หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 12

ตอนที่ 12

ที่หน้าโรงหนัง ตู้หยู่กอดถังป๊อปคอร์น แขนหนีบโค้กอีกสองขวด ยืนรอเสี่ยวหมิ่นซึ่งเดินไปเอาตั๋วจากนักเรียนมัธยมปลายที่เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ส่วนตู้หยู่กับเสี่ยวหมิ่นสอบติดมหาวิทยาลัยในเมือง G ที่ไม่ไกลบ้านมาก

เสี่ยวหมิ่นวิ่งกลับมาพร้อมตั๋วหนังในมือ “หนังจะฉายแล้ว เร็วเข้า!”

เมื่อเข้าไปด้านในก็พบว่าคนดูส่วนใหญ่เป็นคู่รัก ทำเอาคนโสดสองคนรู้สึกถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ตู้หยู่ปลอบเสี่ยวหมิ่น “หลังดูจบอาจเจอรักแท้ก็ได้นะ”

คนที่นั่งแถวหน้าคือเด็กหนุ่มผมหยิก รูปร่างสูงโปร่ง ผมที่พันกันยุ่งเหยิงบดบังทัศนวิสัยของพวกเธอจนมิด

เสี่ยวหมิ่นทนไม่ไหวจึงยื่นหมวกไหมพรมสีชมพูให้เขา “ขอโทษนะคะ ผมของคุณบังพวกเราอยู่ ช่วยใส่หมวกได้ไหม?”

“ผมไม่…” เด็กหนุ่มผมหยิกกำลังจะปฏิเสธ แต่วัยรุ่นชายที่นั่งข้างเสี่ยวหมิ่นกลับรับหมวกจากเธอแล้วสวมลงบนศีรษะของอีกฝ่ายแทน

“ขอบใจมาก” เขากล่าว

ถึงจะโมโห แต่เด็กหนุ่มผมหยิกก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่นั่งตัวตรงกับหมวกไหมพรมสีชมพู

ตู้หยู่เพิ่งรู้ว่าที่นั่งข้างๆ ยังว่าง เพราะตอนซื้อตั๋วที่นั่งดีๆ ถูกเลือกไปหมด จึงต้องยอมนั่งหลบมุมไกลๆ

พวกเขาน่าจะเป็นคู่รัก เพราะใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่กับผ้าพันคอลายเดียวกัน แม้อากาศในโรงหนังจะร้อน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอดออก

ภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่เล่าถึงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดดวงดีไปเจอกับหัวหน้ามาเฟีย

ถึงจะดูงี่เง่า แต่คนดูกลับซาบซึ้งตาม อาจเพราะนางเอกเล่นได้เข้าถึงอารมณ์ ส่วนพระเอกก็ทั้งหล่อและอบอุ่น แต่ละฉากดูลงตัวและเป็นธรรมชาติมาก ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนหนังรักน้ำเน่า แต่กลับทำให้คนดูหัวเราะจนปวดกราม

สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือนางเอกของเรื่องอย่างกู้เซียง ตอนแสดงเรื่องฉีโฮ่วจ้วน บทบาทที่ได้รับค่อนข้างหดหู่และรันทด ส่วนคมมีดอาชาก็เป็นหนังดราม่าสะท้อนสังคม หลายคนจึงมองว่าเธอไม่เหมาะกับหนังรักใสๆ

แต่หญิงสาวท่าทางซื่อบื้อในชุดตำรวจตัวโคร่ง รวบหางม้าไว้ด้านหลัง เต้นระบำละตินด้วยท่าที่คิดขึ้นเองอยู่บนเตียง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยั่วยวนว่า “ฉันเป็นโสเภณีนะ”

ภาพนี้ตลกจนตู้หยู่หยุดขำไม่ได้ กระทั่งป๊อปคอร์นกระเด็นไปโดนคนข้างๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ

“ขอโทษด้วยค่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

เสียงตอบกลับของอีกฝ่ายช่างไพเราะและคุ้นหูเหลือเกิน เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

หนังสนุกมากจนตู้หยู่จมดิ่งไปกับเนื้อเรื่องอีกครั้ง การที่อาจวนถูกส่งให้มาสืบเรื่องของเหวินเส้าเหย่และกลายเป็นซินเดอเรลล่าผู้อาภัพในที่สุด คือเครื่องยืนยันว่าผู้ชายหน้าตาดีมีเงิน ไม่ว่าไปทางไหนก็เนื้อหอม

ไม่นานเธอก็ตกหลุมรักเขา บรรดาคนโสดที่อยู่ในโรงหนังพากันต่อว่าด้วยความอิจฉา

“ยัยอาจวนมีใจให้กับเป้าหมายซะแล้ว ทำงานผิดพลาดแบบนี้ต้องโดนไล่ออก!”

ช่วงเวลาแห่งความรักดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่อาจวนจะเลิกกับพระเอก

ทั้งสองต่างก็ผิดหวังกับเรื่องนี้ เธอเป็นสาวโสดที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายมานาน พอได้เจอเจ้าชายของตัวเองกลับไม่ใช่รักแท้อย่างที่ใฝ่ฝัน แม้สถานะจะแตกต่างกัน แต่หากต้องเลิกด้วยเรื่องนี้ก็คงเจ็บปวดไม่น้อย

กู้เซียงแสดงบทนี้ได้อย่างมีชีวิตชีวา ฝีมือของเธอไม่เพียงทำให้หน้าตากลายเป็นเรื่องรอง แต่ยังทำให้ตัวละครโก๊ะๆ ตัวหนึ่งที่กำลังมีความรักกินใจคนดูอย่างมาก

ภาพยนตร์แต่ละเรื่องจะมีวิธีถ่ายทอดในแบบของตัวเอง อย่างตัวละครเฉินเมี่ยวจากเรื่องฉีโฮ่วจ้วนก็แสดงอารมณ์ได้ชัด มีจุดหักเหที่ดุเดือด แต่อารมณ์ของอาจวนค่อนข้างละเมียดละไมในรายละเอียด ไม่ว่าจะทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดูไปหมด

ตู้หยู่กอดแขนเสี่ยวหมิ่นพลางบ่น “นี่มันฉากฆ่าคนโสดชัดๆ เว้นที่ให้ฉันได้ยืนบ้างสิ!”

“ไม่ต้องอินขนาดนั้นก็ได้”

เสี่ยวหมิ่นดึงแขนออก แล้วเหล่มองเด็กหนุ่มผมหยิกที่กำลังเอามือปิดปากด้วยความเขิน

“ขนลุกชะมัด!”

หนังรักก็คือหนังรัก ไม่ว่าจะดำเนินเรื่องตามตรรกะหรือความเหมาะสม ก็ต้องจบอย่างมีความสุข

อาจวนมีนิสัยเด็ดเดี่ยว เธอไม่สนแรงกดดันจากเพื่อนร่วมงานที่สั่งให้เลิกกับเหวินเส้าเหย่ แต่ตัดสินใจที่จะเริ่มต้นกับเขาใหม่

ทว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเหวินเส้าเหย่พอดี หญิงสาวคนหนึ่งแฝงตัวเข้ามาในวงการเพื่อแก้แค้นหัวหน้ามาเฟีย อาจวนจึงเสนอตัวด้วยการใช้แผนสาวสวยเข้าล่อ

เธอนอนกลิ้งไปมาบนเตียง ทั้งที่เป็นสาวสวยแต่กลับแสดงท่าทางเหมือนคนเมาทั่วๆ ไป หลังดื่มเหล้าจากขวดรวดเดียวหมด ก็เผลอสลบไปด้วยความเมา

ตู้หยู่ทุบเก้าอี้ “โห กินเข้าไปได้ไงอะ หรือเซียงเซียงจะเป็นเลสเบี้ยน โคตรเท่เลย!”

ได้ยินประโยคนี้ ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ก็สำลักเครื่องดื่ม จนชายร่างสูงที่มาด้วยต้องลูบหลังให้ด้วยความอ่อนโยน

ตู้หยู่รีบเบือนหน้าหนี—เฮอะ มองไปทางไหนก็มีแต่คู่รัก!

ในที่สุดเหวินเส้าเหย่ก็รู้สถานะที่แท้จริงของอาจวน หลังต่อว่าเธออย่างรุนแรง เขาก็บอกเลิกอย่างไร้เยื่อใย แต่เมื่อถูกแฟนเก่ากลับมาปาระเบิดแก้แค้นและได้อาจวนช่วยชีวิตไว้ จึงกลับมาจงรักภักดีต่อเธอดังเดิม

เนื้อเรื่องค่อนข้างเรียบง่ายออกแนวน้ำเน่า แต่คนดูกลับไม่รู้สึกแบบนั้น เพราะไม่มีทั้งการตบตี ไม่มีรักสามเส้า ไม่มีตัวดีตัวร้าย มีแค่ความรักของคนสองคนที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ละมุนละไมแต่ระมัดระวัง ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ

หนังปิดฉากด้วยภาพของอาจวนที่นั่งอยู่บนโซฟา นิ่งมองชายหนุ่มรูปหล่อที่กำลังนอนหลับด้วยใบหน้าอิ่มเอมปนโศกเศร้า…

“คนอื่นไม่เข้าใจ

เหตุผลร้อยพันไร้ความหมาย

ยังคงทุ่มเทใจ คล้ายเจ็บไม่เป็น

เหมือนวิ่งตามความฝัน

แต่ใครกันจะมุ่งมั่นกว่าที่เห็น

ไฟแดงแล้วดับ ห้ามอย่างยากเย็น

แต่เธอก็เห็น ไม่มีใครขวางฉันได้

มุ่งหน้าเผชิญไม่ไหวหวั่น

เพราะฉันไม่ได้อ่อนหวานเหมือนใคร

มีเพียงใจกล้าหาญหนึ่งเดียว”

เสียงของกู้เซียงไพเราะมาก ทั้งอ่อนโยนและดึงดันในคราวเดียว

หญิงสาวน่ารักใสซื่อ เท้าคางมองชายผู้เป็นที่รักด้วยแววตาหลงใหล ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่แท้จริงต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก

ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเห็นด้วย อาจวนพยายามทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้สมหวัง แม้จะเป็นคนขี้กลัวและขี้กังวลก็ตาม

บทเพลงที่เติ้งซินเขียนกินใจคนฟังอยู่แล้ว ยิ่งได้กู้เซียงมาร้องก็ยิ่งเหมาะสมลงตัว แม้แต่บรรดาคู่รักที่ไม่ชอบอ่านเครดิตตอนท้าย ก็ยังไม่ลุกออกจากโรง

ตู้หยู่น้ำตารื้น รู้สึกอยากมีใครสักคนยืนรอเธออยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้บ้าง

เสียงของกู้เซียงเต็มไปด้วยเรื่องราวลึกซึ้งกินใจ แต่ทำไมเสียงนี้ถึงคุ้นหูขึ้นมาได้

จู่ๆ คู่รักที่นั่งข้างๆ ตู้หยู่ก็ขยับตัวลุกขึ้น ทว่าโรงหนังเปิดไฟพอดี เธอจึงเงยหน้ามองการแต่งกายที่ค่อนข้างมิดชิดของพวกเขา แล้วตะโกนเสียงดังว่า “คู่จิ้นเปิ่นเป๋อ!”

ชายผมหยิกที่นั่งข้างหน้าผุดลุกขึ้นแล้วคว้ากล้องมาถ่ายภาพ จนฝ่ายชายต้องรีบจูงมือฝ่ายหญิงวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

“นั่นกู้เซียงกับจ่านหยางนี่!” คนในโรงหนังตะโกนด้วยความตื่นเต้น

“รีบตามไปเร็ว!”

“เซียงเซียง วิ่งไปไหนแล้ว?” เด็กหนุ่มผมหยิกกระโจนออกจากที่นั่ง

จ่านหยางกับกู้เซียงวิ่งเร็วมาก พอออกจากโรงหนังก็ไม่เหลือแม้แต่เงา

“คงไปไหนไม่ไกลหรอก”

คนกลุ่มใหญ่วิ่งออกจากโรงหนังอย่างบ้าคลั่ง แล้วตามหาสองซูเปอร์สตาร์ไปทั่วห้าง จนพนักงานรักษาความปลอดภัยคิดว่าเกิดเหตุชุลมุน เพราะทุกคนเอาแต่วิ่งวุ่นไปมา

ในซอยเล็กๆ ไม่ไกลจากตรงนั้น

กู้เซียงถอดหมวกด้วยความเหนื่อย เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผาก

“ไม่น่าจะตามทันแล้ว” จ่านหยางพูดไปหอบไป

“บอกแล้วไงว่าไม่ดูในโรง!” กู้เซียงกุมหน้าอกของตัวเอง “ทำไมถึงมีนักข่าวด้วยล่ะ?”

“คงอยากเก็บเป็นความทรงจำมั้ง” จ่านหยางตอบอย่างสบายอารมณ์

กู้เซียงกลอกตามองบน—เด็กน้อยก็คือเด็กน้อยวันยังค่ำ!

ภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ออกฉายครั้งแรกก็ประสบความสำเร็จแล้ว

เพราะเป็นภาพยนตร์ทำเงิน ยอดขายตั๋วจึงถล่มทลายดังคาด

นอกจากยอดขายตั๋ว ยังมีประเด็นอื่นที่ต้องทบทวนอีก ในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งวุ่นวาย เล่ห์เหลี่ยม และการวางแผนที่สลับซับซ้อน เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความสุข การดำเนินเรื่องที่เรียบง่ายและชัดเจนมีน้อยเหลือเกิน

ภาพยนตร์ส่วนใหญ่นิยมสร้างยอดขายด้วยการเพิ่มเรื่องไร้สาระเข้าไป เช่น เสื้อผ้าที่หรูหรา นักแสดงสวยหล่อ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเหมือนมิวสิกวิดีโอมากกว่า

ขณะที่ภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ไม่ได้เสริมเติมแต่งอะไรมาก แต่ก็ได้รับคำชมอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะความตั้งใจของนักแสดงนำ ที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าตั๋ว

หากผู้ชมทั่วไปบอกว่าหนังเรื่องนี้คุ้มค่าตั๋ว คนเมือง G ที่ได้ชมในโรงวันแรกก็คงคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะได้นั่งดูหนังร่วมกับพระนางที่เป็นคู่จิ้นเปิ่นเป๋อด้วย

ยิ่งมีกระแสว่าคนดูได้เจอพระเอกนางเอกตัวเป็นๆ หนังเรื่องน้องใหม่ก็ยิ่งได้รับคำชื่นชม กลายเป็นกระแสร้อนในโลกอินเทอร์เน็ต โดยมีกลุ่มคนที่อยู่ในเหตุการณ์ช่วยกันเล่าเรื่อง

“ฉันได้นั่งข้างๆ พวกเขาด้วย เซียงเซียงนั่งซบจ่านหยางตลอดเลย จ่านหยางก็อ่อนโยนมาก ทั้งป้อนขนม ทั้งกระซิบกระซาบ โคตรหวานเลย!”

“ผมนั่งอยู่ข้างหน้าเธอ ด้วยสายตาของนักข่าวมืออาชีพ ผมว่าเซียงเซียงสวยกว่าในจอเสียอีก”

“ตอนนั้นฉันกับเพื่อนๆ กำลังเลือกเสื้อผ้ากันอยู่ เห็นจ่านหยางจูงมือกู้เซียงวิ่งออกมา โคตรแมนเลย ฟ้าช่วยส่งผู้ชายอย่างเขามาให้คนหนึ่งได้ไหม?”

“แค่ในหนังก็หวานจะแย่แล้ว ยังมีฉากหวานนอกจออีก อยากให้คนโสดขาดใจตายหรือไง?”

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท