กู้เซียงปิดคอมพิวเตอร์ เธอจำไม่ได้ว่าตอนดูหนังมีการนั่งซบ ป้อนขนม และกระซิบกระซาบกันตอนไหน ช่างแต่งเรื่องกันเก่งเหลือเกิน
นั่งคิดไปได้สักพัก เคลวินก็โทรเข้ามาด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
“ไม่เห็นจะต้องทำให้เป็นข่าวขนาดนี้ ที่จริงเธอควรตีตัวออกห่างไม่ก็จากไปเงียบๆ ได้แล้ว หรือเห็นว่าเคลาส์ของฉันหล่อ เลยคิดจะดึงไว้สร้างกระแส ฉันไม่ยอมให้เธอได้สมหวังหรอกนะ!”
ซวยจริงๆ เลย กู้เซียงบ่นในใจ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ตกเป็นกระแส ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี
ภาพยนตร์รักชวนฝัน คู่พระนางได้รับความนิยมอย่างสูง แถมยังเป็นคู่รักนอกจอกันอีก ในจอหวานชื่นยังไง นอกจอก็หวานชื่นไม่แพ้กัน
ชีวิตแต่ละวันของคนเราต้องดิ้นรนต่อสู้ ภาพยนตร์จึงเป็นตัวช่วยบำบัดความปรารถนาในใจที่ไม่อาจเอื้อมถึง การจะมีความรักที่สมหวังไม่ใช่เรื่องง่าย คู่ของกู้เซียงกับจ่านหยางจึงเป็นภาพฝันของใครหลายๆ คน
กู้เซียงเล่นเป็นอาจวนได้สมบทบาทมาก ทั้งที่บุคลิกแตกต่างกับเฉินเมี่ยวโดยสิ้นเชิง นอกจากฝีมือด้านการแสดงแล้ว บทเพลง ‘ความกล้า’ ของเติ้งซินยังฮิตติดหูไปทั่วบ้านทั่วเมืองอีก ไม่ว่าจะไปตลาดหรือไปที่ไหนๆ ก็จะได้ยินคนเปิดฟังเพลงนี้จนเป็นเรื่องปกติ
เพลงนี้ยังช่วยให้คนจำนวนมากกล้าบอกความในใจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน คนทำงาน หรืออาชีพไหนๆ ก็สามารถใช้เพลงนี้ในการบอกรักได้
กู้เซียงยอมรับว่าละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนได้พลิกชีวิตของเธอจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ส่วนเรื่องน้องใหม่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี
ชีวิตคนเราควรได้รับโอกาสที่จะพาตัวเองไปสู่จุดสูงสุด เพียงแต่ต้องไขว่คว้าจึงจะได้โอกาสนั้นมา
เข้าสู่ช่วงปลายปีกับการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่
ร้านค้าต่างๆ เริ่มประดับธงและข้อความอวยพรที่ข้างประตู ริมถนนมีโคมแดงประดับประดา แสงไฟระยิบระยับยามค่ำคืน ห้างสรรพสินค้ามีผู้คนเดินกันขวักไขว่
หน้าโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งติดโปสเตอร์หนังขนาดใหญ่ ภาพหนุ่มหล่อสาวสวยที่อยู่บนนั้นช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน
แม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่โปสเตอร์กลับมีเสน่ห์ดึงดูดให้หลายคนที่เดินผ่านชี้ชวนกันเข้ามาดู แล้วสนทนากันอย่างมีความสุข ช่วยให้บรรยากาศการเฉลิมฉลองสมบูรณ์มากขึ้น
ตรงสี่แยกไฟแดง รถสีดำคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ กระจกรถถูกเลื่อนลงครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างที่งดงามของหญิงสาว
เธอสวมผ้าปิดปากขนาดใหญ่ ซ่อนใบหน้าคล้ายสาวลูกครึ่งเอาไว้ บุคลิกโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตางดงามจับจ้องโปสเตอร์ครู่ใหญ่
ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อไฟเขียวปรากฏจึงเลื่อนกระจกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วรถสีดำคันนั้นก็มุ่งหน้าต่อไป
ในอะพาร์ตเมนต์ห้องหนึ่งหนึ่งศูนย์หนึ่ง กู้เซียงกำลังปวดหัวกับกลุ่มคนตรงหน้า ไหนจะต้องคอยดูขนมในเตาอบที่กำลังจะเสร็จในไม่ช้า
ถ้ามีแค่เหวินจิ้งก็ว่าไปอย่าง เพราะยังช่วยงานในครัวได้บ้าง ทว่ามีเจี่ยงลี่ลี่กับถางรุ่ยที่มาขอกินข้าวด้วยท่าทางน่าสงสาร กับจ่านหยางที่ถูกกู้หนานลากไปคุยเรื่องสถาปัตย์ในห้องหนังสือ
เรื่องกินข้าวฉลองปีใหม่เป็นแค่ข้ออ้าง พวกเขาแค่หาเรื่องมากินข้าวที่บ้านเธอเท่านั้น
จู่ๆ เสียงออดหน้าประตูก็ดังขึ้น กู้เซียงคิดว่าเป็นเคลวินจึงเดินไปเปิดประตูทั้งชุดกันเปื้อน เพราะเหวินจิ้งกำลังปอกหอมด้วยความตั้งอกตั้งใจอยู่
พอเปิดประตู เธอก็อึ้งไปเล็กน้อย
ที่หน้าประตูมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ เธอสวมเสื้อโค้ตขนแกะแสนหรูหรา ผมยาวถูกม้วนเป็นลอนหลวมๆ ใบหน้ากะทัดรัดคล้ายคนตะวันตก
หลังสำรวจกู้เซียงหัวจรดเท้า เธอก็เชิดคางแล้วถามขึ้นว่า “คุณเป็นใคร?”
“เคลวินกลับมาแล้วเหรอ?” เจี่ยงลี่ลี่เดินถือแตงโมมาที่ประตู พอเห็นผู้มาเยือนก็ทำตาโตด้วยความตกใจ “เฝิงเหวิน!”
ได้ยินชื่อนี้ กู้เซียงก็เข้าใจทันที
หากจะวิจารณ์ดาราหญิง ต้องแยกก่อนว่าเป็นดาราในประเทศหรือต่างประเทศ หากเป็นดาราต่างประเทศก็ต้องแยกด้วยว่าเป็นเอเชียหรือยุโรป
เฝิงเหวินคือดาราที่ไปโด่งดังในยุโรป ชื่อเสียงของเธอในประเทศเป็นที่รู้จักน้อยกว่าต่างประเทศ แต่หากดาราได้ไปโด่งดังในต่างประเทศ ก็จะถูกยกระดับในประเทศด้วย
อย่างเช่นเฝิงเหวิน เธอเป็นมืออาชีพในวงการหนังต่างประเทศ เป็นดาราจีนที่ได้แสดงฝีมือในระดับสากลและมีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ แต่ทำไมถึงมาปรากฏตัวที่นี่?
กู้เซียงไม่ได้ตกใจมากมาย เพราะเฝิงเหวินเป็นดาราในสังกัดของเซิ่งถาง โดยมีถางรุ่ยเป็นคนปั้นจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก
“มีอะไรกันเหรอ?” ถางรุ่ยลุกเดินตามมา ก่อนจะถามด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวเหวิน มาได้ไงเนี่ย?”
“เสี่ยวเหวินเหรอ?”
กู้เซียงแอบคิดในใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่น่าจะใช่เจ้านายกับลูกน้องทั่วไป
“อืม” เฝิงเหวินตอบเสียงเบาในลำคอ แล้วเดินผ่านทุกคนไปนั่งลงบนโซฟา
“มั่นหน้าจริงนะแม่คนดัง!” เจี่ยงลี่ลี่เบ้ปาก
กู้เซียงไม่รู้จักดาราต่างประเทศ เฝิงเหวินคือคนแรกที่เธอได้เห็นตัวเป็นๆ จึงพยายามวางตัวให้เป็นปกติ
“ทำไมจู่ๆ ถึงกลับมา ไม่เห็นบอกก่อนเลย แล้วถ่ายหนังเรียบร้อยดีไหม ผมเตรียมบทของสเก็ตเชอร์สไว้ให้แล้ว ว่างๆ ก็ลองอ่านดู จะได้เล่นเป็นนางเอกเสียที” ถางรุ่ยวางกระดาษปึกหนึ่งลงบนโต๊ะ
แม้เฝิงเหวินจะเป็นดาราจีนที่โด่งดังในต่างประเทศ แต่ก็เป็นแค่นักแสดงสมทบมาตลอด เนื่องจากความต้องการของต่างประเทศไม่เหมือนกับในประเทศ รวมถึงปริมาณงานที่ค่อนข้างจำกัดด้วย
การที่ถางรุ่ยกระตือรือร้นเพื่ออีกฝ่ายขนาดนี้ ทำหลายคนตรงนั้นนั่งกะพริบตาปริบๆ
คนดังย่อมได้รับการดูแลเป็นพิเศษ โอกาสแบบนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ
เฝิงเหวินตอบกลับด้วยท่าทางหงุดหงิด “ไว้คราวหน้าแล้วกัน ไม่อยากคุยเรื่องงานตอนนี้”
“โอเค” ถางรุ่ยไม่เซ้าซี้ให้เสียเวลา “ว่าแต่ทำไมถึงกลับก่อนกำหนด? แล้วได้บอกใครบ้างหรือเปล่า? หรืออยากจะมาฉลองตรุษจีนที่นี่?”
เฝิงเหวินหันมามองค้อน “บ่นเก่งจริง!”
“ต้องมีอะไรแน่ๆ” เจี่ยงลี่ลี่กระซิบบอกกู้เซียง
สำหรับเธอถางรุ่ยดีกับทุกคนรอบตัวเสมอ โดยเฉพาะนักแสดงในสังกัด กับเฝิงเหวินก็คือเพื่อนในวงการที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเท่านั้น
แต่นิสัยของเฝิงเหวินดูจะไม่เหมือนกับบทบาทในภาพยนตร์ เธอทั้งเย่อหยิ่ง ไม่เห็นหัวใคร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พูดหรือสบตากับใครนอกจากถางรุ่ย
เธอคงไม่รู้ว่าที่นี่คือห้องของกู้เซียง ถึงได้กล้าเข้ามานั่งแล้วทำเหมือนกับเป็นเจ้าของแบบนี้
เสียงประตูห้องนอนถูกเปิดออก กู้หนานเดินออกมาพร้อมกับหนังสือสามเล่มในมือ โดยมีจ่านหยางเดินตามมาติดๆ
“เคลาส์ เสี่ยวเหวินกลับมาแล้ว” ถางรุ่ยชี้นิ้วบอก
เฝิงเหวินจ้องจ่านหยางไม่วางตา เหมือนเป็นสมบัติส่วนตัว แต่เขากลับทำหน้าปกติ ไม่ตื่นเต้นดีใจอะไร
สายตาของลูกผู้หญิงด้วยกันย่อมดูออก ชาติที่แล้วกู้เซียงก็เคยทำ
แววตาแบบนี้คือการบอกเป็นนัยว่า ‘รีบมาหาฉันสิ’
เอาละ… เธอพอจะเข้าใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้มาทำอะไร
ทันทีที่เห็นเฝิงเหวิน กู้หนานก็ลูบศีรษะพลางถามตะกุกตะกัก
“นี่คือ… คือ…”
“เฝิงเหวิน” เจี่ยงลี่ลี่ช่วยตอบ
“จริงด้วย!” กู้หนานตาเป็นประกาย
เขาชอบดูภาพยนตร์ต่างประเทศอยู่แล้ว จึงรู้สึกคุ้นหน้าเฝิงเหวินมาก
จ่านหยางยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย หลังรินน้ำใส่แก้วก็พยักหน้าให้เฝิงเหวินแล้วพูดกับกู้หนานว่า “พี่จะให้ทางนั้นส่งของมา ถึงแล้วจะรีบบอกนะ”
“ขอบคุณพี่เขยมาก” กู้หนานยิ้มปริ่ม
“พี่เขย?” เฝิงเหวินขมวดคิ้วมองจ่านหยางกับกู้เซียง
กู้เซียงได้แต่ยักไหล่แล้วเดินไปดูขนมอบในครัว
บรรยากาศในห้องรับแขกอึดอัดขึ้นทันตา
“เคลาส์” เฝิงเหวินเรียก “ได้ข่าวว่าคุณมีแฟนแล้ว”
“สวยใช่ไหมล่ะ?” จ่านหยางตอบด้วยรอยยิ้ม
เจี่ยงลี่ลี่เผลอเอามือกอดแขนเหวินจิ้งด้วยความตื่นเต้น ผู้ชายไม่มีวันรู้เลยว่าผู้หญิงสัมผัสกับอคติของเพศเดียวกันได้ไวมาก
เฝิงเหวินสมกับเป็นนักแสดงมืออาชีพ เพราะทุกการเคลื่อนไหวของเธอน่าจับตามองมาก
ทุกคนในที่นั้นรู้สึกว่าอุณหภูมิห้องลดลงหลายองศา
ถางรุ่ยกระแอมเบาๆ “ทำไมเคลวินยังไม่มาอีกนะ”
พูดยังไม่ทันจบดี ประตูห้องที่งับไว้หลวมๆ ก็ถูกเปิดออก
เคลวินถือโจ๊กถั่วแดงมาสองถุง ด้วยบรรยากาศของการเฉลิมฉลองปีใหม่ เขาจึงตัดผมรุงรังของตัวเองให้ดูสะอาดสะอ้านมากขึ้น
พอเห็นเฝิงเหวิน เคลวินก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง
“กลับมาทำไม เคลาส์ไม่โสดแล้วนะ” เคลวินพูดเสียงเย็นชา
เรื่องนี้ทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าเคลวินจะพูด
เฝิงเหวินถลึงตาใส่เคลวิน ซึ่งเขาก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ซื้อโจ๊กถั่วแดงมาให้ใคร?” เฝิงเหวินถาม
“ซื้อมาให้เคลาส์ เธอไม่ชอบแต่เขากินย่ะ!” เคลวินตอบ
“เคลาส์ชอบกินโจ๊กถั่วแดงตั้งแต่เมื่อไหร่?” เฝิงเหวินเหลือบมองจ่านหยางแล้วถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “คุณเกลียดของหวานไม่ใช่เหรอ?”
“เมื่อก่อนเกลียด แต่ตอนนี้ชอบ!” เคลวินจ้องตาอีกฝ่ายราวกับเป็นศัตรูตัวฉกาจ “เซียงเซียงชอบทำขนม เธอก็รู้ว่าลิ้นคนเปลี่ยนรสได้”
เฝิงเหวินไม่พูดอะไรอีก
จ่านหยางยิ้มแล้วหยิบโจ๊กถั่วแดงขึ้นมา “มีใครอยากชิมไหม?”
เจี่ยงลี่ลี่รีบยกมือ “ฉันๆ”
บรรยากาศในห้องจึงเริ่มผ่อนคลายลง เพราะเฝิงเหวินเหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมระเบิดตัวเองตลอด
“ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ” เฝิงเหวินลุกขึ้น