั้งในและนอกจอ”
เธอลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นแฟนกับจ่านหยาง จึงตกใจที่เขาออกอาการเขินเพราะอาจทำให้ถูกจับได้
“ได้ข่าวว่าจะย้ายบ้านเหรอ?” เจี่ยงลี่ลี่ถาม
“ใช่ค่ะ ที่ที่ฉันพักอยู่เดินทางไม่ค่อยสะดวก” กู้เซียงตอบ
พอเริ่มมีชื่อเสียง การต้องอาศัยอยู่ใจกลางเมืองก็เริ่มจะไม่ปลอดภัย เธอจึงให้เหวินจิ้งหาที่อยู่แถบชานเมืองให้
อะพาร์ตเมนต์หลังใหม่ของเธอถูกเศรษฐีกว้านซื้อไปแล้วทั้งตึก ก่อนจะปล่อยเช่าในราคาที่ค่อนข้างสูง ผู้อยู่อาศัยจึงมีไม่มาก
แม้ราคาจะสูง แต่เงินก้อนใหญ่ที่ได้จากละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนและภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ก็พอจะทำให้เธอจ่ายค่าเช่าไหว
ปัญหาหลักในตอนนี้คือเธอต้องการยกเลิกสัญญากับหัวเซินให้เร็วที่สุด
ผ่านพ้นช่วงตรุษจีนเข้าสู่เดือนสี่ การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ทีมงานเร่งมือตัดต่อเพื่อให้ทันฉายตอนสิ้นปี ส่วนสัญญาระหว่างกู้เซียงกับหัวเซินก็ใกล้จะครบวาระแล้วเช่นกัน
ต้นปี 2013 โมเดลลิ่งของบริษัทหัวเซินพบกู้เซียงโดยบังเอิญ หลังเซ็นสัญญาเธอก็ได้งานถ่ายโฆษณาเครื่องดื่ม แต่สัญญานี้มีระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น
สัญญาแบบนี้เอื้อประโยชน์ต่อบริษัทแต่ไม่ใช่กับศิลปิน เพราะหากไม่มีผลงานหรือทำไม่ได้ตามเป้า ก็แค่ไม่ต่อสัญญาด้วย แต่หากศิลปินคนไหนเกิดดังเปรี้ยงปร้าง บริษัทก็แทบคุกเข่าอ้อนวอนให้อยู่ต่อ
แม้จะมีบริษัทใหญ่ๆ มาขอให้ไปอยู่ด้วย ศิลปินก็มักจะเลือกอยู่กับบริษัทเดิมเพื่อดูกระแส เพราะการแก่งแย่งในบริษัทใหญ่นั้นสูงมาก
ทว่าทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้กับกู้เซียง เธอโด่งดังอย่างรวดเร็วราวกับติดจรวด คนอื่นยังไม่ทันตั้งตัวเธอก็ดังระดับประเทศไปแล้ว ไหนจะเพียบพร้อมทั้งหน้าตาและฝีมือการแสดง แถมยังเป็นแฟนของจ่านหยางอีก
เหตุผลหลักที่ทำให้เธออยากยกเลิกสัญญาคือการถูกแบนงานอย่างไร้เหตุผล ซ้ำยังแอบทำข้อตกลงลับๆ กับหลี่ซั่วอีก
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน บริษัทเล็กก็คือบริษัทเล็ก ไม่สามารถผลักดันเธอให้ไปได้ไกลกว่านี้ ทั้งยังไร้วิสัยทัศน์จนต้องสูญเสียแม่ไก่ที่ออกไข่เก่งอย่างเธอไป
ผู้บริหารของหัวเซินอย่าง ‘เฉินเว่ยเต๋อ’ และ ‘จงหลิน’ ทนายความ นั่งรอกู้เซียงที่บริษัทตั้งแต่เช้าตรู่ เนื่องจากได้รับแจ้งว่าเธอต้องการยกเลิกสัญญา
เฉินเว่ยเต๋อแทบคลั่ง ตอนรับกู้เซียงเข้ามาเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ถึงเธอจะดูดีกว่าศิลปินที่เซ็นสัญญาช่วงเดียวกันก็ตาม แต่ด้วยความที่ประจบประแจงไม่เก่ง แถมยังเอาแต่ใจและอารมณ์ร้อน เลยไม่ได้รับการผลักดันเท่าที่ควร
ยิ่งมีเหตุการณ์ในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องเหมยจวง เฉินเว่ยเต๋อก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตัวเอง ถึงขั้นใช้เรื่องนี้เป็นบทเรียนให้กู้เซียง คิดไม่ถึงว่าเธอจะโชคดีได้เป็นนักแสดงร่วมในละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วน และโด่งดังเป็นพลุแตกจากบทของพระชายาเฉิน
เขาเป็นเพียงนักธุรกิจคนหนึ่ง ไม่มีความรู้เรื่องศิลปะการแสดง จึงไม่รู้สึกว่ากู้เซียงมีฝีมืออะไร คิดเพียงว่าเป็นการปั่นกระแสของทีมงานเท่านั้น
จนถึงตอนนี้ หัวเซินยังคงเป็นแค่บริษัทบันเทิงเล็กๆ แถมผู้บริหารยังมีนิสัยละโมบโลภมากอีก เฉินเว่ยเต๋อคิดว่าการได้หลี่ซั่วมาเป็นนายทุนจะทำให้หัวเซินมีอนาคตที่สดใส จึงทอดทิ้งกู้เซียงอย่างไม่ลังเล
แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร กู้เซียงไม่เพียงมีงานเข้ามาเรื่อยๆ แต่ยังดังเป็นพลุแตก แถมเข้าตาถางรุ่ยและได้คบกับจ่านหยางอีก กลายเป็นหลี่ซั่วที่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เฉินเว่ยเต๋อได้แต่ก่นด่าอีกฝ่ายเรื่องที่ผิดคำพูด ส่วนกู้เซียงก็คือคนเนรคุณที่พอปีกกล้าขาแข็งก็คิดจะบินหนี
เฉินเว่ยเต๋อนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน โดยมีจงหลินนั่งประกบข้างคอยเปิดดูสัญญา
บริษัทมักเป็นฝ่ายได้เปรียบเสมอ ไม่ใช่เพราะความพิเศษของสายงานบันเทิง แต่เพราะนายจ้างไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับลูกจ้าง แม้ภายนอกจะดูเท่าเทียมก็ตาม
เฉินเว่ยเต๋อสวมชุดสูท รองเท้าหนัง นั่งรอด้วยใจที่กระสับกระส่าย ริมฝีปากมีแผลร้อนในเนื่องจากความเครียดสะสม ส่วนจงหลินก็ตัดผมสั้นสะอาดสะอ้าน สวมแว่นกรอบเงิน หน้าตาคงแก่เรียน มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนเก่งที่เข้าถึงยาก
เมื่อนาฬิกาชี้บอกเวลาเก้าโมงตรง กู้เซียงก็เดินเข้ามาในห้อง
เธอสวมเสื้อคลุมสีดำตัวบาง ปล่อยชายยาวจนถึงข้อเท้า รัดเอวด้วยเข็มขัดสีน้ำตาล เผยให้เห็นทรวดทรงชวนหลงใหล ใส่รองเท้าส้นสูงแหลมเพิ่มความสง่า ม้วนผมเป็นลอนหลวมๆ และซ่อนใบหน้ากะทัดรัดภายใต้แว่นตาดำอันใหญ่
เฉินเว่ยเต๋อลุกขึ้นยืนต้อนรับ เมื่อพบว่าตัวเองเตี้ยกว่าอีกฝ่ายก็เริ่มหน้าเจื่อน
กู้เซียงถอดแว่นตาดำออกแล้วกล่าวทักทาย “ไม่เจอกันนานเลยนะคะบอส”
ตั้งแต่เริ่มถ่ายละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วน เธอก็ไม่ได้เจอเฉินเว่ยเต๋ออีก
เหวินจิ้งรู้ดีว่าบริษัทจงใจลดบทบาทกู้เซียง จึงอยากมาเจรจาให้จบๆ จะได้เดินกันคนละทางเสียที
เฉินเว่ยเต๋อมองหญิงสาวตรงหน้าที่ทั้งสวยและน่าเกรงขาม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีบุคลิกแบบซูเปอร์สตาร์ บางคนทั้งชีวิตเป็นได้แค่ดาราอันดับสามเท่านั้น
“นั่งก่อนสิ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรีบ” กู้เซียงคลี่ยิ้มเย็น
ได้ยินเช่นนี้ เหวินจิ้งก็รีบหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋า
“ช่วยเซ็นตรงนี้ด้วยค่ะบอส”
เฉินเว่ยเต๋อเคยแต่ถูกคนในบริษัทประจบประแจงเอาใจ ไม่เคยถูกใครปฏิบัติอย่างไม่ให้เกียรติมาก่อน พอถูกกู้เซียงเมินเฉยจึงโกรธแทบคลั่ง แต่ก็ต้องสะกดกลั้นเอาไว้
“บริษัทเป็นคนชักจูงเธอเข้าวงการ ทำแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ? พูดจากันดีๆ ก็ได้นี่”
“บริษัทดีๆ เขาไม่แบนงานเด็กในสังกัดโดยไร้เหตุผลหรอกค่ะ!” เหวินจิ้งประชด
เฉินเว่ยเต๋อยิ้มตอบ “คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะ อย่าวู่วามไปหน่อยเลย คิดถึงอนาคตของตัวเองบ้าง หัวเซินของเรายึดมั่นความซื่อสัตย์เป็นที่สุดนะ”
“ซื่อสัตย์?” กู้เซียงเบ้ปาก “บอสกำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหม?”
เฉินเว่ยเต๋ออึ้งไปเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะเธอยังมีประโยชน์ เขาคงไม่ลดตัวลงมาขอร้องขนาดนี้
หลังได้รับสัญญาณ จงหลินก็ดันแว่นให้เข้าที่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณกู้คะ จากสัญญาฉบับนี้ คุณไม่มีคุณสมบัติ…”
“รู้ไหมว่าทำไมเฉียวอิ้งฉิงถึงล้มไม่เป็นท่า?” กู้เซียงพูดแทรก
จงหลินหันมองเฉินเว่ยเต๋อด้วยสีหน้างุนงง
“ก่อนจะเปิดบริษัทบันเทิง บอสเคยทำบริษัทสินเชื่อมาก่อน หลังหอบเงินลูกค้าหนีก็เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทหัวเซิน บริหารงานโดยบอสจาง บอสชี่ บอสเหวิน แล้วก็บอสหลิว เจ้าของบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์ที่ศิลปินของเราเคยไปร่วมทำกิจกรรมด้วย” กู้เซียงเชิดหน้าอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า “เรื่องที่บอสแอบซื้อหุ้นลับๆ ไม่รู้ว่าบอสคนอื่นๆ รู้เรื่องนี้บ้างหรือเปล่า…” เธอแสยะยิ้ม “เห็นว่านักข่าวกำลังให้ความสนใจบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์ของบอสหลิวอยู่พอดี”
เฉินเว่ยเต๋อผุดลุกขึ้นแล้วชี้หน้ากู้เซียงด้วยมืออันสั่นเทา
“แก… แกรู้ได้ยังไง?!”
จงหลินขมวดคิ้วมองเฉินเว่ยเต๋อ เหวินจิ้งเองก็งุนงงไม่แพ้กัน
“รู้ได้ยังไงน่ะเหรอ?” กู้เซียงย้อนถาม “หัวเซินมีพระคุณกับฉันขนาดนี้ ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะไม่ใส่ใจได้ยังไงล่ะคะ”
เฉินเว่ยเต๋อถอยหลังเล็กน้อย นิ่งมองกู้เซียงโดยไม่พูดอะไรต่อ
เรื่องบางเรื่องคนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่เจ้าตัวย่อมรู้ดีที่สุด ที่เธอพูดคือความลับขั้นสุดยอด ไม่มีทางที่คนนอกจะรู้ได้ หรือเธอมีความสัมพันธ์กับผู้บริหารพวกนั้น?
กู้เซียงแย้มยิ้ม แววตาแฝงไปด้วยความอำมหิต
ทำไมไม่เดินตามเกม… ทำไมไม่เดินตามเกม… ทำไมไม่เดินตามเกม!!! เฉินเว่ยเต๋อตะโกนในใจอย่างคลุ้มคลั่ง
เขาอุตส่าห์ให้จงหลินหาช่องโหว่ของสัญญาเพื่อผูกมัดกู้เซียง ไม่เพียงไม่ตกหลุมพราง แต่เธอยังฟาดไม้เด็ดใส่เขาจนแทบล้มทั้งยืน
พอเห็นบอสใหญ่มีสีหน้าหวาดกลัวจากคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของกู้เซียง จงหลินที่ฉลาดเป็นกรดก็เริ่มหาทางออก
“บอสคะ สัญญาฉบับนี้…” จงหลินถามด้วยความลังเล
“จะเซ็นหรือไม่เซ็น?” กู้เซียงม้วนผมเล่นอย่างไม่แยแส
เฉินเว่ยเต๋อหลับตาแล้วขบกรามแน่น “เซ็น!”
คำข่มขู่ของกู้เซียงร้ายแรงจนเขาไม่กล้าเดิมพันด้วย
แม้จะยังงงๆ แต่เหวินจิ้งก็รู้สึกสะใจไม่น้อย