หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 21

ตอนที่ 21

ด้วยฝีมือการกำกับ ทำให้เกิดรูปแบบการทำงานที่เป็นตัวของตัวเอง ถนัดถ่ายภาพยนตร์ประเภทที่ตัวละครมีปมขัดแย้ง ในเมื่อบทซับซ้อนขนาดนี้ จึงตั้งมาตรฐานของนักแสดงไว้สูงมาก

‘ไล่ล่าฆ่าเบค’ คือภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องแรกที่นางเอกเป็นคนจีน

ด้วยความที่สเก็ตเชอร์สเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ที่คิดนอกกรอบ แม้แต่การคัดตัวนักแสดงก็ยังต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ เพราะเขาให้มาคัดตัวในกองถ่ายจริง ทีมงานจัดฉากและอุปกรณ์เสมือนการถ่ายทำจริงทุกอย่าง

วันนี้เฝิงเหวินเชิญนักแสดงจีนอีกคนมาร่วมแคสต์ด้วย

สเก็ตเชอร์สอยากรู้จักกู้เซียง จึงหาผลงานของเธอมาศึกษาก่อน น่าเสียดายที่เขาไม่เข้าใจวัฒนธรรมจีน จึงเข้าไม่ถึงอารมณ์ของภาพยนตร์เหล่านั้น รู้เพียงว่าเธอเป็นคนสวย แต่บุคลิกและนิสัยค่อนข้างอ่อนโยน การจะให้เล่นเป็นนักฆ่าบ้าระห่ำจึงไม่เหมาะเท่าไหร่ แต่เขาก็ยอมเพราะอยากให้เกียรติเฝิงเหวิน

ข่าวเรื่องที่ฝีมือการแสดงของเฝิงเหวินไม่เป็นที่น่าพอใจเข้าหูสเก็ตเชอร์สอย่างรวดเร็ว วงการบันเทิงไม่ค่อยมีความลับต่อกัน โดยเฉพาะข่าวซุบซิบนินทา

มีคนบอกเขาว่าผู้ชายที่เฝิงเหวินรักไปขอผู้หญิงคนอื่นแต่งงาน อารมณ์ที่แปรปรวนของเธอจึงส่งผลกระทบกับงาน คงเป็นอย่างที่สุภาษิตจีนกล่าวไว้ “ผู้ชายเวลามีความรักมักจะถอนตัวได้ แต่เวลาผู้หญิงรักจะรักหมดใจ”

ในกองถ่าย หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านบทอย่างตั้งใจ

เธอเป็นผู้หญิงเอเชียที่รูปร่างหน้าตาดี ต่างจากเฝิงเหวินที่เป็นลูกครึ่งเอเชียเหมือนกัน แต่ใบหน้าค่อนไปทางยุโรปมากกว่า

‘ซ่งจูเสียน’ หญิงสาวสัญชาติอเมริกัน-เกาหลี คือนักแสดงสมทบคนสำคัญของเรื่องนี้

ถึงจะมีเชื้อสายเกาหลี แต่บทที่เธอได้รับกลับเป็นบทของคนญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในทีมสังหารของเบค มีหน้าที่ไล่ล่าสังหารนางเอกเช่นกัน

ในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด ซ่งจูเสียนสถานะใกล้เคียงกับเฝิงเหวินที่สุด นอกจากจะเป็นคนเอเชียเหมือนกันแล้ว ฝีมือการแสดง รูปร่างหน้าตา และโอกาสในวงการยังพอๆ กันอีกด้วย

ตอนเฝิงเหวินเป็นนางเอกอันดับสอง ซ่งจูเสียนเป็นนางเอกอันดับสาม พอเฝิงเหวินขึ้นเป็นนางเอกแถวหน้า ซ่งจูเสียนก็ขึ้นเป็นนางเอกอันดับสองทันที ตามกันหนึ่งก้าวเสมอ

เมื่อเฝิงเหวินเดินทางมาถึงกองถ่าย สเก็ตเชอร์สก็เข้าไปกอดทักทายอย่างเป็นกันเอง

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

“นานมากทีเดียวค่ะ” เธอยิ้มตอบ “รออีกนิดนะคะ คนที่ฉันเชิญกำลังเดินทางมา”

“ไม่เป็นไร เชิญคุณนั่งก่อนเลย”

สเก็ตเชอร์สไม่วางตัวเหมือนผู้กำกับทั่วไป แต่มักจะแสดงความอบอุ่นและเป็นมิตรกับเพื่อนร่วมวงการเสมอ

“ผมต้องไปเตรียมงานต่อ อยู่ซ้อมกับเสี่ยวซ่งไปก่อนนะ พวกคุณต้องใช้ฉากนี้ในการแคสต์งาน”

เฝิงเหวินพยักหน้ารับคำ ก่อนจะยื่นสัมภาระให้แอนนา แล้วเดินไปหาซ่งจูเสียน

ซ่งจูเสียนแกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า

“เรามาซ้อมกันหน่อยดีไหม?”

แม้พวกเธอจะไม่เคยร่วมงานกัน แต่ก็เคยเดินพรมแดงและออกงานด้วยกันบ่อยครั้ง

จากตอนแรกที่ถูกหยิบยกมาเปรียบเทียบกัน ตอนนี้ชื่อเสียงของเฝิงเหวินนำหน้าซ่งจูเสียนไปไกลแล้ว

“ไม่อะ” เฝิงเหวินตอบแบบไม่ลังเล

เธอไม่อยากซ้อมบทให้เปลืองพลัง เพราะการเข้าถึงตัวละครในฉากบู๊ทำได้ยาก ต้องใช้ความตั้งใจอย่างมหาศาล จึงอยากเก็บแรงไว้ใช้ร่วมกับกู้เซียงมากกว่า

เมื่อถูกปฏิเสธอย่างไม่เกรงใจ แววตาของซ่งจูเสียนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา

“เอาเถอะๆ ฉันไม่คิดมากหรอก ได้ข่าวว่าคนรักของเธอไปขอผู้หญิงคนอื่นแต่งงาน สงสัยจะยังทำใจไม่ได้”

แม้น้ำเสียงจะดูเป็นห่วงเป็นใย แต่สีหน้ากลับสะใจมาก

เฝิงเหวินจ้องกลับแบบไม่วางตา “ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ!”

เมื่อรู้ว่าพูดแทงใจดำอีกฝ่าย ซ่งจูเสียนก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“คนที่มาแคสต์หน้ากล้องวันนี้เป็นใครเหรอ เพื่อนหรือเปล่า?”

ไม่มีใครรู้ว่าผู้ชายของเฝิงเหวิน คนที่ไปขอสาวอื่นแต่งงานคือจ่านหยาง คิดว่าเป็นคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น

พวกเขาไม่รู้จักจ่านหยางและไม่รู้สถานะของกู้เซียง หากรู้คงมองว่าเฝิงเหวินเป็นคนประหลาด ที่ดึงศัตรูมาลงสนามแข่งด้วย

ซ่งจูเสียนคิดว่ากู้เซียงคือเพื่อนสนิทของเฝิงเหวิน เธอจึงอยากให้โอกาสอีกฝ่ายได้แสดงฝีมือ ทั้งที่ไม่ใช่นักแสดงบู๊มืออาชีพด้วยซ้ำ

แต่ถ้าเฝิงเหวินเอาแต่เสียใจ จนกระทบกับงานอยู่แบบนี้ บทนางเอกของเรื่องไล่ล่าฆ่าเบคอาจตกไปอยู่ในมือของกู้เซียงได้

คิดถึงตรงนี้ ซ่งจูเสียนก็แสยะยิ้ม เพราะมีความเป็นไปได้ที่เฝิงเหวินจะถูกเท

ขณะกำลังครุ่นคิด ทีมงานคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นว่า “ผู้กำกับครับ คุณกู้มาถึงแล้ว”

กู้เซียงเดินเข้ากองถ่ายด้วยความรู้สึกคุ้นเคย เพราะฉากในภาพยนตร์เรื่องไล่ล่าฆ่าเบคได้ถูกจัดไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว

สเก็ตเชอร์สคือผู้จัดและผู้กำกับภาพยนตร์ที่ยังหนุ่มยังแน่น อายุประมาณสามสิบกว่าแต่ดูแลตัวเองได้ดีมาก ใช้ชีวิตด้วยความไม่เคร่งเครียด และไม่วางมาดอย่างผู้กำกับทั่วไป พอเห็นกู้เซียงเดินเข้ามา ก็ทักทายอย่างเป็นมิตร ราวกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน

“คุณกู้ที่เป็นเพื่อนของเฝิงใช่ไหม สวยสมกับเป็นสาวตะวันออกจริงๆ”

เธอต่างจากเฝิงเหวินที่เป็นลูกครึ่ง ต่างจากซ่งจูเสียนที่สวยแบบพิมพ์นิยม ความงามของกู้เซียงค่อนไปทางสาวเอเชีย คิ้วโก่งได้รูป ดวงตาดำขลับ หน้ารูปไข่ ผมยาวสลวยโดยไม่ผ่านการแต่งเติม ยิ่งมัดผมเป็นหางม้ารวบสูง ก็ยิ่งทรงเสน่ห์อย่างสาวชาวจีน

คนทั้งโลกชอบของสวยๆ งามๆ อยู่แล้ว ยิ่งใบหน้าของกู้เซียงเป็นแบบจีนสมัยใหม่ที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก ทุกคนในที่นั้นจึงจ้องเธอไม่วางตา

ซ่งจูเสียนหัวเราะแล้วพูดกับเฝิงเหวินว่า “เธอกับเพื่อนคนละสไตล์กันเลยนะ ฝ่ายนั้นน่าจะขายหน้าตาเป็นหลัก”

เธอกำลังหมายความว่ากู้เซียงเป็นพวกสวยแต่รูปจูบไม่หอม แม้เฝิงเหวินจะไม่ชอบกู้เซียง แต่ไม่ชอบซ่งจูเสียนมากกว่า

“ว่าไปเรื่อย เพื่อนฉันก็เหมือนกับเธอนั่นแหละ!”

เมื่อถูกตอกกลับแรงๆ สีหน้ายิ้มแย้มของซ่งจูเสียนก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง ก่อนจะลุกไปทักทายกู้เซียง

กู้เซียงกำลังสนทนากับสเก็ตเชอร์สเรื่องรูปแบบการคัดตัวนักแสดงที่กำลังจะเริ่มขึ้น

พอเห็นซ่งจูเสียนเดินมา กู้เซียงก็จำได้ทันที

“เธอเป็นเพื่อนของเฝิงเหวินเหรอ สวยจังเลย” ซ่งจูเสียนกล่าว

ทำไมทุกคนที่นี่ถึงคิดว่าพวกเธอเป็นเพื่อนกัน หรือเฝิงเหวินจะพูดถึงเธอไว้เยอะ แต่ก็ดูจะเป็นไปได้ยาก

“ทำไมถึงอยากแคสต์บทนี้ล่ะ? เธอสวยเกินไปสำหรับบทมือสังหารนะ” ซ่งจูเสียนพูดต่อ

คนอื่นคงไม่เข้าใจเจตนาในคำถามนี้ แต่กู้เซียงที่อยู่ในวงการบันเทิงมาแล้วถึงสองภพ เจอความร้ายกาจมาแล้วทุกรูปแบบ รู้ในทันทีว่าซ่งจูเสียนกำลังด่าเธอกับเฝิงเหวินอยู่

กู้เซียงเพิ่งจะมาถึงกองถ่าย ไม่ควรมีเรื่องบาดหมางกับใคร แค่เป็นศัตรูกับเฝิงเหวินก็เหนื่อยมากพอแล้ว

ถ้าเฝิงเหวินคือผู้หญิงปัญญาอ่อนในสายตาเธอ ผู้หญิงปากคอเราะร้ายตรงหน้าก็ปัญญาอ่อนไม่แพ้กัน

เห็นกู้เซียงไม่ตอบโต้ ซ่งจูเสียนก็ยิ่งมั่นใจว่าเธอเป็นพวกหัวอ่อน ยอมให้คนอื่นรังแกได้โดยง่าย

หลังเตรียมฉากเสร็จ สเก็ตเชอร์สก็บอกให้เฝิงเหวินแสดงเป็นคนแรก

ที่เขาเลือกเธอเพราะมั่นใจในฝีมือ โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตาและบุคลิกที่เหมาะสมกว่าใคร

เฝิงเหวินต้องแสดงฉากนี้ร่วมกับอาเหลียน มาเฟียสาวชาวญี่ปุ่น รับบทโดยซ่งจูเสียน

ฉากนี้คลาสสิกมาก นอกจากนางเอกที่เป็นเจ้าสาวนักฆ่าแล้ว นักแสดงสมทบทุกคนล้วนมีฝีมือ ทั้งคนที่เล่นเป็นนักเลง โสเภณี และมือสังหารที่เลือดเย็นแต่อ่อนโยน

พวกเขานำเสนอมุมมืดด้วยเหตุและปัจจัยต่างๆ จากคนดีกลายเป็นคนเลว คนเลวกลับใจเป็นคนดี แต่ไม่มีใครสังหารได้เลือดเย็นและไร้ความปรานีเท่านางเอกอีกแล้ว

ไล่ล่าฆ่าเบคถูกวิจารณ์อย่างหนัก เพราะเต็มไปด้วยความรุนแรง จนคนดูไม่อาจยกย่องชื่นชมตัวเอกที่ฆ่าคนเหมือนผักปลาได้

นี่คือสิ่งที่สเก็ตเชอร์สต้องการจะสื่อ เพื่อให้เห็นถึงตรรกะท่ามกลางความวุ่นวาย รวมถึงเดินหมากเคียงคู่ไปกับคนดู

บทของอาเหลียนโดดเด่นกว่านักแสดงสมทบทั้งหมด เธอเป็นสาวชาวญี่ปุ่นคนแรกที่ขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊ง กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก พออายุสิบเอ็ดก็เริ่มสังหารคนเพื่อล้างปมแค้นในใจ

ตอนกู้เซียงศึกษาบทนี้ มีหลายจุดที่ตัวละครสามารถดึงความโดดเด่นออกมาได้ น่าเสียดายที่ชาติที่แล้ว ภาพยนตร์เรื่องไล่ล่าฆ่าเบคทำให้เฝิงเหวินและนักแสดงสมทบกลุ่มใหญ่โด่งดัง ยกเว้นซ่งจูเสียนที่ไม่ได้รับคำชื่นชม สรุปได้ว่าต่อให้บทดีแค่ไหน หากไม่มีความสามารถเพียงพอก็ไร้ประโยชน์

ฉากที่พวกเธอต้องเล่นคู่กันคลาสสิกมาก เฝิงเหวินเปลี่ยนไปใส่ชุดสีดำล้วน ไม่แต่งหน้า เพราะต้องต่อกรกับอาเหลียนในสภาพสะบักสะบอม ส่วนซ่งจูเสียนที่งดงามอย่างพิมพ์นิยม เปลี่ยนไปใส่ชุดสีขาวล้วน

ภายในห้องที่มืดมิด ประตูถูกปิดสนิท

เฝิงเหวินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ความแค้นของพวกเรายังชำระไม่หมด!”

เธอเป็นนักแสดงบู๊มานาน ทุกอิริยาบถให้ความรู้สึกโหดเหี้ยม แม้จะถ่ายทำยากแค่ไหนก็ไม่เคยใช้ตัวแสดงแทนสักครั้ง

ซ่งจูเสียนไม่ตอบแต่ชักดาบซามูไรออกจากฝัก แววตาแฝงความไม่มั่นใจและไม่เป็นธรรมชาติ แต่กลับลงมืออย่างไร้ความปรานี

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท