พออีกฝ่ายคล้อยหลังไป กู้หนานก็ถามจ่านหยางด้วยสีหน้าจริงจัง
“พี่เขยสนิทกับเธอเหรอ?”
เหวินจิ้งกุมหน้าผาก หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ยังจะเรียกด้วยคำที่สนิทสนมกันอีก
“แค่เพื่อนน่ะ” จ่านหยางกินโจ๊กถั่วแดงไปคำหนึ่ง “สเปคนายเหรอ?” เขาย้อนถาม
“ชะนีบ้าผู้ชายมีอะไรให้น่าชอบ!” เคลวินพูดแทรกอย่างเหลืออด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรังเกียจ “ตาต่ำจริงๆ!”
“ถึงยังไงก็โตมาด้วยกัน ให้เกียรติเธอหน่อยสิ” ถางรุ่ยปราม
“โตมาด้วยกัน? Puppy Love สินะ” เหวินจิ้งทำหน้าสนอกสนใจ
“คงงั้นมั้ง” ถางรุ่ยยักไหล่ “พวกเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ประถม มัธยม มหาลัย พอกลับประเทศก็เข้าวงการบันเทิงด้วยกันอีก”
“เพื่อนกับผีน่ะสิ!” เคลวินพูดแทรกอีกครั้ง
“ตอนเรียนก็แย่งที่หนึ่ง พอเข้ามหาวิทยาลัยก็พยายามจะเข้าเรียนคณะสถาปัตย์เพื่อจะได้แย่งทุนไปจากเคลาส์ ไม่ว่าเข้าชมรมไหนก็เข้าตามตลอด พอเข้าได้ก็แย่งที่หนึ่งไปอีก นักแสดงก็ไม่ได้อยากเป็น แค่อยากเอาชนะเฉยๆ ดีที่เคลาส์ไม่ถือสา ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เหลือความเป็นเพื่อนนานแล้ว”
“เดี๋ยวก่อนนะ…” เจี่ยงลี่ลี่ฟังแล้วงง “ผู้หญิงคนนี้ชอบเคลาส์ แต่ที่ทำทั้งหมดเหมือนมีความแค้นส่วนตัวมานาน”
“แต่ละคนมีวิธีแสดงความรู้สึกต่างกัน” ถางรุ่ยอธิบาย “เสี่ยวเหวินเป็นคนทะเยอทะยาน ส่วนเคลาส์ก็เป็นคนเก่ง เธอไม่อยากถูกทิ้งห่างเลยพยายามแย่งทุกอย่างไปจากเขา”
“พวกซูเปอร์สตาร์ดังๆ นี่เข้าใจยากเหมือนกันนะ” เจี่ยงลี่ลี่พึมพำ
“ซูเปอร์สตาร์อะไรกัน นั่นมันชะนีบ้าผู้ชาย ชะนีบ้าผู้ชายเข้าใจไหม!” เคลวินโมโหไม่เลิก “ต้องมาเจอวิธีบอกรักโรคจิตแบบนี้ ไม่มีใครซวยเท่าเคลาส์อีกแล้ว!”
พอจับประเด็นหลักได้ กู้หนานจึงถามจ่านหยางด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง
“พี่ชอบเธอหรือเปล่า?”
จ่านหยางที่กำลังตั้งอกตั้งใจกินโจ๊กถั่วแดง เงยหน้ามองกู้เซียงที่อยู่ในครัวแล้วส่ายหน้า
“ไม่ชอบ”
หลังอบขนมเสร็จ กู้เซียงก็ลงมือปรุงน้ำซุปต่อ
ตอนอยู่บ้านเหลียงจี้ เธอต้องทำกับข้าวทุกวัน เป็นแม่บ้านวัยทองก่อนวัยอันควร มาชาตินี้เธอมีเวลาอยู่บ้านน้อย เลยรู้สึกสนุกกับการทำอาหารในแต่ละครั้ง
อาหารการกินคือสิ่งที่กู้เซียงให้ความสำคัญมาตลอด พอตั้งใจมากๆ จึงไม่รู้ว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังนานแล้ว
“กู้เซียง”
เธอหันตามเสียงแล้วก็พบกับเฝิงเหวินที่ยืนซุกมือใต้แขนเสื้ออยู่หน้าประตูครัว
เฝิงเหวินหน้าตาสวยแบบอินเตอร์ แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศชอบผู้หญิงบุคลิกอ่อนโยน ผิวขาวเนียนเปล่งปลั่ง และมีนิสัยนอบน้อม
เธออาจจะถ่ายหนังบู๊มากเกินไป ทุกอิริยาบถจึงเหมือนพร้อมจะชักปืนออกมายิงตลอดเวลา บุคลิกเหมาะกับการเป็นสายลับมากกว่าจะมายืนอยู่ในครัวแบบนี้
กู้เซียงมองเพื่อนร่วมอาชีพด้วยแววตาชื่นชม แต่ฝ่ายนั้นกลับมองเธอราวกับจะหาข้อตำหนิ
“เธอเป็นแฟนเคลาส์เหรอ?” เฝิงเหวินถาม
“น่าจะใช่” กู้เซียงตอบด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เธอรู้จักฉันไหม” เฝิงเหวินถามต่อ
“รู้ค่ะ บทของคุณในเรื่องศึกมังกรดีมาก แถมคุณยังนำเสนอได้น่าประทับใจด้วย”
ที่เธอพูดเป็นจริงทุกอย่าง เฝิงเหวินคือนักแสดงจีนที่ไปโด่งดังในต่างประเทศ มีความสามารถเฉพาะตัวในการเล่นฉากบู๊ จนได้ฉายาในต่างแดนว่าดาราแอคชั่นหญิงที่สวยที่สุด
ทุกครั้งที่แสดง เธอจะปลดปล่อยพลังจนคนดูตื่นเต้นตาม ต่อให้เป็นแค่นักแสดงสมทบ ก็มีบทบาทเป็นที่น่าจดจำ เรียกได้ว่าอนาคตไกลแน่นอน
“ฉันก็รู้จักเธอเหมือนกัน” เฝิงเหวินไม่ซาบซึ้งกับคำชมของกู้เซียงแม้แต่น้อย “หนังที่เธอเล่นไม่มีมิติหรือความท้าทายอะไรเลย แค่พูดไปตามบท โชว์รักลูกหมาใสๆ ไร้สมองหลอกพวกเด็กมหาลัยไปวันๆ”
นี่คือทัศนคติของดาราดังระดับโลกจริงๆ เหรอเนี่ย?—กู้เซียงแอบคิดในใจ
“ฉันรู้จักเคลาส์มานานหลายปี” เฝิงเหวินยังคงวางมาดโค้ช “เธอไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นแฟนของเขา แต่ถ้ามั่นใจก็ลงแข่งกับฉันได้”
ให้ตายเถอะ! ซูเปอร์สตาร์นิสัยเด็กน้อยอย่างจ่านหยาง มีสาวมาตามตื๊อตามจีบ แถมยังชวนเธอให้มาตบแย่งอีก ยิ่งคิดกู้เซียงก็ยิ่งปวดหัว
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก” เฝิงเหวินรู้สึกถึงความลังเลในแววตาของกู้เซียง “ฉันไม่ตบกับเธอหรอก อ่อนแอบอบบางซะขนาดนี้ ลมพัดก็ปลิวแล้วมั้ง”
“คุณตามจีบจ่านหยางอยู่เหรอ?” กู้เซียงอดไม่ได้ที่จะถามกลับ
“ไม่อยู่แล้ว” เฝิงเหวินเชิดคางอย่างภาคภูมิใจ “แค่รู้สึกว่าคนอย่างเธอไม่คู่ควรกับเขา”
ผู้หญิงคนนี้มีทิฐิเกินกว่าจะพูดคำว่า ‘รัก’ ออกมา เลยใช้วิธีนี้เพื่อจัดการกับผู้หญิงทุกคนที่ข้องเกี่ยวกับจ่านหยาง ชายที่เธอหมายปองมานาน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ปัญญาอ่อนเหลือเกิน
กู้เซียงเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเวลาเฝิงเหวินถ่ายหนังถึงได้ไร้อารมณ์ขนาดนั้น เป็นเพราะนิสัยเย็นชาไร้หัวใจนี่เอง
ถึงจะดาวน์โหลดนิยายตามจีบผู้ชายมาอ่าน ก็น่าจะมีวิธีที่ดีกว่าในตอนนี้
“ไม่ต้องพูดมาก ฉันขอท้าเธอ!” เฝิงเหวินพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ไหนๆ ก็ได้เป็นศิลปินในสังกัดของเซิ่งถางแล้ว กล้าแย่งบทของสเก็ตเชอร์สกับฉันไหมล่ะ?”
กู้เซียงหัวจะปวดอีกครั้ง
เฝิงเหวินก้าวหน้าในวงการหนังต่างประเทศ จนติดนิสัยน้ำเน่ามาใช้ในประเทศบ้านเกิด คาดว่าสักพักคงใช้ประโยคเด็ดที่ว่า “ถ้ากลัวแพ้ก็รีบไปจากจ่านหยางซะ!”
แล้วเธอก็พูดประโยคนี้จริงๆ…
“ถ้ากลัวแพ้ก็รีบไปจากจ่านหยางซะ!” เฝิงเหวินหัวเราะด้วยความสะใจ “กล้าดียังไงมาเซ็นสัญญากับเซิ่งถาง วงการบันเทิงไม่ได้อยู่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ อยู่กับหม้อ ไห กระทะแบบนี้น่าจะเหมาะกว่า ผู้หญิงอย่างเธอฉันเห็นมานักต่อนักแล้ว งัดมารยาร้อยเล่มเกวียนเพื่อผู้ชายคนเดียว!”
“หยุดได้แล้ว!” กู้เซียงวางทัพพีในมือและสูดหายใจเข้าลึก
“อยู่กับหม้อ ไห กระทะแล้วจะทำไม? เธอไม่กินข้าวก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่กินด้วย เธอเล่นหนังเป็น ฉันก็เล่นหนังเป็น ฉันทำกับข้าวเป็น แล้วเธอทำกับข้าวเป็นไหม?” กู้เซียงจ้องเฝิงเหวินตาไม่กะพริบ “เธอต่างหากที่งัดมารยาออกมายั่วผู้ชาย ฉันรับคำท้า แต่ไม่ใช่เพื่อผู้ชายนะ ฉันทำเพื่อตัวเอง ข้าวจากวงการบันเทิงจะอร่อยไหม ก็ต้องดูว่าเป็นข้าวในถ้วยของใคร ให้ทำเพื่อผู้ชายฉันขอบาย แต่ถ้าให้แข่งกับเธอฉันสู้หัวชนฝา ตกลงตามนี้นะ แม่ดาราแอคชั่นหญิงที่สวยที่สุด!”
ในเมื่อปัญญาอ่อนมาก็ปัญญาอ่อนกลับ ผู้หญิงแบบนี้ต้องเอาความร้ายกาจเข้าสู้ถึงจะสูสี
“การแสดงคืออาชีพ ไม่ใช่การแก่งแย่ง เธอใช้การแสดงเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายที่ต้องการ แต่ก็ยังให้สัมภาษณ์กับนิตยสารว่าการแสดงคือชีวิตและจิตวิญญาณ คนปากอย่างใจอย่างแบบเธอ ฉันเห็นมานักต่อนักแล้ว น่าสมเพชจริงๆ!”
กู้เซียงอบรมจนอีกฝ่ายเงียบกริบ
ในชีวิตของทุกคนมักได้เจอเรื่องเหนือความคาดหมายมากมาย
จากที่วางแผนไว้เป็นอย่างดี ก็อาจมีบางครั้งที่ไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ได้
กู้เซียงคิดว่าการกลับชาติมาเกิดจะทำให้ได้จดจ่ออยู่กับการแสดงอย่างเต็มที่ แต่สายงานนี้ไม่ง่าย ต้องเจอกับศัตรูประปราย แต่ไม่คิดว่าจะถูกท้าทายเรื่องฝีมือการแสดงเพื่อแลกกับความรัก
ความคิดของคนเราช่างซับซ้อนและน่ากลัวเหลือเกิน…
เมื่อทุกคนกลับไปแล้ว เหวินจิ้งแอบมองกู้เซียงด้วยความเป็นห่วง
“เซียงเซียง ผู้หญิงคนนั้นมีเจตนาไม่ดี ต้องระวังตัวให้มากนะ”
กู้เซียงอยากจะบอกเหลือเกินว่าเฝิงเหวินเป็นแค่ผู้หญิงปัญญาอ่อนคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับเฉียวอิ้งฉิง ก็นับว่าเป็นศัตรูที่กระจอกมาก เพียงแต่ฝีมือการแสดงเหนือชั้นกว่า
ตอนเฝิงเหวินพูดประโยคเหล่านั้นในห้องครัว กู้เซียงพลันเกิดความรู้สึกบางอย่างในใจ โดยเฉพาะบทของสเก็ตเชอร์ส
บทนี้จะพิสูจน์ความสามารถของพวกเธอได้ดี เพราะต้องใช้ฝีมือการแสดงค่อนข้างสูง
เฝิงเหวินบอกว่าจะเป็นคนไปขอสเก็ตเชอร์สให้กู้เซียงได้เข้าร่วมคัดตัวนักแสดงด้วย การแคสต์งานครั้งนี้ของเธอจึงไม่ต่างจากการออกรบ ที่ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งสูญเสียเลือดเนื้อ
เมื่อย้อนทบทวนถึงวิธีคิดของผู้หญิงปัญญาอ่อนอย่างเฝิงเหวิน ก็นับว่าตรงไปตรงมาดี
แม้จะดูแปลกไปบ้าง แต่หากพิสูจน์กันด้วยฝีมือ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี
ด้วยคุณสมบัติของกู้เซียง หากอยากโกอินเตอร์อาจต้องอาศัยประสบการณ์อีกหลายปี การรับคำท้าของเฝิงเหวินจึงเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเอง ต่อให้จะดูงี่เง่าเพราะมีผู้ชายเป็นเดิมพันก็ตาม
ชาติที่แล้ว กู้เซียงเคยได้รางวัลนักแสดงภาพยนตร์ดีเด่นจากหนังบู๊คลาสสิก ซึ่งมีฉากเตะต่อยตั้งแต่ต้นจนจบ ในบรรดาภาพยนตร์ที่กู้เซียงเคยถ่ายทำ เรื่องนี้ดูเหมือนจะยากที่สุด
ความยากของภาพยนตร์บู๊ก็คือ ต้องทำให้การเคลื่อนไหวร่างกายสอดคล้องกับทักษะการแสดง ทั้งสีหน้า ท่าทาง และอารมณ์ที่ลงตัว
กู้เซียงเป็นคนที่เก็บรายละเอียดของการแสดงได้เป็นอย่างดี ผู้หญิงมักไม่ถนัดบทบู๊ เพราะขาดทักษะด้านการป้องกันตัวอย่างจริงจัง แต่เพื่อให้ได้ภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอถึงกับไปเรียนศิลปะป้องกันตัวนานถึงหกเดือน ฝึกฝนจนหน้าบวมช้ำ ไม่ก็มีรอยกลับบ้านไม่เว้นแต่ละวัน
ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร เมื่อกู้เซียงใช้จิตวิญญาณของนักแสดงบวกกับศิลปะป้องกันตัวที่ร่ำเรียนมา จึงโดดเด่นกว่าดาราหญิงคนอื่นๆ และกลายเป็นราชินีแห่งวงการภาพยนตร์บู๊ที่อายุน้อยที่สุดในตอนนั้น
จากที่ควรจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความรุ่งเรือง เหลียงจี้กลับให้เธอออกจากวงการบันเทิง