“เดินช้าจัง!”
กู้เซียงก้มหน้าก้มตาเดินต่อเพราะไม่อยากถือสาคนเมา
“คนบ้างาน!”
“กินเหล้าแล้วพูดเก่งจังนะ!” เธอเบ้ปากใส่อีกฝ่าย
“คุณเหมือนคนที่มีเป้าหมาย แต่ความจริงกลับเลื่อนลอย ใช้ชีวิตเคร่งเครียดทุกวัน เหมือนต้องการพิสูจน์บางอย่าง ผ่อนคลายบ้างก็ได้นะ กังวลอะไรอยู่หรือเปล่า?” จ่านหยางพูดแบบไม่อ้อมค้อม
“คิดว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ แล้วจะสอนคนอื่นยังไงก็ได้เหรอ?”
จ่านหยางก้มหน้าลงเล็กน้อย ลมหายใจเจือกลิ่นบุหรี่จางๆ กระทบผิวของกู้เซียงอย่างแผ่วเบา
“ผมช่วยคุณได้นะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้อง” กู้เซียงปฏิเสธ “เล่นเป็นแฟนจนอินแล้วเหรอ?”
พอถึงเตียงนอน เธอก็เตรียมจะวางอีกฝ่ายลง แต่กลับเสียหลักล้มใส่เขาแทน
กู้เซียงดันร่างของตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก ศีรษะอยู่กลางหน้าอกของจ่านหยางพอดี
“ไม่ได้กำลังแสดงอยู่ใช่ไหม?” เขาหัวเราะในลำคอ “แต่ผมจริงจังนะ”
ริมฝีปากของกู้เซียงรู้สึกถึงสัมผัสอันอบอุ่น
ถึงหูของจ่านหยางจะแดงก่ำ แต่ก็ยังคงกดท้ายทอยของเธอเพื่อไม่ให้หนีไปไหน
รอยจูบที่ทั้งอ่อนโยนและหนักแน่นประทับลงบนริมฝีปากของเธอ
“คิดดูก่อนก็ได้…” เขากระซิบ
ชีวิตคนเราก็เหมือนละคร ต้องอาศัยการแสดงเพื่อเอาตัวรอด
บางคนแสดงเป็นตัวของตัวเอง บางคนแสดงถึงพริกถึงขิงเพื่อให้เข้าถึงบทบาท
ชาตินี้ กู้เซียงวางบทบาทของตัวเองไว้อย่างชัดเจน ทำงาน เก็บเงิน ต้องเป็นทั้งคนที่สวยและรวย ขึ้นสู่จุดสูงสุดในวงการบันเทิงให้ได้ ทว่าระหว่างทางกลับมีจ่านหยางโผล่มาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ที่ผ่านมา เธอรู้เพียงว่าเขาเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ลึกลับและนิสัยดีคนหนึ่ง มาชาตินี้จึงได้กระจ่างว่าเขาเป็นซูเปอร์สตาร์ที่นิสัยดีแต่ไม่ลึกลับ เป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่กล้าจะสารภาพรักกับเธอก่อน
ชาติที่แล้วเธอเป็นฝ่ายวิ่งตามความรักตลอด มาชาตินี้จึงกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าไขว่คว้าตามหาอีก
แต่ฟ้าก็ยังกลั่นแกล้ง… ตอนอยากได้ไม่ให้ พอไม่อยากได้ก็ให้มาเต็มๆ
กู้เซียงเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ตลอดการถ่ายทำ มันคือความผิดพลาดที่เกิดจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เป็นความจริงที่คล้ายกับภาพฝัน
เธอจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิด โดยไม่รู้ว่าเหลียงจี้กำลังแอบมองจากทางด้านหลัง
กู้เซียงนั่งพักอยู่ตรงมุมหนึ่งของกองถ่าย ใจครุ่นคิดถึงแต่เรื่องที่จะพูดกับจ่านหยางคืนนี้
“กู้เซียง ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ” เสียงของเหลียงจี้ดังอยู่เหนือศีรษะ
เธอเงยหน้าขึ้นมอง “แต่ฉันไม่มี!” จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินจากไป
“เมื่อคืนผมฝัน…” เหลียงจี้รั้งเธอไว้ด้วยแววตาสับสน
“ฉันไม่ใช่ซินแส ทํานายฝันไม่ได้”
เหลียงจี้พูดต่อโดยไม่สนใจคำประชดประชัน
“ผมฝันว่าเราสองคนเป็นสามีภรรยากัน” เขาลูบศีรษะด้วยความหงุดหงิด “ผมรู้ว่าการพูดแบบนี้มันไม่เหมาะสม แต่ทุกอย่างเหมือนจริงมาก เราใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข มีลูกด้วยกันหนึ่งคน ผมไม่รู้จะอธิบายให้คุณฟังยังไง แต่นั่นต่างหากที่ถูกต้อง ไม่ใช่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ คุณเข้าใจไหม?”
น้ำเสียงของเขาอึดอัด ลนลาน เหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง
กู้เซียงจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา “ในฝันเรามีความสุขกันมากเลยเหรอ?”
“ใช่” เหลียงจี้ตอบอย่างหนักแน่น “พวกเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข พ่อแม่ผมชอบคุณมาก แถมมีลูกชื่อซวนซวนด้วย” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “อย่าเพิ่งคิดว่าผมเป็นบ้า ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณมาก อาจฟังดูเพ้อเจ้อไปหน่อย แต่ผมว่ามันคือลางบอกเหตุ”
พอได้ยินคำว่าซวนซวน เธอก็แทบใจสลาย
ตอนตั้งครรภ์เมื่อชาติที่แล้ว เรื่องของเหลียงจี้กับเฉียวอิ้งฉิงยังไม่ถูกเปิดเผย กู้เซียงคิดมาตลอดว่าสามียุ่งอยู่กับการถ่ายหนัง จึงไม่อยากรบกวนและตั้งชื่อให้ลูกในท้องเองว่าซวนซวน ที่เป็นได้ทั้งชื่อของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง
กลับกลายเป็นว่าตอนเธอแท้งลูก เหลียงจี้ไม่แม้แต่จะมาเยี่ยม หากจะบอกว่าการแต่งงานกับเขาเต็มไปด้วยการทรยศหักหลัง กลั่นแกล้ง และคำโกหก ซวนซวนก็คือความอบอุ่นและแสงสว่างเดียวที่เธอมี น่าเสียดายที่ถูกทำลายจนป่นปี้
“คุณเอาอะไรมาแน่ใจว่าเราจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข?” เธอถาม
ประโยคแรกที่เขาพูดเกือบจะทำให้เธอคิดว่าเขาก็กลับชาติมาเกิดเหมือนกัน แต่ภาพฝันที่เหลียงจี้เล่าไร้สาระมาก พ่อกับแม่ชอบเธอมาก ทั้งยังมีลูกด้วยกันและใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข
กู้เซียงอยากจะตะโกนใส่หน้าเหลียงจี้ว่ามันไม่ใช่ พวกเขาคือคู่ผัวเมียที่เคียดแค้นต่อกัน ใส่หน้ากากและเล่นละครใส่กันตลอดสี่ปีของการแต่งงาน
ความจริงเธอน่าจะเดาออกตั้งแต่แรกว่าในใจของเขามีคนอื่น แต่เพราะศักดิ์ศรีและหน้าตาเลยยอมอดทน สุดท้ายก็ถูกหัวเราะเยาะอยู่ดี
“ไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงฝันบ้าบอคอแตกแบบนี้ แต่จากลางสังหรณ์ของฉัน ต่อให้ได้แต่งงานกันเราก็ไม่มีความสุขหรอกค่ะ”
เหลียงจี้ยังคงอธิบายต่อ “เป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก คุณต้องเชื่อผมนะ!”
“ทำไมต้องเชื่อ?” เธอมองเขาด้วยแววตาดูหมิ่น “คุณคู่ควรขนาดนั้นเลยเหรอ?” พูดจบก็ตะโกนเรียกเหวินจิ้ง
เหวินจิ้งวิ่งมาหาเธออย่างรวดเร็ว เหลียงจี้จึงหันหลังเดินจากไป
“เขามาหาเรื่องเธอเหรอ?” เหวินจิ้งถาม
“ไม่มีอะไรหรอก” กู้เซียงขมวดคิ้วเล็กน้อย
แม้เหลียงจี้จะฝันถึงเรื่องในชาติที่แล้ว ก็ไม่น่าจะเห็นได้ถึงขนาดนั้น แล้วที่ฝันว่าเป็นผัวเมียที่รักกันมาก มันหมายความว่ายังไง?
กู้เซียงอยากจัดการเหลียงจี้สักตั้ง น่าเสียดายที่เธอต้องเข้าฉากกับเขาอีกหลายฉาก
เฉาหยุนกับเผยซิ่วทำตามแผนที่วางไว้ เธอต้องแต่งตัวเป็นนักธุรกิจและแฝงตัวเข้าร่วมการประชุมของคณะปฏิวัติพร้อมกับเขา
เผยซิ่วขับรถเก๋งเก่าๆ โดยมีเฉาหยุนนั่งอยู่ด้านข้าง ฉากนี้มีบทพูดค่อนข้างมาก กู้เซียงไม่มีปัญหาแต่เหลียงจี้จำบทไม่ค่อยเก่ง จึงต้องซ้อมก่อนแสดงจริง
“ลองขับรถให้คุ้นมือ ตอนถ่ายจริงจะได้ชิน” ฉินฮ่าวสั่ง
กู้เซียงจำใจนั่งรถไปด้วยเพราะไม่อยากมีเรื่องกับผู้กำกับ สถานที่ถ่ายทำในวันนี้เหมาะกับการถ่ายหนังยุคปฏิวัติมาก สถาปัตยกรรมเป็นแบบผสมผสานจีนกับตะวันตก พอเห็นว่านักแสดงคนอื่นๆ ยังมาไม่ถึง เหลียงจี้ก็ตั้งใจขับช้าๆ เพื่อคุยเรื่องความฝันเมื่อคืนกับเธอ
“ในฝันเราขับรถเที่ยวด้วยกันแบบนี้ คุณชอบเที่ยวมากแต่ก็กลัวว่าแฟนคลับจะเห็น เลยแต่งตัวมิดชิดตลอด แต่ก็ยังถูกจับได้” เหลียงจี้เล่าด้วยรอยยิ้ม ราวกับนึกย้อนถึงช่วงเวลาที่กำลังมีความสุข
กู้เซียงชอบเดินทางท่องเที่ยวมาก แต่เหลียงจี้กับพ่อแม่สามีไม่ยอมให้เธอไปไหน เพราะกลัวจะถูกแฟนคลับแอบถ่ายรูป
“จะไม่จบง่ายๆ ใช่ไหม?”
“ทำไมถึงไม่เชื่อผม ผมรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบคุณ ที่เป็นอย่างทุกวันนี้มันไม่ถูกต้อง!”
“คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?” กู้เซียงตวาด “รู้ไหมว่าตอนที่เล่าความฝันให้ฉันฟัง มันดูปัญญาอ่อนมาก!”
“ไม่เชื่อที่ผมพูดเหรอ?”
“จะให้ฉันเชื่อได้ยังไง? บอกมาเลยดีกว่าว่าคิดจะทำอะไร!”
“แต่งงานกับผมนะ”
กู้เซียงชาตั้งแต่หัวจรดเท้า อยากจะหันไปฆ่าเขาให้รู้แล้วรู้รอด แค่บ่นเรื่องความฝันไม่พอ ยังจะพูดประโยคน้ำเน่าอีก สงสัยจะถูกสวมเขาจนเสียสติ
“ฉันมีแฟนแล้ว” กู้เซียงสูดหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ
เหลียงจี้เป็นเดือดเป็นร้อนกับประโยคเมื่อครู่จนเหยียบคันเร่งแรงขึ้น
“ผมถึงได้บอกว่ามันไม่ถูกต้อง ในฝันผมคือคนที่อยู่ข้างคุณ!”
“ยังไม่หายจากอาการอกหักสิท่า” กู้เซียงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มันไม่ถูกต้อง!” เหลียงจี้พูดประโยคนี้อีกครั้งด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ฉันมีแฟนแล้ว!” กู้เซียงพูดย้ำอีกครั้ง “จอดรถเดี๋ยวนี้ ฉันจะลง”
เธอไม่อยากแสดงต่อ หากหมาบ้าตัวนี้ยังไม่สงบสติอารมณ์ก่อน
จ่านหยางกับถางรุ่ยมาถึงกองถ่ายคมมีดอาชาพอดี
“เก่งมากเลยเพื่อน กล้าแบบนี้อนาคตไกลแน่นอน” ถางรุ่ยจ้องตาอีกฝ่าย
“อะไรของนาย?”
“เมื่อคืนฉันเห็นหมดแล้ว” ถางรุ่ยตบบ่าจ่านหยาง “ดื่มเหล้ากันสนุกเลยนะ วิธีนี้ไม่เลวนี่ ได้เป็นตัวจริงแล้วสิ?”
“ยังหรอก” จ่านหยางตอบเสียงเบา “กำลังพยายามอยู่”
“อาซ้อนี่ก็ใจแข็งจริงๆ” ถางรุ่ยบ่น “วันนี้นายตั้งใจจะมาเยี่ยมกองถ่ายหรือจะมารับเธอไปเดต?”
“มาเอาคำตอบ”
จ่านหยางนึกถึงตอนที่กู้เซียงแอบย่องออกจากห้อง ก็รู้แล้วว่าเธอไม่ง่าย
ถ้ากู้เซียงรู้ความคิดของเขา ต้องสติแตกแน่นอน เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะให้เธอทบทวนแค่คืนเดียวคงไม่ได้
ทั้งสองเดินคุยกันจนถึงหน้ากองถ่าย ทีมงานเคยเห็นจ่านหยางมาหากู้เซียง จึงทักทายแล้วชี้นิ้วไปอีกทาง
“คุณกู้กับคุณเหลียงกำลังต่อบทกันอยู่ อีกเดี๋ยวคงกลับเข้ามา”
“ขอบคุณครับ” ถางรุ่ยตอบ
จ่านหยางเดินนำไปก่อนโดยไม่รอถางรุ่ย
“รอที่เดิมก็ได้มั้ง”
จ่านหยางไม่สนใจที่ถางรุ่ยพูด เขาจึงเดินแยกไปอีกทาง เพื่อหาของกินในกองถ่าย
“เหลียงจี้ ฉันบอกให้จอดรถ จอดเดี๋ยวนี้!” กู้เซียงตะโกนลั่น
“ทำไมคุณถึงไม่เชื่อผม คนที่ควรจะอยู่ข้างๆ คุณไม่ใช่จ่านหยาง แต่เป็นผมที่เป็นสามี!”
“ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้กับคุณอีกแล้ว จอดรถ!”
“กู้เซียง คุณตกลงเป็นแฟนกับจ่านหยางแล้วเหรอ? ผมก็บอกอยู่นี่ไงว่ามันไม่ถูกต้อง!”
“ไอ้บ้า ไสหัวไปเลยนะ!” กู้เซียงสบถด้วยความโมโห ก่อนจะตะโกนเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย “ช่วยด้วย!”
เหลียงจี้ไม่ต่างจากคนบ้า เขาเหยียบคันเร่งแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วขับเข้าไปในตรอกแคบๆ ที่ใช้เป็นฉากริมถนน ซึ่งมีรถจอดอยู่จำนวนมาก
ความเร็วของรถกับภาพหวาดเสียวตรงหน้าทำกู้เซียงใจเต้นโครมคราม
“จอดรถ!”