หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 27

ตอนที่ 27

พ่อพระเอกผู้มีวิธีจีบหญิงร้อยแปดพันเก้ากำลังรอเธออยู่ด้านล่าง

กู้เซียงชะงักฝีเท้าครุ่นคิด ก่อนจะกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเติมปาก ภาพรวมจึงดูดีกว่าเมื่อครู่มาก

แม้เธอจะเป็นคนสวยอยู่แล้ว แต่บางสถานการณ์ การแต่งหน้าแต่งตัวสามารถแสดงออกถึงการให้เกียรติคู่เดตได้

หลังเจอหน้ากัน ผู้ชายมาดแมนอย่างซูเปอร์สตาร์จ่านก็เปิดประตูรถให้กู้เซียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“อยากกินอะไร?”

“ได้หมดค่ะ” เธอตอบ

เรื่องเลือกร้านอาหาร จ่านหยางทำได้ดีทีเดียว อาหารในวันนี้อร่อยมาก บรรยากาศของร้านก็ดี แถมคนยังไม่พลุกพล่านอีกด้วย

กู้เซียงชนแก้วกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมากนะคะ”

ความจริงเธอไม่ชอบรับความช่วยเหลือจากใคร แต่เหมือนจะได้รับน้ำใจจากจ่านหยางตลอด หลายครั้งยังแอบคิดว่าจิตใต้สำนึกของเธอผนวกกับเขาจนเหมือนลงเรือลำเดียวกันไปแล้ว

หากวันใดมีโอกาสตอบแทน เธอจะทำโดยไม่ลังเล

“ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก” จ่านหยางจ้องตากู้เซียง “เติ้งซินกำลังจะมีคอนเสิร์ต เขาอยากเชิญคุณไปเป็นแขกรับเชิญ แต่กลัวว่าคุณจะปฏิเสธ เลยฝากผมมาเชิญ”

“เติ้งซิน?” กู้เซียงรู้สึกตกใจ

เขาคือคนแต่งเพลง ‘ความกล้า’ ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ ยังเคยขึ้นมอบรางวัลนักแสดงหน้าใหม่แห่งปีให้เธอด้วย

ผู้ชายคนนี้นิสัยเย่อหยิ่ง ชาติที่แล้วกู้เซียงไม่ได้มีโอกาสเจอเขา แต่เคยได้ยินว่าเป็นคนทำงานด้วยยาก โดยมักจะปฏิเสธการเขียนเพลงให้กับหลายบริษัทดัง

การที่เขาสามารถอยู่ในวงการได้นานขนาดนี้ เป็นเรื่องที่น่าประหลาดมาก

“ได้สิคะ” เธอตกปากรับคำ “แต่ฉันยังไม่เคยขึ้นคอนเสิร์ต ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง”

“ผมรู้ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน” จ่านหยางตอบ

“ช่วงนี้คุณดังมาก น่าจะเก็บตัวนะคะ”

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์จ่านใช้ชีวิตอย่างสมถะ แต่ชาตินี้กลับไม่เป็นแบบนั้น หรือบริษัทจะเปลี่ยนแผนโปรโมทของเขาแล้ว

จ่านหยางถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ผมไม่อยากถูกมองว่าเกาะผู้หญิงกิน”

กู้เซียงหน้าแดงเล็กน้อย คนอย่างจ่านหยางจะว่าไม่สุขุมก็ไม่เชิง เพราะทุกอิริยาบถของเขาแสดงถึงความสุภาพ ไม่มีจุดไหนให้ตำหนิได้ หากจะบอกว่าเขาเป็นคนเคร่งครัด แต่กลับเผยความในใจอย่างไม่อาย

“ใครจะกล้าว่าคุณขนาดนั้น?”

จ่านหยางเพียงแต่ยิ้ม ไม่ตอบอะไร

ท่าทางของเขาทำกู้เซียงใบหน้าร้อนผ่าว—ไม่รู้จักเก็บอาการเลย!

เธอแกล้งจิบไวน์เพื่อกลบเกลื่อน แต่เมื่อก้มหน้าลงผมก็ตกลงมา จ่านหยางจึงยื่นมือไปทัดผมให้อย่างอ่อนโยน

“คุณคงลำบากใจมากสินะ” เขาถาม

“อะ… อะไรนะคะ?”

จ่านหยางดึงมือกลับ “คุณถูกใส่ร้ายบ่อยหรือเปล่า? ทำไมถึงไม่สะทกสะท้านเลย ไม่เหมือนคนที่เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ”

ตอนที่มีเรื่องกับเฉียวอิ้งฉิงและเฝิงเหวิน ข่าวเสียๆ หายๆ ส่งผลกระทบต่อกู้เซียงทั้งสิ้น แต่เธอก็ยังทำหน้าที่ได้ตามปกติ

เรื่องนี้อาจไม่แปลกหากเกิดกับดาราหน้าเก่า เพราะเห็นเรื่องในวงการบันเทิงมามาก แต่กับคนที่ไม่เคยถูกโจมตีในทางเสียหาย กลับทำตัวเป็นปกติ ไม่เคยเก็บเรื่องเหล่านั้นมาใส่ใจ

“ฉันต้องรู้สึกลำบากใจไปทำไม” กู้เซียงทำหน้าสงสัย “วงการบันเทิงก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น คุณน่าจะรู้ดีกว่าฉันนะ”

ที่เธอไม่รู้สึกลำบากใจ เพราะได้ตอบแทนด้วยการแก้แค้นไปหมดแล้ว ถ้าผลลัพธ์จบลงด้วยดี ระหว่างทางจะลำบากบ้างก็ไม่เป็นไร

“อย่าเก็บไว้คนเดียวนะ” จ่านหยางลูบศีรษะเธอ “ผมยินดีจะอยู่เคียงข้างและช่วยคุณเสมอ”

กู้เซียงที่หลุบตาอยู่ เงยหน้าขึ้นตอบด้วยรอยยิ้ม “โอเคค่ะ”

รอยยิ้มสดใสของเธอทำให้ใบหน้าที่งดงามอยู่แล้วยิ่งมีชีวิตชีวาและน่าหลงใหล แม้แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็อดที่จะหันมองไม่ได้

จ่านหยางนิ่งไปเล็กน้อย มองอีกฝ่ายด้วยแววตาแฝงความหมาย ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน

เขาไม่รู้ว่ากู้เซียงกำลังคิดอะไรอยู่ กระทั่งตอนเดินกลับ ก็ถูกเธอเป็นฝ่ายกุมมือก่อน

จ่านหยางย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ เขากุมมือเธอกลับแล้วเดินเคียงข้างอย่างเงียบๆ ช่างเป็นบรรยากาศที่เหมาะกับเทศกาลชีซีเหลือเกิน แม้จะอยู่ต่างแดน ก็ไม่ลืมวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศตัวเอง

สองข้างทางมีคนแอบถ่ายรูปความน่ารักของพวกเขา ทั้งที่ไม่ใช่แฟนคลับหรือปาปารัสซี่

พอไปถึงโรงแรม จ่านหยางก็เซอร์ไพรส์กู้เซียงด้วยกุหลาบช่อใหญ่

“สุขสันต์วันเทศกาลชีซีนะ”

ทั้งที่เป็นเซอร์ไพรส์ แต่เขากลับวางดอกไม้ไว้บนฝากระโปรงรถอย่างเปิดเผย

เธอเห็นทุกอย่างตั้งแต่ร้อยเมตรแล้ว แต่ก็ยังแกล้งทำเป็นตกใจ

คงเพราะถ่ายภาพยนตร์ด้วยกันจนสนิทสนม กู้เซียงเองก็ไม่ใช่คนเรื่องมาก จึงเล่นตามน้ำไปอย่างแนบเนียน

“ในสายตาคุณ ฉันเป็นคนยังไงเหรอคะ?” เธอถามแบบไม่อ้อมค้อม

กู้เซียงอยากถามคำถามนี้มานานแล้ว แต่ไม่เคยมีโอกาส เพราะคิดว่าไม่จำเป็น

แต่นับจากวันนี้ คำตอบของเขาจะสำคัญมาก เธอจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิด

“ในสายตาของผม คุณคือผู้หญิงคนหนึ่ง” เขาตอบ

คำตอบแสนประหลาดนี้ ทำให้คนฟังหวั่นไหวแบบงงๆ คล้ายสัมผัสถูกมุมเปราะบางของหัวใจ

แทนที่จะตอบว่าเธอคือนักแสดงที่ดี มีความสามารถ และทะเยอทะยาน แต่กลับมองว่าเธอคือคนธรรมดาๆ เหมือนเขา

จ่านหยางลูบศีรษะกู้เซียงอีกครั้ง “คุณเหมือนคนที่ผ่านโลกมามาก มีอิสระ และเป็นตัวของตัวเอง”

แววตาของจ่านหยางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน จริงจัง จริงใจ และแฝงไปด้วยความเอ็นดู ไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ช่างเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์และเรียบง่ายเหลือเกิน

กู้เซียงสูดลมหายใจเข้าลึก การต้องเผชิญหน้ากับความรักของจ่านหยาง ไม่ต่างจากตอนที่เผชิญหน้ากับข่าวเสียๆ หายๆ เลย

เธอยังคงสงวนท่าที ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ เพราะอีกฝ่ายจริงจังจนแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน

กู้เซียงไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อเสี่ยงกับเรื่องนี้ เพราะยังหวาดกลัวกับบาดแผลที่เกิดจากการแต่งงานกับเหลียงจี้อยู่

ทว่าความหวาดกลัวที่ติดอยู่ในใจกลับจางหายทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าจ่านหยาง หลายครั้งที่ความรู้สึกขอบคุณแทนที่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง และความรู้สึกซาบซึ้งแทนที่ด้วยความหวั่นไหว

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอรู้สึกใจเต้นแรง เหมือนความสุขจากความรักที่เคยหายไปนานฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

แม้งานแสดงจะเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของกู้เซียง แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้คนที่เหมาะสมต้องหลุดมือไปเช่นกัน

อย่าได้นึกเสียดายทีหลัง อย่าได้หันหลังมองอดีต อย่าได้นึกหวาดกลัว ชีวิตคนเรามีเพียงครั้งเดียว จงมองไปข้างหน้าเท่านั้น

เธอยิ้มให้จ่านหยางอีกครั้ง “ท่องบทมาดีจัง แต่คุณพูดถูกแล้วแหละ ฉันก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง”

กู้เซียงกอดช่อกุหลาบไว้ในอกแล้วบอกลา “พรุ่งนี้เจอกันนะคะ”

หลังจากที่เธอเดินเข้าโรงแรม จ่านหยางก็ยืนพิงรถรอ กระทั่งไฟในห้องของเธอดับลง เขาจึงขับรถจากไป

พอกลับถึงห้อง กู้เซียงก็วางช่อดอกไม้ลง แล้วกล่องใบหนึ่งก็กลิ้งออกมา

เธอหยิบขึ้นเปิดและพบว่ามันคือแหวนเพชรเม็ดงามที่ส่องประกายแวววาว

บนกระดาษสีชมพูมีลายมือที่ตวัดอย่างตั้งใจและระมัดระวัง แถมยังประหม่าจนกระดาษแทบทะลุ

“Yes or No?”

จ่านหยางถามแบบตรงไปตรงมาและเรียบง่าย

ข้างเตียงยังมีหนังสือของ Alfred D’Souza หน้าหนึ่งที่เขียนไว้ว่า

Love like you’ve never been hurt

Dance like nobody’s watching

Sing like nobody’s listening

Work like you don’t need money

Live like it’s heaven on the earth

จงรักเหมือนไม่เคยเจ็บมาก่อน

จงเต้นเหมือนไม่มีคนดู

จงร้องเหมือนไม่มีคนฟัง

จงทำงานเหมือนไม่ต้องการเงิน

จงใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย

เธอคลี่ยิ้มบาง แล้วหยิบแหวนเพชรขึ้นสวมบนนิ้วนาง

ขนาดของมันกำลังพอดี ไม่คับไม่หลวมจนเกินไป แสงของเพชรแวววาวคล้ายกำลังล้อกับแสงไฟ

กู้เซียงหยิบโทรศัพท์แล้วส่งข้อความตอบกลับไปว่า “Yes”

การแสดงความรักต่อกันของคู่เปิ่นเป๋อ มักจะมีภาพหลุดออกมาเสมอ

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ภาพของกู้เซียงกับจ่านหยางก็ถูกโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ทั้งคู่รักกันหวานชื่นจนแฟนคลับอึ้งไปตามๆ กัน

กลุ่มคนที่คอยประโคมข่าวเสียหายต่างผิดหวังกันเป็นแถบ เพราะคนที่พวกเขาโจมตีไม่ได้จดจ่อหรือใส่ใจด้วยซ้ำ

เมื่อทั้งสองไม่ได้รับผลกระทบใดๆ พวกที่คอยกุข่าวก็หน้าแหกไปตามๆ กัน

ในโรงอาหาร ตู้หยู่เดินถือจานด้วยสีหน้าสดใส

“เซียงเซียงไม่ได้ทำอะไรผิด เลยมีคนออกมาช่วยล้างมลทินให้จนสะอาดเอี่ยม แถมยังได้ซูเปอร์สตาร์จ่านคอยปกป้องเธออีก ชายในฝันเลยนะเนี่ย”

“เพราะเธอเก่งอยู่แล้วต่างหากล่ะ” เสี่ยวหมิ่นพูดขึ้น

“สวย รวย เก่ง กับผู้ชายหล่อ รวย เหมาะสมกันจริงๆ คนธรรมดาอย่างพวกเรานี่ไม่กล้าฝันเลย”

“ก็ไม่แน่นะ” ตู้หยู่ยกถ้วยซุปกระดูกหมูขึ้น “ในหนังเรื่องน้องใหม่ยังบอกเลยว่า ทุกคนมีโชคชะตาเป็นของตัวเอง ฟ้าได้กำหนดการแต่งงานไว้แล้ว ไม่แน่เราอาจได้เจอคนที่รักเราจริงสักวัน ถึงจะไม่หล่อเท่าจ่านหยาง แต่ก็ต้องมีมุมพิเศษบ้างแหละ”

“เพ้อเจ้อ” เสี่ยวหมิ่นส่ายหน้าด้วยความระอา

ที่โต๊ะข้างๆ เด็กหนุ่มร่างอ้วนโบกมือเรียกกู้หนาน

“ทางนี้”

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท