จุดเปลี่ยนนี้ทำเธอเสียใจที่สุดในชีวิต เมื่อได้กลับมาเกิดอีกครั้งจึงรับคำท้าจากเฝิงเหวิน จะได้พิสูจน์ตัวเองและกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง
แม้จะทำไปด้วยความปรารถนาในชื่อเสียงและหวังรางวัลจากวงการภาพยนตร์ แต่ลึกๆ เธอก็ยังอยากแสดงภาพยนตร์บู๊อีกสักครั้ง เพื่อยืนยันว่าการกลับชาติมาเกิดไม่ได้บรรลุเพียงเป้าหมายสูงสุดของชาติที่แล้ว แต่เธอจะไปให้ไกลกว่าเดิม
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” กู้เซียงบอกเหวินจิ้ง “แค่ช่วยหาโค้ชมาสอนศิลปะป้องกันตัวให้ก็พอ เรื่องหน้าฉันอยากลองเล่นบทบู๊ดูบ้าง”
“หนังบู๊?” เหวินจิ้งเลิกคิ้วสูง “เรื่องโค้ชน่ะไม่มีปัญหา แต่เธอรับงานหลากหลายเกินไป หรืออยากจะเป็นตัวแม่ในวงการหนังก็เอา”
“Yes!” กู้เซียงดีดนิ้ว “มาสู้ไปด้วยกันนะ”
เหวินจิ้งแหงนหน้ามองฟ้า “เธอทั้งสวย ทั้งวิสัยทัศน์ดี พูดอะไรก็ถูกไปหมด แต่เรื่องของจ่านหยาง… ไม่ทบทวนดูหน่อยเหรอ? ถึงศัตรูหัวใจจะโผล่มา แต่ฉันว่าเขาก็มีใจให้เธอนะเซียงเซียง อย่าบอกนะว่าไม่รู้สึกอะไรเลย”
“ไม่” กู้เซียงตอบอย่างหนักแน่น
“ทำไมล่ะ หรือเธอมีคนที่ชอบอยู่แล้ว?” เหวินจิ้งชะโงกหน้าเข้าใกล้
“คนหนุ่มสาวต้องคิดเรื่องงานไว้ก่อน” กู้เซียงผลักศีรษะของเหวินจิ้งออก “เรื่องความรักเอาไว้ทีหลัง”
เหวินจิ้งเบ้ปากแล้วไม่พูดอะไรต่อ
ตั้งแต่นั้นมา เฝิงเหวินก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย
พอเจี่ยงลี่ลี่ถามเรื่องนี้กับถางรุ่ย เขาก็ตอบเพียงว่าเฝิงเหวินบินกลับไปถ่ายหนังที่อเมริกาแล้ว ทำกู้เซียงแอบคิดว่าฝ่ายนั้นแค่อยากกลับมาหาเรื่องเธอ
จ่านหยางงานยุ่งขึ้นทุกวัน ภาพยนตร์เรื่องวีรบุรุษสุจริตทุ่มทุนสร้างมหาศาล ตลอดจนใช้เวลาถ่ายทำยาวนานมาก ส่วนกู้เซียงที่รับบทฝาแฝดในภาพยนตร์เรื่องคมมีดอาชาก็ยุ่งไม่แพ้กัน
แม้จะยุ่งตัวเป็นเกลียว แต่พวกเขาก็หาเวลามาเจอกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องบท
จ่านหยางแสดงหนังด้วยความตั้งใจ แถมยังถนัดเรื่องการถ่ายทอดวิชา ส่วนกู้เซียงก็ไม่ใช่คนไร้พื้นฐาน ทุกครั้งที่ต่อบทด้วยกันจึงเป็นการพัฒนาฝีมือไปในตัว
เธอตอบแทนอีกฝ่ายด้วยการช่วยวิเคราะห์ตัวละครในเรื่องวีรบุรุษสุจริต จนถางรุ่ยให้ฉายาว่าคู่สามีภรรยาแห่งวงการบันเทิง เจ้าของรางวัลผัวเมียดีเด่นแห่งปี
ไม่นานก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ
คมมีดอาชาถ่ายทำเสร็จตอนเดือนสี่พอดี ห่างจากช่วงคู่รักเปิ่นเป๋อไปหนึ่งปี
เคลวินนั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขก ในมือถือเอกสารปึกใหญ่
“เคลาส์ เรื่องที่นายคบกับกู้เซียงเป็นกระแสได้ดีมาก ฉันเลยยืดเวลาไปอีกครึ่งปี จากนี้จะออกสื่อด้วยกันน้อยลง แล้วค่อยเอาข้ออ้างเรื่องที่ต่างคนต่างยุ่งมาใช้ตอนเลิก ถ้านักข่าวถามก็แค่บอกว่าอยู่ห่างกันเกินไป เลยขอเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันพอ ถ้าเปิดประเด็นตอนนี้ อาจพอเป็นกระแสให้กับหนังเรื่องคมมีดอาชาได้”
ตั้งแต่เฝิงเหวินปรากฏตัว เคลวินก็รู้สึกดีต่อกู้เซียงมากขึ้น คล้ายมีตัวเปรียบเทียบระหว่างผู้หญิงที่ชอบแย่งงานของศิลปินตัวเองกับแฟนปลอมๆ จนถึงขั้นอยากช่วยโปรโมทหนังเรื่องคมมีดอาชาให้เธอ
เคลวินพูดเสียยาวเหยียด แต่จ่านหยางไม่ตอบสักคำ
“เคลาส์ ยังฟังอยู่หรือเปล่า?” เคลวินเรียก
“ไว้ค่อยว่ากัน” เขาตอบ
“ไว้ค่อยว่ากันอะไร ฉันนัดสื่อมวลชนไว้ว่าจะแถลงข่าววันศุกร์เย็น เรื่องสถานที่ยังไม่สรุป แต่ยืนยันว่างานนี้ไม่มีเรื่องเสียหายแน่นอน กับเหวินจิ้งก็คุยกันเรียบร้อยแล้ว” เคลวินหยุดหายใจครู่หนึ่ง “ถ้ามีเวลาก็ไปเตี๊ยมกับกู้เซียงไว้ก่อน ส่วนจะบอกสื่อมวลชนยังไงไปตัดสินใจเอาเอง”
ในคืนเดียวกันนั้น ถางรุ่ยกลับเข้าห้องแล้วพบว่าจ่านหยางกำลังนั่งอยู่ตามลำพัง
“ทำไมไม่เปิดไฟ?” พอเห็นขวดเบียร์ในมือ เขาก็จิ๊ปาก “ดื่มย้อมใจอยู่เหรอ? มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ฉันฟังได้”
ปกติจ่านหยางจะไม่แตะต้องแอลกอฮอล์ช่วงรับงานภาพยนตร์ แต่วันนี้กลับดื่มเบียร์เป็นขวดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ถางรุ่ยยกเก้าอี้มานั่งตรงหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะเท้าคางถาม “เสียใจที่ต้องเลิกกับกู้เซียงใช่ไหม? ฉันไม่เคยเห็นนายลังเลกับเรื่องพวกนี้เลยนะ”
“ฉันควรทำยังไงดี?” จ่านหยางถาม
“บอกแล้วจะทำตามเหรอ?” ถางรุ่ยถามกลับ “ฉันรู้ว่านายกำลังเศร้า แต่เราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเธอคิดเหมือนกันหรือเปล่า”
สถานการณ์ในตอนนี้ เป็นใครก็ดูออกว่าจ่านหยางคิดอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนกู้เซียงก็แค่ทำตามหน้าที่ จนถางรุ่ยยังนึกสงสัยว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนหรือเปล่า เพราะโอกาสที่จะได้เจอผู้ชายที่เพียบพร้อมและรักเธอด้วยความจริงใจมีไม่มากนัก
ถางรุ่ยรู้จักจ่านหยางมานาน ที่ผ่านมาเพื่อนคนนี้ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับเรื่องใด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จตลอด แค่เล่นเป็นนักแสดงสมทบในหนัง ก็ยังสามารถเป็นกระแสและโด่งดังกว่าคู่พระนางเสียอีก
หากจ่านหยางอยากสร้างความประทับใจให้ใครสักคน คงทำได้ไม่ยาก แต่นี่ผ่านมาเป็นปีแล้ว ขนาดคนนอกยังดูออกว่าเขาพยายามสร้างความประทับใจให้กู้เซียงแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ตั้งแต่ค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปในชีวิตประจำวัน ให้ความเป็นห่วงเป็นใย คอยช่วยเหลือเรื่องหน้าที่การงาน ทุกเรื่องล้วนทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จากตอนแรกที่เป็นคนเก็บตัว แต่กลับยอมเปิดใจรักใครสักคน ทว่าฝ่ายนั้นไม่ยอมให้เขาเข้าไปในหัวใจ ซ้ำยังลงกลอนประตูอย่างแน่นหนา จะไม่ให้ปวดใจยังไงไหว
ความรู้สึกบางอย่างถาโถมขึ้นในใจถางรุ่ย เขาอุตส่าห์ดูแลทุกข์สุขของวายร้ายคนนี้มานาน แต่ซูเปอร์สตาร์จ่านผู้ยิ่งใหญ่กลับต้องพ่ายแพ้ให้กับคนที่สงสัยว่าจะเป็นรักร่วมเพศ โลกช่างโหดร้ายกับเขาเหลือเกิน
“โคตรเซ็ง!” จ่านหยางพูดลอยๆ แล้วหนีเข้าห้องนอนไป
ถางรุ่ยดื่มเบียร์ที่เหลือจนหมด ก่อนจะเดินฮัมเพลงไปอาบน้ำ
ห้องนอนของจ่านหยางเปิดไฟไว้ทั้งคืน
ไม่ใช่แค่เขาที่นอนไม่หลับ กู้เซียงก็นอนไม่หลับเหมือนกัน
เธอนอนไม่หลับเพราะคิดหาคำพูดที่จะแถลงในวันศุกร์นี้ ถึงจะเคยมีประสบการณ์หย่าร้างและต้องแถลงข่าวเรื่องที่จบไม่สวย แต่การเลิกราที่ยังคงเป็นเพื่อนกันต่อ เธอทำไม่เป็นจริงๆ
สุดท้ายจึงตัดสินใจจะปรึกษาจ่านหยาง แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ช่ำชองกับเรื่องพวกนี้ ต่อให้แสดงหนังมานานหลายปี ก็ยังเขินกับฉากรักของตัวเองอยู่เลย
กู้เซียงผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งที่ยังสงสัยกับคำถามของเหวินจิ้งก่อนหน้านี้
“เรื่องของจ่านหยาง… ไม่ทบทวนดูหน่อยเหรอ? ถึงศัตรูหัวใจจะโผล่มา แต่ฉันว่าเขาก็มีใจให้เธอนะเซียงเซียง อย่าบอกนะว่าไม่รู้สึกอะไรเลย”
ความรู้สึกหวั่นไหวไม่เกิดกับกู้เซียงมานานแล้ว
จ่านหยางเป็นผู้ชายที่อบอุ่นมากคนหนึ่ง เวลาอยู่ด้วยจะรู้สึกปลอดภัยตลอด หากเธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไป ก็คงอยากพิจารณาเขาไว้เป็นคู่ชีวิตเหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่ความรักที่แท้จริง มันเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น
คืนวันศุกร์ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
แม้ในยามค่ำคืนก็ยังเห็นแสงดาวพราวพร่างเต็มไปหมด งดงามอย่างหาที่ติไม่ได้
เหวินจิ้งสามารถหาโค้ชมาสอนศิลปะป้องกันตัวให้กู้เซียงได้ในวันถัดมา
โค้ชคนนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงการ กู้เซียงกระตือรือร้นที่จะพัฒนาฝีมืออยู่แล้ว จึงเริ่มเรียนโดยไม่รอช้า
เธอหวังว่าเฝิงเหวินจะเลิกตอแยหากได้เห็นข่าวการเลิกรากับจ่านหยาง แต่ผู้หญิงที่งี่เง่าขนาดนั้นก็อาจจะคิดไม่ได้
หากอีกฝ่ายไม่ยอมให้เธอเข้าร่วมคัดเลือกนักแสดงจริงๆ การฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวในครั้งนี้ก็ไม่สูญเปล่า เพราะยังสามารถรับเล่นหนังบู๊ในประเทศได้
หลังซ้อมเสร็จ กู้เซียงเดินไปเติมเครื่องสำอางที่ห้องน้ำ
ตอนแรกเธอจะไม่ใส่ชุดกีฬาไปงานแถลงข่าว แต่เหวินจิ้งกลับคิดต่าง
“ไม่มีใครตั้งใจแต่งตัวมาบอกเลิกหรอก ชุดกีฬาแบบนี้แหละดีแล้ว แฟนคลับจะได้ไม่คิดมาก”
เคลวินนัดสื่อมวลชนเป็นที่เรียบร้อย มั่นใจด้วยว่าข่าวการเลิกราที่นำเสนอจะเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่เหวินจิ้งกลับรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
“ถึงจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็ใจหายเหมือนกันนะ” เธอพูดเสียงอ่อย
คืนนี้กู้เซียงต้องประกาศเลิกกับจ่านหยาง
ระยะเวลาที่ทั้งสองคบกันยาวนานกว่าที่ตกลงไว้ในตอนแรกมาก เนื่องจากความสัมพันธ์ในครั้งนี้ส่งผลดีต่องานของทั้งคู่ แต่จะพึ่งพาความรักไปตลอดไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่หนึ่งในองค์ประกอบเท่านั้น
จ่านหยางนัดเจอกู้เซียงที่ร้านอาหารบนดาดฟ้าก่อนงานแถลงข่าว
ไม่รู้ว่าเคลวินคิดแบบเดียวกับเหวินจิ้งหรือไม่ เพราะจ่านหยางที่เพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำมาในชุดลำลองสีดำที่คล้ายกับกู้เซียงมาก
“มีที่ไหน จะเลิกกันแล้วยังใส่ชุดคู่!” เหวินจิ้งส่ายหน้าด้วยความระอา “เอาเถอะ อย่างน้อยนักข่าวก็รู้สึกว่าการเลิกราครั้งนี้จบลงด้วยดี”
ด้วยความที่ติดตามกู้เซียงมานาน ไปมาแล้วทั้งกองถ่ายน้อยใหญ่ เหวินจิ้งจึงวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างเฉียบขาด
“ฉันไปก่อนนะ ค่อยๆ คุยกันล่ะ ถ้านักข่าวมาจะโทรเตือน ถึงตอนนั้นก็แสดงให้เต็มที่เลย” เหวินจิ้งให้กำลังใจกู้เซียง “ต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าจบกันด้วยดีนะ” เธอย้ำ
พวกเขาจะซักไซ้ขนาดนั้นเชียว? ไม่ต้องตั้งใจแสดงขนาดนั้นก็ได้มั้ง—กู้เซียงแอบคิดในใจ
“กินอะไรหน่อยไหม” จ่านหยางถาม
“ไม่ดีกว่าค่ะ”
ช่วงนี้เธอมุ่งมั่นกับการฝึกฝนร่างกาย จึงจำเป็นต้องงดอาหารเย็น