อยู่มาวันหนึ่ง แม่ของจ่านหยางได้ไปถ่ายโฆษณาร่วมกับเพื่อนนักแสดงที่มีชื่อเสียง ทำให้รู้จักกับพ่อของจ่านหยางโดยบังเอิญ ซึ่งเขาก็หลงรักเธอตั้งแต่แรกพบ
ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา หน้าที่การงานมั่นคง ทั้งยังสุภาพอ่อนโยน จีบกันไปได้สักพัก พวกเขาก็ตกล่องปล่องชิ้นกัน
ปัญหาเรื่องชาติตระกูลคือปัญหาที่ไม่เคยตกยุค
แม้ตระกูลจ่านจะไม่ชื่นชอบแม่ของจ่านหยาง แต่จ่านฉางเฟิงรักเธอหัวปักหัวปำ
เมื่อทำอะไรไม่ได้ พวกเขาก็จำใจยอมรับ แต่มีเงื่อนไขว่าเธอจะต้องไม่รับงานในวงการบันเทิงอีก เพราะไม่อยากให้ตระกูลจ่านตกเป็นขี้ปากว่ามีสะใภ้เต้นกินรำกิน เป็นแค่ดาราอันดับสามที่ไม่โด่งดัง
การแต่งงานคือการปรับตัวเข้าหากัน ไม่ว่าจะฝืนใจกับเรื่องใด ก็ต้องรีบสะสางเพื่อให้เกิดความสบายใจทั้งสองฝ่าย เพราะหากปล่อยไว้ ปัญหาจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จ่านฉางเฟิงมัวแต่ยุ่งกับกิจการงานของตัวเอง จนลืมสังเกตท่าทีของภรรยา
แม่ของจ่านหยางมักจะทะเลาะกับผู้เป็นย่าต่อหน้าเขาประจำ สุดท้ายก็หอบจ่านหยางหนีออกจากบ้านไป
แทนที่ปลอบใจพ่อกับแม่เสร็จแล้ว จ่านฉางเฟิงจะตามไปง้อเมียเพื่อให้จบเรื่อง แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ
แม่ของจ่านหยางกระเตงเขาออกมาตัวเปล่า ไม่มีทรัพย์สินมีค่าใดๆ ติดตัว นอกจากเงินติดกระเป๋าเพียงเล็กน้อย
จ่านหยางยังเด็ก ต้องกินต้องใช้ทุกวัน ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจึงเกินปัญญาของผู้เป็นแม่มาก
ที่ผ่านมาเธอเป็นแม่บ้านเต็มตัว ตัดขาดจากเพื่อนและครอบครัวอย่างสิ้นเชิง เมื่อหยิบยืมเงินจากใครไม่ได้ จึงไปสมัครเป็นสแตนด์อินในกองถ่ายหนังต่างประเทศ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูกและทำตามความฝันของตัวเองในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง
พอถึงวันที่ต้องไปกองถ่าย เธอก็สัญญากับจ่านหยางว่า “อย่าดื้อนะ แล้วแม่จะซื้อไอติมมาฝาก”
แต่เธอก็ไม่ได้กลับมาอีก…
เนื่องจากเป็นการถ่ายหนังผิดกฎหมาย อุปกรณ์ประกอบฉากจึงถูกตระเตรียมอย่างหยาบๆ ไร้ซึ่งความปลอดภัย
จ่านฉางเฟิงแทบเสียสติ จึงใช้เงินก้อนโตเพื่อยัดผู้กำกับเข้าคุก
ในเมื่อไม่มีแม่อีกแล้ว จ่านหยางก็ไม่จำเป็นต้องสนิทสนมกับครอบครัวของผู้เป็นพ่อ
เรื่องนี้อาจไม่ใช่ความผิดของจ่านฉางเฟิงหรือปู่กับย่า แต่จ่านหยางโตมากับแม่ จึงค่อนข้างห่างเหินกับพ่อ
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในบ้าน ซึ่งเป็นเหตุให้แม่ของเขาต้องจบชีวิตอย่างน่าสงสาร สร้างความสะเทือนใจแก่เขามาก
หลังได้ฟังจนจบ กู้เซียงก็สบถในใจ
ชีวิตของจ่านหยางเหมือนกับเธอในชาติที่แล้วเหลือเกิน แต่ตระกูลจ่านดีกว่าตระกูลเหลียงเยอะ เพราะจ่านฉางเฟิงรักภรรยาด้วยใจจริง เพียงแต่ขาดความใส่ใจเท่านั้น
“เคลาส์โทษตัวเองมาตลอด” ถางรุ่ยพูดเสียงเบา “ถ้าไม่มีเขา แม่ก็คงไม่ต้องรับงานสแตนด์อินและจบชีวิตอย่างน่าอนาถ”
คนเรามักจะเอาความผิดที่เกี่ยวข้องกับตัวเองมาโทษตัวเองตลอด โดยเฉพาะกับคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดด้วย
เคลาส์กับตระกูลจ่านห่างเหินกันตั้งแต่นั้นมา แม้จะเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ แต่เมื่อเรียนจบก็เข้าสู่วงการบันเทิงทันที
“เขาตั้งใจจะต่อต้านตระกูลจ่านสินะ” กู้เซียงออกความเห็น
ถางรุ่ยหัวเราะเสียงขื่น “ก็ไม่ทั้งหมดหรอก ตอนจ่านหยางเป็นเด็ก แม่ของเขาชอบเล่าเรื่องการทำงานในกองถ่ายให้ฟัง เธอทั้งสวยและสาวมาก ถ้าได้รับโอกาสมากกว่านี้ คงได้ขึ้นเป็นดาราอันดับหนึ่งของวงการแน่นอน”
ถางรุ่ยทอดสายตาไปไกล คล้ายจมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ
“เคลาส์คงรู้สึกว่าการอยู่ในวงการบันเทิงคือการสานฝันให้แม่ เรื่องอื่นๆ อาจไม่ตั้งใจ แต่หากได้ทำการแสดงเมื่อไหร่ เขาจะจริงจังทุกครั้ง เพราะเป็นสิ่งที่แม่ของเขาให้ความสำคัญ”
กู้เซียงก้มหน้าเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะได้ฟังความลับนี้จากปากของถางรุ่ย
จ่านหยางเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยน เป็นแสงสว่างของแสงอาทิตย์ยามเช้า ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอดีตที่มืดมนและขมขื่นขนาดนี้
“กู้เซียง” ถางรุ่ยเรียกชื่อเธอ “ผมรู้จักเคลาส์มานานหลายปี รู้ด้วยว่าคุณสำคัญกับเขามาก ถ้าเป็นไปได้ก็อยู่คอยให้กำลังใจเขาหน่อยนะ นิสัยเย็นชาของเขาจะได้หายไปเสียที” ถางรุ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เย็นชา? เขาดูไม่เหมือนคนเย็นชาเลย” เธอทำหน้าไม่เชื่อ
“คงพยายามปิดบังไว้น่ะ แม้แต่ผมที่เป็นเพื่อนสนิท บางครั้งก็เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไร หลายปีมานี้ตระกูลจ่านสิ้นหวังกับเขาตั้งแต่ที่เข้าวงการบันเทิง แถมนิสัยยังเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอีก พยายามแสดงความอ่อนโยนต่อหน้าสาธารณชนให้ได้มากที่สุด คุณรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
กู้เซียงส่ายหน้า
“เพราะมันคือความฝันของแม่ เลยตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อคนดูที่แม่เขารัก”
“ไม่เห็นต้องพยายามขนาดนี้เลย แล้วเขาจะมีความสุขได้ยังไง?”
“วงการบันเทิงเป็นเหมือนยาชุบชีวิต การแสดงคือเครื่องปลอบใจท่ามกลางความน่าเบื่อ ส่วนคุณก็คือผลตอบแทนที่เหนือความคาดหมาย” ถางรุ่ยตบบ่ากู้เซียงเบาๆ “อย่าทิ้งเขาไปไหนล่ะ”
กู้เซียงรู้สึกจนปัญญา
จากคำบอกเล่าของถางรุ่ยทำให้เธอมองจ่านหยางราวกับเด็กน้อยน่าสงสาร
เมื่อถูกมองด้วยแววตาของแม่ที่ห่วงใยลูก ซูเปอร์สตาร์จ่านที่กำลังแง่งอนก็มีทีท่าอ่อนลง หลังจากนั้นสองสามวันก็กลับสู่ภาวะปกติ
ส่วนเรื่องอุบัติเหตุก็มีความคืบหน้า บอกได้คำเดียวว่าซวยจริงๆ
ตำรวจที่สืบสวนเรื่องนี้รายงานผลการใช้สารเสพติดของเหลียงจี้ ในรายงานบอกว่าเขาเริ่มใช้ยาหลังรู้ว่าโดนเฉียวอิ้งฉิงสวมเขา
เฉียวอิ้งฉิงถูกเรียกมาสอบสวน เธอยอมรับว่าตกงานหลังถูกปล่อยข่าวฉาว พอเริ่มลำบากจึงไปขอความช่วยเหลือจากเหลียงจี้ เขาไม่เพียงไม่ช่วยแต่ยังด่าเธอว่าเป็นโสเภณีอีก
ด้วยความแค้นเธอจึงหลอกให้เขาใช้สารเสพติด พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานหลายปี การจะหลอกให้เหลียงจี้ติดกับนั้นง่ายมาก
เฉียวอิ้งฉิงแค่ต้องการให้อีกฝ่ายตกต่ำเหมือนตัวเอง ไม่คิดว่าเขาจะเสพยาอย่างหนักกระทั่งหลอน เอาความฝันมาบวกกับฤทธิ์ยาแล้วสติแตกจนถึงขั้นขับรถพุ่งชนกำแพง
ส่วนกู้เซียงที่ถูกโยงกับเรื่องนี้ก็ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากโทรศัพท์ยี่ห้อโนเกียเพิ่งจะผลิตกล้องบันทึกหน้ารถออกมาขายในราคาที่ไม่แพงมาก ทีมงานคนหนึ่งจึงไปซื้อมาติดรถ ปรากฏว่ากล้องแข็งแรงมาก แม้รถจะพังแต่ยังสามารถกู้ข้อมูลออกมาได้
เหลียงจี้ในวิดีโอไม่ต่างจากคนบ้า พยายามบอกกู้เซียงซ้ำไปซ้ำมาว่าเธอทำผิด เขาต่างหากคือสามีตัวจริงไม่ใช่จ่านหยาง แถมยังขับรถเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเธอต้องกระโดดลงจากรถ
หลังดูคลิปวิดีโอจบ พวกที่เคยโจมตีกู้เซียงต่างหน้าหงายไปตามๆ กัน
ทุกคนลงความเห็นว่าเหลียงจี้เมายาจนเสียสติและพากันแสดงความเห็นใจกู้เซียงที่เกือบต้องเสียชีวิต
ด้วยความที่เขายังอยู่ในโรงพยาบาล จึงไม่อาจตอบคำถามเรื่องฝันประหลาดที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงในโลกอินเทอร์เน็ตได้
กู้เซียงลองกดเข้าไปอ่านกระทู้ดังในเวยป๋อที่ใช้ชื่อหัวข้อว่า ‘เมาท์เรื่องดาราที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อไม่นานมานี้’
“ผมฝันแบบนั้นเพราะแอบชอบเธอมานานหลายปีแล้ว แถมในฝันยังเป็นสามีของเธอด้วยนะ…. แค่คิดก็จะอ้วก!”
“สงสัยจะแอบดูรูปแล้วชักว่าวบ่อยๆ”
“ให้ตายเถอะ เกิดมาไม่เคยเห็นใครมั่นหน้าขนาดนี้เลย ซูเปอร์สตาร์จ่านไม่คู่ควรจะเป็นสามีของกู้เซียงตรงไหน?”
“ไม่น่าล่ะ ผู้จัดการส่วนตัวกับบริษัทต้นสังกัดถึงเงียบเป็นเป่าสากขนาดนี้”
“คู่รักเปิ่นเป๋อจงเจริญ!”
“เหลียงจี้ก็แค่หมาวัดที่อยากเด็ดดอกฟ้า ไปอยู่กับเฉียวอิ้งฉิงโน่น กอดคอกันออกจากวงการไปเลย!”
หมาวัดที่หมายปองดอกฟ้างั้นเหรอ?
ชาติที่แล้ว ทุกคนต่างบอกว่าเธอได้แต่งงานกับเทพบุตรรูปงาม แต่ตอนนี้กลายเป็นหมาวัดไปแล้ว ทุกเรื่องบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ
ข่าวฉาวที่เกิดขึ้นทำให้เหลียงจี้ตกงาน อาการบาดเจ็บสาหัสจากการถูกไฟคลอก รวมถึงหลักฐานการเสพยาและข้อหาพยายามฆ่า ทำให้บริษัทต้นสังกัดทอดทิ้งเหลียงจี้ ดับอนาคตในวงการบันเทิงของเขาโดยสิ้นเชิง
กู้เซียงไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ จึงปฏิเสธทุกการสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ รอให้กองถ่ายคมมีดอาชาเปิดกองอีกครั้ง ก็จะกลับไปทำงานตามปกติ
กองถ่ายภาพยนตร์เรื่องคมมีดอาชากลายเป็นเป้าโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะความปลอดภัยในการทำงานของนักแสดง แต่สุดท้ายความจริงก็เป็นที่ประจักษ์ ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือนางเอกของเรื่องอย่างกู้เซียง มีสปิริตพอจะกลับมาทำงานในหน้าที่อย่างกล้าหาญและเข้มแข็ง
จ่านหยางเองก็งานยุ่งเช่นกัน ครึ่งปีหลังเขารับเล่นภาพยนตร์เรื่อง ‘วีรบุรุษสุจริต’ แสดงเป็นคนดีในคราบคนเลว ซึ่งเป็นหนังที่กู้เซียงเลือกให้
ทั้งคู่ยุ่งอยู่กับการถ่ายทำภาพยนตร์ที่จะโด่งดังในภายภาคหน้า นานๆ จะรับงานสัมภาษณ์คู่รักจำเป็นสักครั้ง จากตอนแรกที่แกล้งเป็นแฟน จนถึงท่าทางที่เหมือนสามีภรรยากันจริงๆ
ไม่นานก็ถึงช่วงปลายปี ภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่เสร็จทันเข้าฉายก่อนเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นฤดูแห่งการเฉลิมฉลอง ผู้คนต่างอยากดูหนังที่ช่วยให้เบิกบานใจ จึงตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ
ด้วยความที่มีถางรุ่ยเป็นผู้กำกับ มีกู้เซียงกับจ่านหยางเป็นนักแสดงนำ วันเข้าฉายจึงมีคนดูเต็มทุกโรง