Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1947 จักรพรรดิไร้มงกุฎ

ตอนที่ 1947 จักรพรรดิไร้มงกุฎ
ตอนที่ 1947 จักรพรรดิไร้มงกุฎ
ระดับจักรพรรดิที่อยู่ ณ ที่นั้นเป็นถึงยักษ์ใหญ่ที่มาจากหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ แต่ละคนไม่รู้มีชีวิตมานานแค่ไหนแล้ว มองไปทั่วหล้า มรดกวิชามรรคอะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น
แต่ตอนนี้กลับมองมรดกวิชาสลักลายมรรคของชายหนุ่มคนหนึ่งไม่ออก!
นี่ดูน่าตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถ้า ‘จักรพรรดิกระบวนลู่’ ยังอยู่ ต้องจำมรดกวิชานี้ได้แน่”
จู่ๆ ซย่าสิงเลี่ยก็เอ่ยปาก
คำพูดเดียวทำให้บรรยากาศในที่นั้นเงียบกริบ คนใหญ่คนโตไม่น้อยต่างสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา
จักรพรรดิกระบวนลู่!
บุคคลในตำนานที่ไม่ได้เหยียบย่างระดับจักรพรรดิ แต่กลับถูกผู้คนในโลกยกย่องให้เป็นจักรพรรดิดด้วยพลังสลักลายมรรค
ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิสมัยบรรพกาล จักรพรรดิกระบวนลู่เคยวาง ‘กระบวนสังหารไร้ชีพ’ ขังระดับจักรพรรดิไว้สิบสามคน
สุดท้าย สังหารห้าจักรพรรดิ ส่วนระดับจักรพรรดิอีกแปดคนล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส!
และในตอนนั้น จักรพรรดิกระบวนลู่ยังมีพลังปราณแค่ระดับกึ่งจักรพรรดิ!
ที่น่าเสียดายก็คือ อาจเพราะมีข้อจำกัดเรื่องพลังปราณ ในช่วงสุดท้ายพลังของจักรพรรดิกระบวนลู่ถดถอยลง ถูกคนอื่นถือโอกาสลอบโจมตี กระบวนสังหารไร้ชีพที่ย้อมเลือดสดๆ ของระดับจักรพรรดิกระบวนนั้นจึงถูกทำลายไปด้วย
หลังจากศึกนี้ ไม่รู้ว่าจักรพรรดิกระบวนลู่เป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ผู้คนในโลกล้วนมองเขาดั่งทวยเทพ คิดว่าอานุภาพมรรคกระบวนค่ายกลของเขาชิงชัยกับจักรพรรดิได้ จึงยกย่องเขาเป็น ‘จักรพรรดิกระบวนลู่’!
คนที่ไม่ได้บรรลุระดับจักรพรรดิ กลับได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นตำนานในเส้นทางระดับจักรพรรดิบนศาสตร์สลักลายมรรค!
ประหนึ่งจักรพรรดิไร้มงกุฎ!
ส่วนกระบวนสังหารไร้ชีพที่เขาวาง ก็ถูกมองว่าเป็นกระบวนค่ายกล ‘อันดับเก้าทั่วหล้า’ ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
กระบวนค่ายกลใหญ่ที่อันดับสูงกว่ากระบวนสังหารไร้ชีพ ล้วนเป็นยอดกระบวนที่อยู่ในระดับจักรพรรดิ หรือกระทั่งระดับบรรพจารย์ขึ้นไป
แต่กระบวนสังหารไร้ชีพที่จักรพรรดิกระบวนลู่ซึ่งใช้พลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิวาง สามารถพาตัวเองเบียดขึ้นไปในอันดับนี้ได้ ก็เป็นผลงานสะท้านหมื่นกาลไปแล้ว!
ทว่าเรื่องโบราณนานปีนี้ถูกคนส่วนใหญ่หลงลืมไปตามกาลเวลาไร้สิ้นสุดไปนานแล้ว แต่สำหรับคนใหญ่คนโตระดับจักรพรรดิที่อยู่ในที่นี้ ล้วนไม่อาจลืมเลือนได้ราวกับประทับติดตรึงในใจ
เพราะในหมู่ระดับจักรพรรดิที่จักรพรรดิกระบวนลู่ต่อกรด้วยเหล่านั้น หลายคนมาจากหกเรือนมรรคใหญ่กับสิบเผ่านักรบใหญ่!
ดังนั้นเมื่อจักรพรรดิกระบี่ยอดมารซย่าสิงเลี่ยนยกชื่อนี้ขึ้นมา ระดับจักรพรรดิจำนวนหนึ่งจึงสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา
“การชิงชัยถกมรรคของคนรุ่นเยาว์ครั้งหนึ่งเท่านั้น พูดถึงจักรพรรดิกระบวนลู่เพื่ออะไร”
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงแห่งเรือนมรรคจักรวาลเอ่ยปาก นางมีกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิล้อมตัวดั่งมัจฉาเพลิง หว่างคิ้วมีแต่ความเย็นชา
ในตอนนี้เหล่าผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลอย่างถูเชียนเจวี๋ยถูกขังไว้ในกระบวนค่ายกล ทำให้ในนางอัดอั้นไปครู่หนึ่ง
ทุกคนต่างไม่พูดเรื่องนี้อีกด้วยรู้กาลเทศะ
ใครก็รู้ดีว่าถูเชียนเจวี๋ยเป็นหนึ่งในศิษย์แกนหลักของเรือนมรรคจักรวาล ถูกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงให้ความสำคัญ คิดว่าเขาจะต้องโดดเด่นเหนือใคร เข้าร่วมชิงชัยในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ’ นั้นได้
แต่ตอนนี้ถูเชียนเจวี๋ยอาจจะถูกคัดออก นี่จะให้จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงยังเป็นสุขอยู่ได้อย่างไร
มีเพียงซย่าสิงเลี่ยเท่านั้นที่หัวเราะหยัน เอ่ยปากว่า “นี่ก็เรียกว่ารนหาที่เอง นึกว่าตัวเองจะใช้พวกมากรังแกคนน้อย ใครจะไปคิดว่ากลับล้มเหลวครั้งใหญ่ กลับเป็นเจ้าจินตู๋อีนี่ ไม่เสียทีที่ข้าให้ความสำคัญ พอจะมีมาดคล้ายกับข้าในตอนนั้นอยู่บ้าง”
ประโยคเดียวทำเอาทุกคนมองหน้ากัน
ดวงตาจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงมีประกายฉายวาบ แค่นหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ซย่าสิงเลี่ย เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”
ซย่าสิงเลี่ยเลิกคิ้วพูดเสียงเรียบ “ทำไม การแข่งขันของคนรุ่นเยาว์ยังไม่อนุญาตให้ข้าวิจารณ์สักหน่อยหรือ ถ้าเจ้าไม่พอใจ ไม่สู้พวกเรามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันดีไหม”
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงถลึงตาอย่างโกรธเกรี้ยว ไท่ซูหงรีบพูดว่า “ทั้งสองท่าน แค่การถกมรรคครั้งเดียวไม่จำเป็นต้องโมโหใหญ่โต”
ซย่าสิงเลี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่คุ้มจริงๆ แต่ข้ายังยืนยันคำนั้น ถ้าเจ้าไม่พอใจ ข้ารับรองว่ายินดีจะต่อสู้ถึงที่สุด”
คำพูดเดียวสุขุมราบเรียบ แต่กลับอหังการยิ่งนัก!
ควรรู้ว่าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็เป็นบุคคลสูงส่งสะท้านฟ้าดารา เบื้องหลังยังมีเรือนมรรคจักรวาล ในโลกใหญ่หงเหมิงใครจะกล้าไม่เคารพนาง
แต่ซย่าสิงเลี่ยก็กล้า!
นี่ก็คือจักรพรรดิกระบี่ยอดมาร หลายปีนี้ที่ท่องทั่วโลกหล้า ไม่ว่าจะเป็นหกเรือนมรรคใหญ่หรือสิบเผ่านักรบใหญ่ ก็ยังไม่เคยทำให้เขากลัว
ในที่สุดจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็เก็บกลั้นโทสะในใจเอาไว้ ไม่ได้โต้เถียงต่อ นางรู้นิสัยใจคอของซย่าสิงเลี่ยดี นี่ก็คือเจ้าเฒ่ารับมือยากที่มีชีวิตมาไม่รู้กี่ปีแล้วคนหนึ่ง
“เอ๋ เจ้าหนุ่มนี่บ้าระห่ำจริง ถึงกับบุกฆ่าเข้าไปในกระบวนค่ายกลตรงๆ!”
ทันใดนั้นระดับจักรพรรดิคนหนึ่งส่งเสียงร้องตกตะลึง จิตใจของทุกคนจึงถูกดึงดูดไปด้วย
……
แดนลับโลกาสวรรค์ ภายในกระบวนค่ายกลใหญ่ในหุบเขา
“เร็วเข้า แม้กระบวนค่ายกลนี้จะมหัศจรรย์ แต่พลังก็เหือดแห้งลงเรื่อยๆ พวกเราเพียงต้องแข็งใจไว้ก็จะทำลายมันได้”
ถูเชียนเจวี๋ยฮึกเหิม สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของกระบวนค่ายกล
ขณะนี้แปดคนที่ติดตามข้างกายเขาถูกคัดออกไปแล้วสี่คน แต่ละคนต่างเป็นผู้สืบทอดแกนหลักของเรือนมรรคจักรวาล ความเสียหายไม่อาจพูดได้ว่าไม่มาก
“รอหลังออกไปได้ จะต้องให้จินตู๋อีนั่นได้เห็นดีกัน!”
“เจ้าคนสมควรตายนี่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเพราะสิ่งนี้!”
คนที่เหลืออยู่เหล่านั้นแค้นจนกัดฟันกรอด แต่ละคนต่างสบถคำขู่
“ไม่ต้องรอออกไป ตอนนี้พวกเจ้าก็สะสางได้แล้ว”
ทันใดนั้นเสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้น เงาร่างของหลินสวินปรากฏในกระบวนค่ายกลกะทันหัน
ตูม!
เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง ตัวเขาก็พุ่งมาถึง ดาบหักพลิกม้วนออกมา สังหารชายร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะทองคนหนึ่งด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ
ใครก็คิดไม่ถึงว่าในช่วงสำคัญที่ใกล้จะทำลายกระบวนค่ายกลได้ หลินสวินจะออกตัวบุกเข้ามาเอง ทั้งยังลงมืออย่างว่องไวและรุนแรงเช่นนี้!
ด้วยไม่ทันตั้งตัว ชายชุดเกราะทองไม่มีโอกาสหลบหนีใดๆ ทำได้เพียงฝืนประจันหน้าตรงๆ
“ไสหัวไป!”
เขาคำรามดาลเดือด ลักษณ์พยัคฆ์มังกรพวยพุ่งไปทั้งตัว ค้อนยักษ์สีทองในมืออันหนึ่งกระแทกดังตูมรุนแรง แสงมรรคสีทองไร้เทียมทานก็แผ่ออกมาด้วย
ภาพนั้นราวกับหวดดวงอาทิตย์สีทองกระแทกลงมา องอาจเหนือโลกา!
เคร้ง!
ดาบหักกับค้อนยักษ์ปะทะกัน เกิดเป็นเสียงดังสนั่นราวหูจะหนวก แสงเทพกระเจิดกระเจิง
ก็เห็นว่าค้อนยักษ์สีทองนั่นถึงกับถูกดาบหักฟันออกเป็นสองท่อน!
พลังที่เหลืออยู่ของดาบหักไม่ได้ลดลง ฟันตรงไปยังชายเกราะทอง ประกายดาบคมกริบแยงตาจนชายในเกราะทองลืมตาไม่ขึ้น ความหวาดหวั่นยิ่งยวดผุดขึ้นในจิตใจ
กระบวนท่าเดียวยังสกัดไว้ไม่ได้หรือ
ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงแข็งแกร่งปานนี้
พอความคิดเหล่านี้อุบัติขึ้นในสมอง ชายชุดเกราะทองก็ถูกคัดออกจากการคัดเลือกไปแล้ว
การเคลื่อนไหวต่อเนื่องเป็นชุดปิดฉากลงในพริบตา มองดูสิ่งที่ชายเกราะทองต้องประสบ ทำเอาคนอื่นๆ เข้ามาช่วยไม่ทัน สะท้านไปทั้งตัว
“ศิษย์น้องฉู่!”
ถูเชียนเจวี๋ยเดือดดาลโดยสมบูรณ์แล้ว ผมยาวปลิวไสว ดวงตาแดงก่ำ
นี่เป็นพวกพ้องคนที่ห้าที่ถูกคัดออกแล้ว!
แต่เขาถูเชียนเจวี๋ยถึงกับไร้พลังแก้ไข!
“ไปตายซะ!”
ท่ามกลางเสียงคำรามกราดเกรี้ยว ถูเชียนเจวี๋ยสำแดงพลังถึงขีดสุด กระบี่บินสีม่วงเปล่งปลั่งเล่มหนึ่งโฉบพุ่งออกมา แปรสภาพเป็นเขตแดนกระบี่แห่งหนึ่ง
ภายในเขตแดนกระบี่ จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล ดวงอาทิตย์โชติช่วง มีเสียงสวดไร้สิ้นสุดดังขึ้นประหนึ่งดินแดนอริยเทพ
เขตแดนมรรค… เขตแดนกระบี่ต้องห้าม!
ครืน…
เพียงแต่การโจมตีนี้ยังไม่ทันโดนตัวหลินสวิน ก็ถูกพลังกระบวนค่ายกลใหญ่สกัดไว้
หลินสวินยิ้มน้อยๆ ชี้จุดที่ยืนอยู่ “ก่อนกระบวนค่ายกลนี้จะถูกทำลาย ข้าคือนายเหนือหัว”
ขณะพูด เงาร่างเขาพริบวาบราวกับเงาแสงมายาสายหนึ่ง แล้วปรากฏตัวตรงหน้าหญิงชุดเหลืองคนหนึ่งโดยพลัน
ปลายนิ้วชี้เบาๆ
แผ่วเบาราบเรียบ
หญิงชุดเหลืองพลันถูกเคลื่อนย้ายออกจากแดนลับโลกาสวรรค์ ท่ามกลางเสียงร้องแหลมด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
ฮูม…
และในตอนที่หญิงชุดเหลืองถูกคัดออก ปราณกระบี่ไท่เสวียนนับไม่ถ้วนไหลเวียน เปล่งปลั่งพร่างพราว ทะยานออกมาจากในร่างหลินสวิน
หลินสวินในขณะนี้เป็นดั่งนายเหนือหัวอย่างแท้จริง ขอเพียงถูกเขาจับจ้อง การต่อสู้ก็จะปิดฉากลงในชั่วพริบตา
คู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าพ่ายแพ้ออกจากการแข่งขัน
ดีดนิ้วไม่ถึงห้าครั้งเท่านั้น นอกจากถูเชียนเจวี๋ยแล้ว คนอื่นๆ ต่างถูกคัดออกอย่างต่อเนื่อง!
“จินตู๋อี! ข้าสาบานว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับเจ้า!”
ถูเชียนเจวี๋ยโกรธจนคลั่งแล้ว ผมเผ้าแผ่สยาย บ้าคลั่งถึงที่สุด
เดิมทีเขามั่นใจเต็มเปี่ยมกับการเคลื่อนไหวล้อมเหยื่อคราวนี้ แต่ใครจะคิดว่าการปรากฏของกระบวนค่ายกลใหญ่กระบวนเดียว จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
นี่ทำให้ในใจเขาหลั่งเลือด!
ตูม!
พร้อมๆ กับการโจมตีของถูเชียนเจวี๋ย กระบวนผนึกลายมรรคที่รับไม่ไหวแล้วก็พังลงโดยสมบูรณ์ในตอนนี้
นี่ทำให้หลินสวินอึ้งไป จากนั้นพลันยิ้มเอ่ยว่า “กระบวนค่ายกลใหญ่พังไปแล้วก็ไม่เป็นไร ตะพาบที่ควรจับได้ยากจะหนีพ้นแล้ว”
ในคำพูดมองถูเชียนเจวี๋ยเป็น ‘ตะพาบ’
สิ่งนี้กระตุ้นให้ถูเชียนเจวี๋ยโกรธจนผมตั้ง คำรามว่า “ตายซะ!”
สวบ!
เขตแดนกระบี่ต้องห้ามแผ่ขยายออก แปรสภาพเป็นโลกอันกว้างใหญ่ ไอม่วงอบอวล ดวงอาทิตย์ฉายเด่น ภูผาธาราฟ้าดินล้วนมีปราณกระบี่ไพศาลทะยานอึงอล
หลินสวินไม่ได้ดูเบา ถูเชียนเจวี๋ยรั้งอันดับเก้าของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ได้ ความแกร่งกล้าในพลังต่อสู้ของเขาเผยออกมาอย่างหมดจดในขณะนี้แล้ว
ต่อให้เป็นอู่หวง เทียบกับเขายังด้อยกว่าช่วงใหญ่!
มิหนำซ้ำถูเชียนเจวี๋ยในตอนนี้แทบเสียสติ ท่าทางเหมือนจะเอาชีวิตเข้าแลก อานุภาพที่สำแดงออกมาทำให้หลินสวินยังต้องร้องอุทาน
แข็งแกร่ง!
แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ!
แต่ว่า…
ยังคุกคามตนไม่ได้!
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ร่างกายส่องแสงเจิดจ้า แจ่มจรัสตระการตา มีปราณกระบี่ขมุกขมัวมากมายรวมอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา แปรสภาพเป็นเจตกระบี่ที่ควบรวมแน่นถึงที่สุดสายหนึ่ง
ชั่วพริบตานี้ฟ้าดินหม่นหมอง มีเพียงเจตกระบี่เดียวที่เปล่งแสงสว่างจ้า!
หนามแสงคม!
ไม่เหมือนตอนอู่หวง หนามแสงคมในตอนนี้หลินสวินไม่ได้ยั้งมือ ใช้อภินิหารพรสวรรค์ของกายมรรคทองขาวสำแดงออกมาอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก
เถิงอี๋เฉินกับกุยซานสิงที่ยืนอยู่ด้านนอกเพียงรู้สึกว่าดวงตา จิตใจ และดวงวิญญาณต่างเกิดความรู้สึกเจ็บปวดฉีกขาด ในการรับรู้ทั้งหมดมีแต่ปราณกระบี่สีขาวโพลน ล้วนตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
นี่มันพลังชั้นไหนกัน
ที่ตามมาติดๆ คือเสียงปะทะดังสนั่น หุบเขาแห่งนี้สั่นโคลงไปหมด ห้วงอากาศใกล้เคียงเกิดรอยแตกแยกนับไม่ถ้วนเหมือนผืนผ้าแพร
พลังอันน่าพรั่นพรึงปั่นป่วน และฝังกลบบริเวณนี้ไปด้วย
นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว
ชั่วพริบตานี้เหล่าระดับจักรพรรดิในโลกภายนอกต่างหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ การโจมตีนี้เรียกได้ว่าโดดเด่นทั้งในอดีตและปัจจุบัน หายากเป็นที่สุดในหมู่มกุฎราชันอริยะ
ซย่าสิงเลี่ยหรี่ตา จอกเหล้าที่ถืออยู่นิ่งค้างอยู่ที่เดิม
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเอนตัวไปข้างหน้า แสงมรรคแล่นวาบอยู่ในดวงตา ไม่อาจละสายตาได้
เมื่อฝุ่นควันสลายไป
บริเวณหุบเขากลายสภาพเป็เละเทะ ประหนึ่งถูกอสูรบรรพกาลเหยียบย่ำ ผืนดินแตกระแหง หินผาแหลกกระจุย ต้นไม้ใบหญ้าป่นปี้ เผยภาพทิวทัศน์อันพังพินาศ
และในที่นั้นมีเงาร่างสองร่างยืนตระหง่าน
ร่างหนึ่งโชกเลือด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าซีดขาวไร้สี มุมปากมีคราบเลือดไหลออกมา บริเวณแขนขวามีโพรงเลือดน่าตกใจโพรงหนึ่ง
อีกร่างหนึ่งเสื้อผ้าเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ไร้ฝุ่นควันแปดเปื้อนดังเก่า
คนแรกคือถูเชียนเจวี๋ย
คนหลัง…
คือหลินสวิน!
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท