หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 17

ตอนที่ 17

หลังรับปากแบบลวกๆ กู้เซียงก็ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า

ก่อนแยกย้ายกันเข้าห้อง จ่านหยางได้ย้ำกับเธอว่า “ลองทบทวนดูแล้วกัน ผมไม่บังคับคุณหรอก”

เขาไม่บังคับก็เหมือนบังคับ เพราะทั้งประเทศรู้แล้วว่าเธอถูกขอแต่งงาน กู้เซียงจึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ

ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน ในเมื่อเธอรู้สึกดีกับเขาอยู่แล้ว ทำไมจะต้องกลัวความเจ็บปวดเหมือนในอดีตด้วย

ขณะกำลังวิ่งตามความฝัน หากไม่มีคนที่เหมาะสมจะใช้ชีวิตด้วย การอยู่คนเดียวก็เท่ไปอีกแบบ แต่ถ้าได้เจอคนดีๆ ก็เป็นเรื่องดียิ่งกว่า

สิ่งที่ทำให้กู้เซียงประทับใจที่สุด ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกหรือชื่อเสียงของจ่านหยาง แต่คือความอ่อนโยน ความเอาใจใส่ และความจริงใจของเขา

เหล่านี้คือสิ่งที่เธอแทบไม่เคยได้รับจากความรักในชาติที่แล้ว…

กู้เซียงปัดมือแล้วลุกขึ้นยืน ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น

เธอชินกับการใช้ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ ตามสิ่งที่ผันแปรอย่างไม่อาจคาดเดา เช่นนี้ก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามเวลาที่เหมาะสมน่าจะดีที่สุด

อีกฟากหนึ่งของโลก

“เฝิง เลิกงานแล้วไปฉลองด้วยกันไหม?” สาวผมทองตาฟ้าถาม

“ไม่อะ ฉันมีธุระต่อ”

เฝิงเหวินรวบผมเป็นหางม้าแล้วหยิบเสื้อคลุมขึ้นสวม

สาวผมทองยักไหล่ คล้ายชินกับกิริยาของอีกฝ่าย

“วันนี้เธอดูอารมณ์ไม่ดีนะ” หญิงสาวอีกคนพูดขึ้น

“ก็แน่อยู่แล้ว คนที่เธอชอบดันไปขอผู้หญิงคนอื่นแต่งงาน”

“น่าสงสารจังเลย” สาวผมทองทำหน้าเศร้า

สำนักข่าวพากันประโคมเรื่องที่จ่านหยางขอกู้เซียงแต่งงาน แม้แต่เฝิงเหวินที่กำลังถ่ายภาพยนตร์อยู่ ยังถูกเรื่องนี้กวนใจ

เธอเปิดโทรศัพท์ดูรูปที่บันทึกลงเครื่อง เป็นภาพของจ่านหยางกำลังกุมมือกู้เซียงแล้วพูดบางอย่าง แม้จะเป็นเพียงภาพถ่าย แต่ก็รู้สึกได้ถึงแววตาที่จริงจัง ช่างเป็นภาพที่บาดตาบาดใจเหลือเกิน

ตั้งแต่เล็กจนโต จ่านหยางที่เธอรู้จักคือชายหนุ่มนิสัยเย็นชา ไม่ใช่แบบที่เห็นอยู่ในตอนนี้

เธอเป็นคนชอบความท้าทาย ยิ่งจ่านหยางทำตัวห่างเหินเธอก็ยิ่งชอบ พยายามทำทุกอย่างเพื่อเรียกร้องความสนใจ ต่อให้ต้องแย่งทุกอย่างไปจากเขาก็ยอม

เฝิงเหวินรู้ดีว่าวิธีของเธอปัญญาอ่อนมาก แต่ก็ยังคิดวิธีอื่นไม่ออก

สำคัญก็คือไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง จ่านหยางก็ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม

น่าแปลกที่หลังจากเข้าวงการ จ่านหยางในโทรทัศน์กลับไม่เหมือนที่เธอรู้จัก ทั้งยิ้มแย้มแจ่มใส เข้ากับคนง่าย และดูภูมิฐาน ยิ่งทำให้เฝิงเหวินหลงใหลในตัวเขามากขึ้น ไม่สนคำห้ามปรามของคนในบ้าน และดึงดันจะเข้าวงการบันเทิงเพื่อเป็นนักแสดง

สุดท้ายก็ทำเหมือนเดิม พยายามปีนให้สูงกว่าจ่านหยาง เพื่อที่เขาจะได้หันมาสนใจ แต่ไม่เคยสำเร็จสักครั้ง

เฝิงเหวินไม่รู้ว่าทำไมถึงหลงใหลผู้ชายคนนี้ หรือจะรักจนเคยชินไปแล้ว หรือแค่อยากเอาชนะเพื่อให้เขาศิโรราบ

เหตุผลมีมากมายหลากหลาย แม้แต่ตัวเธอก็ไม่อาจแยกแยะได้ ความรู้สึกนี้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งกู้เซียงปรากฏตัวขึ้น

ผู้หญิงในภาพดูงดงามอ่อนโยน สีหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ช่างเป็นภาพที่บาดตาบาดใจเฝิงเหวินเหลือเกิน

ของบางอย่าง แม้จะพยายามก็ไม่มีวันได้ครอบครอง ต่อให้เส้นทางในวงการบันเทิงของเธอจะราบรื่นและรุ่งเรืองก็ยังดูไร้ค่า เพราะสุดท้ายก็ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการอยู่ดี

เฝิงเหวินค่อยๆ หลับตาเพื่อสงบสติอารมณ์ หลายปีที่ผ่านมาจ่านหยางไม่เคยข้องเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหน พอรู้ว่าเขาคบกับกู้เซียง เธอก็รีบเดินทางกลับจีน จนได้รู้ว่ากู้เซียงไม่ได้ชอบจ่านหยางอย่างที่คิด

ด้วยความที่เธอมีใจจดจ่อและทุ่มเทเพื่อความรักมาตลอด จึงพอจะเดาออกว่าการคบหาของพวกเขาคือการจัดฉาก

เฝิงเหวินไม่อาจหลอกตัวเองได้อีก เพราะแววตาและท่าทางของจ่านหยางแสดงให้เห็นว่าเขาชอบกู้เซียงมากแค่ไหน

เธอแอบชอบจ่านหยางมานานกว่าสิบปี มีเขาเป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว อุตส่าห์ผ่านมาได้กว่าครึ่งทางแล้ว แต่กลับถูกคนอื่นแย่งไปต่อหน้าต่อตา

เฝิงเหวินกดโทรศัพท์หาใครบางคน

เธอต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร พิสูจน์ว่าเธอเองก็มีสิทธิ์จะยืนข้างเขาเช่นกัน

“สเก็ตเชอร์ส ฉันจะไปคัดตัวนักแสดง แต่คุณต้องรับปากเรื่องหนึ่งก่อน…”

ถางรุ่ยนั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกแล้วชนแก้วกับจ่านหยาง

แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงไฟ แต่แววตาของจ่านหยางกลับส่องประกายอย่างเห็นได้ชัด

“ดีใจได้แล้วเหรอ?” ถางรุ่ยจิบเหล้าไปอึกหนึ่ง “เสียใจหรือเปล่า?”

“คิดว่าไงล่ะ?” จ่านหยางถามกลับ

“ฉันว่านายไม่เสียใจหรอก” ถางรุ่ยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วเหมือนกันเนอะ แป๊บเดียวจะแต่งงานกันแล้ว”

“ขอบใจนะ”

“ยินดีเสมอ” ถางรุ่ยตบบ่าเพื่อนรัก “ครั้งแรกที่ฉันเห็นนายกับกู้เซียง ก็รู้แล้วว่าต้องได้คบกัน”

จ่านหยางฟังแต่ไม่พูดอะไร

“กู้เซียงดูไม่ใช่คนที่อ่อนไหวกับใครง่ายๆ นายแน่ใจนะว่าจะไม่กลับลำ?” ถางรุ่ยถาม

“ก็ต้องลองดู” จ่านหยางตอบ

“เฝิงเหวินกำลังติดต่อสเก็ตเชอร์สให้กู้เซียงไปแคสต์บท” ถางรุ่ยเว้นจังหวะเล็กน้อย “ครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา เธอรู้สึกว่าถูกคุกคามเลยใช้วิธีที่แรงขึ้นเพื่อยืนยันว่าตัวเองเหนือกว่า แต่ฉันคิดว่ากู้เซียงยินดีกับโอกาสนี้ นายเข้าใจเหมือนฉันใช่ไหม?”

เขากำลังบอกว่ากู้เซียงอาศัยความสัมพันธ์กับจ่านหยางและความหึงหวงของเฝิงเหวิน เพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสในการคัดตัวนักแสดง

“อย่าพูดอะไรแบบนี้อีกนะ” จ่านหยางวางแก้วในมือ “เรื่องการแสดงสำคัญกับกู้เซียงมาก ฉันไม่ชอบวัดค่าของคนจากฝีมือ และกู้เซียงก็ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น”

ถางรุ่ยรู้แต่แรกแล้วว่าจ่านหยางจะต้องพูดแบบนี้ จึงกลืนเหล้าที่เหลือลงคอแล้วกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ

“เรื่องนี้ทำฉันคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่ง”

“คำพูดอะไร?” จ่านหยางถาม

“เล่นหมากเกมนี้กับนายช่างลำบากเหลือเกิน การที่ฉันพยายามรักษาขุนเอาไว้ ทำให้ต้องเสียหมากตัวสำคัญที่สุดไป”

มันคือประโยคเด็ดจากภาพยนตร์ที่จ่านหยางเคยเล่น เป็นตอนที่พระเอกพยายามจะเอาชนะบอสใหญ่จนต้องเลิกกับผู้หญิงที่รักที่สุด ซึ่งเหมือนกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้

เฝิงเหวินอยากจะรักษาขุนของเธอ กระทั่งยอมเสียงานดีๆ โดยไม่นึกเสียดาย เพื่อให้ได้ต่อกรกับกู้เซียง

“ฉันไม่เคยมองเธอเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง” จ่านหยางพูดเหมือนบทในภาพยนตร์

สำหรับเขา กู้เซียงไม่ใช่หมาก แต่เป็นคนที่พร้อมจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยต่างหาก

สองวันหลังจากนั้น กู้เซียงได้รับสายจากบริษัทต่างชาติของสเก็ตเชอร์ส

“คุณสนใจจะคัดตัวนักแสดงเรื่องไล่ล่าฆ่าเบคหรือเปล่า?”

นี่เป็นภาพยนตร์ที่มีการเดินเรื่องแสนเรียบง่าย เนื้อเรื่องกล่าวถึงเจ้าสาวที่เคยเป็นหนึ่งในทีมฆ่า ซึ่งอาศัยการแต่งงานเพื่อดึงตัวเองออกจากชีวิตที่เต็มไปด้วยการนองเลือด แต่การมาถึงของเพื่อนร่วมงานและเบคผู้เป็นหัวหน้าเก่ากลับทำลายทุกอย่างจนหมดสิ้น

“เบค” เจ้าสาวทำเสียงอ้อนวอน “เด็กในท้องของฉันเป็นลูกคุณ”

คำตอบของเขาคือเสียงปืนดังสนั่น

สี่ปีต่อมา เธอตื่นขึ้นในโรงพยาบาล จากนั้นก็เริ่มล้างแค้นอย่างบ้าระห่ำ

จากเท็กซัส ไปโอกินาวา โตเกียว และเม็กซิโก สังหารกลุ่มคนที่เคยเข้ามาทำลายงานแต่งงานของเธอทั้งหมด

ภาพยนตร์เรื่องนี้ นางเอกต้องสังหารคนถึงห้าสิบเจ็ดคน เป็นหนังล้างแค้นโดยสมบูรณ์ ทั้งการตัดต่อ เสียง และฉากที่ทำให้คนดูเร้าใจตาม

การที่หนังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ช่วยปลุกกระแสสังคมทางอ้อม ทั้งยังเป็นการสร้างชื่อให้กับตัวเองในระดับหนึ่ง

แม้จะรู้แต่แรกแล้วว่าอาจได้รับคำเชิญให้ไปคัดเลือกนักแสดง แต่พอได้รับโทรศัพท์จริงๆ กู้เซียงกลับตื่นเต้นมาก

นี่เป็นภาพยนตร์คลาสสิกที่เร้าใจผู้ชม จนได้รับการจัดอันดับจากหนังสือพิมพ์ของชิคาโกให้เป็นหนังเกรด B ที่สะกดสายตาคนดูมากที่สุด เช่นเดียวกับนิตยสารของเมืองโทรอนโต แคนาดา ที่ยกให้เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่สร้างความบันเทิงได้ถึงขีดสุด

กล่าวได้ว่าคำชมเหล่านี้คือเครื่องการันตีว่าบทบาทของตัวละครมีความท้าทายเพียงใด

ในอเมริกามีภาพยนตร์บู๊ที่เดินเรื่องด้วยนักแสดงหญิงน้อยมาก และเป็นครั้งแรกที่ใช้คนจีนมาเล่นเป็นนางเอก

กู้เซียงเคยศึกษาบทภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อน ชาติที่แล้ว เฝิงเหวินได้เรื่องไล่ล่าฆ่าเบคช่วยผลักดันจนกลายเป็นนางเอกจีนคนแรกที่โด่งดังในฮอลลีวูด

เธอคุ้นเคยกับการเล่นหนังบู๊อยู่แล้ว แถมบุคลิกยังเหมาะสมอีก ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงประสบความสำเร็จอย่างสูง แม้คนดูจะรู้สึกขัดตาที่เธอต้องเล่นเป็นคนญี่ปุ่นก็ตาม

ทีมผู้สร้างเคยถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะบทประพันธ์ดั้งเดิมกำหนดให้นางเอกเป็นคนจีน แต่คนทั่วไปมองว่าชนชาติจีนยึดมั่นในคุณธรรมและจิตใจดี การล้างแค้นต้องทำอย่างมีศักดิ์ศรี เฉกเช่นจิงเคอที่ลอบสังหารจิ๋นซีฮ่องเต้

ด้วยความที่เฝิงเหวินเป็นคนสวยอินเตอร์ หน้าตาคล้ายสาวยุโรป จึงแสดงความโหดเหี้ยมและภาพลักษณ์ของตัวละครได้น้อยกว่าเกณฑ์ เมื่อไม่อาจถ่ายทอดความรู้สึกอย่างนักฆ่าสาวชาวจีนได้ ทีมผู้สร้างจึงตัดสินใจให้เธอเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-ยุโรปแทน

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท