จ่านซิงเฉินเก็บของนานที่สุด ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ กระทั่งใกล้หมดเวลาจึงค่อยๆ เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าที่หนักอึ้ง
พิธีกรหนุ่มผมหยิกลองชั่งน้ำหนักแล้วพบว่ามันหนักมาก
“เสี่ยวซิงซิง ให้ทุกคนดูหน่อยได้ไหมว่าหนูเอาอะไรไปบ้าง?”
เด็กที่เหลือจับจ้องเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เถียนเถียนวิ่งเข้าไปลูบกระเป๋าของจ่านซิงเฉินด้วยความสนอกสนใจ แม้แต่พิธีกรหนุ่มผมหยิกที่ลองลูบกระเป๋า ก็ยังเดาไม่ออกว่าข้างในคืออะไร รู้แค่ว่าเป็นกล่องสี่เหลี่ยม
จ่านซิงเฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
พิธีกรหนุ่มผมหยิกเลิกเซ้าซี้ เพราะยังไงทีมงานก็ตามถ่ายอยู่ดี
เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็เริ่มออกเดินทาง
บรรดาคุณพ่อจะต้องไปส่งลูกๆ ที่หน้าถ้ำ เวินหลินยู่อุ้มเวินเถียนเถียน เกาลี่จูงมือเกาหนิง ส่วนเติ้งเติงก็วิ่งนำหน้าเติ้งซินด้วยความตื่นเต้น
คุณพ่อทุกคนสะพายกระเป๋าแทนลูก เพราะเส้นทางขึ้นเขาค่อนข้างลำบาก แม้กระเป๋าจะใบเล็กและดูไม่หนักเท่าไหร่ แต่สำหรับเด็กๆ ก็ถือว่าหนักเอาการ
จ่านหยางไม่ได้ช่วยจ่านซิงเฉินแบกกระเป๋า เพราะอีกฝ่ายไม่ต้องการ
เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้แข็งแรงมาก สีหน้าเรียบเฉยแม้จะสะพายกระเป๋าที่ค่อนข้างหนัก แถมยังเดินตัวปลิวและไม่แสดงอาการหอบเหนื่อยใดๆ
ด้วยความที่กู้เซียงชอบออกกำลังกาย ส่วนจ่านหยางก็ชอบเล่นกล้าม จ่านซิงเฉินจึงถูกบังคับให้ออกกำลังกายตั้งแต่เด็ก
รอกระทั่งเด็กทุกคนไปถึงที่หน้าถ้ำ พิธีกรหนุ่มผมหยิกจึงประกาศภารกิจให้ทราบ
“ถึงเวลาที่เด็กๆ จะต้องผจญภัยด้วยตัวเองแล้วนะครับ” พูดจบก็แจกไฟฉายให้คนละอัน “ในถ้ำค่อนข้างมืด เดินระวังด้วยนะครับ สามัคคีกันให้มากๆ”
เด็กผู้หญิงทั้งสองคนไม่เคยเดินทางตามลำพังมาก่อน เวินเถียนเถียนจึงเริ่มเบ้ปากเหมือนอยากจะร้องไห้ ส่วนเวินหลินยู่ก็รีบป้อนลูกอมให้ลูกสาวอย่างรวดเร็ว
“เถียนเถียน อีกเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว หนูมีเพื่อนไปด้วยเยอะแยะไม่ต้องกลัวนะ”
ส่วนเกาหนิงก็กระตุกแขนเสื้อของเกาลี่ “ปะป๊า… ในนั้นมืดจังเลย”
“หนูมีไฟฉายนี่นา” เกาลี่ปลอบลูกสาว “ป๊าอยากรู้ว่าหนิงหนิงจะเอาสมบัติอะไรออกมาฝาก”
ลูกสาวคือแก้วตาดวงใจของพ่อทุกคน แม้เกาหนิงจะกลัวความมืด แต่ความตั้งใจที่จะทำเพื่อเกาลี่ผู้เป็นพ่อก็เอาชนะความกลัวนี้ได้
แต่เด็กผู้ชายอีกสองคนกลับไม่รู้สึกอะไรมาก
เติ้งเติงเป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความกลัวคืออะไร ส่วนจ่านซิงเฉินก็ถูกเรื่องเล่าของคัมภีร์เร้นลับกลางหุบเขาล้างสมองจนดูตื่นเต้นกว่าเด็กคนอื่นๆ
“หนุ่มน้อยทั้งสองกล้าหาญมากเลยนะครับ ถ้างั้นอาฝากเสี่ยวซิงซิงกับเสี่ยวเติ้งเติงช่วยดูแลพวกผู้หญิงด้วยนะ”
ไม่ทันที่พิธีกรหนุ่มผมหยิกจะพูดจบ จ่านซิงเฉินและเติ้งเติงก็เดินตามกันเข้าไปในถ้ำโดยไม่ได้สนใจเด็กผู้หญิงที่เหลือ
พอเห็นจ่านซิงเฉินกับเติ้งเติงเข้าไปด้านใน เวินเถียนเถียนกับเกาหนิงก็รีบวิ่งตาม
บรรดาคุณพ่อนั่งดูการแอบถ่ายอยู่ในกระท่อมใกล้ๆ กับถ้ำ
เพราะมีลูกสาว เวินหลินยู่กับเกาลี่จึงดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากจ่านหยางกับเติ้งซินที่ดูผ่อนคลายกว่า
ในถ้ำที่มืดมิด แสงจากไฟฉายส่องสำรวจตามมุมต่างๆ โดยมีทีมงานแอบตามอย่างเงียบๆ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
พวกเขาจงใจเลือกถ้ำที่ค่อนข้างเล็ก พื้นดินเรียบเสมอกัน หินแหลมๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายถูกเก็บออกไปจนหมด
เวินเถียนเถียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
“มืดจัง… ปะป๊าหนูกลัว”
สาวน้อยเกาหนิงจูงมือเวินเถียนเถียนด้วยความหวาดหวั่น แต่ก็ยังพยายามพูดปลอบ
“ไม่ต้องกลัวนะ”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่น้ำเสียงของเธอกลับสั่นอย่างเห็นได้ชัด
เป็นครั้งแรกที่พวกเธอเดินในที่มืดโดยไม่มีพ่ออยู่เคียงข้าง เด็กหญิงทั้งสองค่อนข้างกังวล ต่างจากเติ้งเติงที่ยังคงร่าเริงไปตลอดทาง
จ่านซิงเฉินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาสะพายกระเป๋าและมองสำรวจไปตลอดทางเดินด้วยความสนอกสนใจ ไม่ได้มีอาการหวาดหวั่นหรือตื่นเต้นจนเกินเหตุเหมือนอย่างเติ้งเติง
เดินกันไปได้สักพัก เกาหนิงก็ถามขึ้นว่า
“นั่นอะไรน่ะ?”
ไฟฉายในมือของเธอส่องเจอหีบไม้หีบหนึ่ง มันคืออุปกรณ์ที่ทางกองถ่ายเตรียมไว้ให้ ด้านในมีสมบัติมากมายบรรจุอยู่
เวินเถียนเถียนร้องด้วยความดีใจ “ต้องเป็นสมบัติแน่ๆ เลย!”
เติ้งเติงที่เดินไปกินขนมไปตาเป็นประกาย “ในนั้นมีของกินหรือเปล่า?”
เด็กเล็กมักมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่รวดเร็วและตรงไปตรงมา ดั่งคำโบราณที่ว่า ‘ไม่กลัวคู่แข่งที่เก่งเหมือนเทวดา แต่กลัวเพื่อนร่วมงานที่โง่เหมือนหมู’
แม้จะมีการดูแลเรื่องความปลอดภัยเป็นอย่างดี แต่เมื่อเติ้งเติงวิ่งสะดุดขาตัวเองล้มลง สถานการณ์ก็เริ่มวุ่นวาย
เติ้งซินที่นั่งดูวิดีโอผุดลุกขึ้น แววตาเป็นกังวลหลายส่วน
ไม่เสียแรงที่เติ้งเติงเป็นเด็กไร้เดียงสา เขารีบลุกขึ้นแล้วปัดเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
ทีมงานที่เตรียมจะเข้าไปช่วยชะงักฝีเท้า แล้วค่อยๆ ถอยหลังออกมา
“เติ้งเติง เจ็บหรือเปล่า?” เวินเถียนเถียนถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เจ็บหรอก ว่าแต่… ในนั้นมีของกินหรือเปล่า?” เติ้งเติงชี้ไปที่หีบไม้
ทว่าด้านในกลับบรรจุไปด้วยของเล่นที่เป็นเซ็ต ทั้งโมเดลรถที่แปลงร่างได้ และตุ๊กตาบาร์บี้ ล้วนเป็นสมบัติที่เด็กๆ ต้องการ
ขณะทุกคนกำลังตื่นเต้น จ่านซิงเฉินที่นิ่งเงียบมาตลอดพูดกับเติ้งเติงว่า “นายเลือดไหลน่ะ”
ถ้ำที่มีเพียงแสงสลัวจากไฟฉาย ทำให้แผลถลอกที่หัวเข่าของเติ้งเติงถูกมองข้าม
“ไม่เป็นไรหรอก” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ
จู่ๆ เวินเถียนเถียนก็สะดุ้งแล้วทำหน้ากระวนกระวาย
“เติ้งเติง เธอเลือดออก”
“เจ็บหรือเปล่า?” เกาหนิงถามต่อ
ท่าทางกระวนกระวายของเด็กผู้หญิงทำเติ้งเติงเป็นกังวล
“เอาไงดีล่ะ” เขาตอบเสียงอ่อย
พอเห็นว่าสถานการณ์เริ่มตึงเครียด ทีมงานก็วางแผนจะเข้าไปช่วย
ทว่าจ่านซิงเฉินกลับพูดด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความกังวล
“ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวฉันช่วยนายเอง”
เขาเปิดกระเป๋าของตัวเองออกแล้วหยิบกล่องใส่อุปกรณ์ปฐมพยาบาลขนาดเล็กออกมา
จ่านซิงเฉินหยิบน้ำยาล้างแผล สำลี และที่พันแผลออกมาจากกล่อง โดยมีเด็กผู้หญิงอีกสองคนนั่งดูด้วยความสนใจ
เขาค่อยๆ เช็ดเลือดให้เติ้งเติง ก่อนจะทายาฆ่าเชื้อแล้วปิดพลาสเตอร์ให้อย่างคล่องแคล่ว
“โอ้โฮ ลูกชายของนายเก่งมาก!” เติ้งซินอดไม่ได้ที่จะตบบ่าจ่านหยาง
ด้วยความคล่องแคล่วในการทำแผล และสีหน้าสุขุมนุ่มลึกของเด็กน้อยที่อายุเพียงเท่านี้ ทำหลายคนที่ได้เห็นอดชื่นชมไม่ได้
“จ่านซิงซิง นี่คืออะไรเหรอ?” เวินเถียนเถียนถาม
“กล่องปฐมพยาบาล เอาไว้ทำแผลเวลาบาดเจ็บ” เขาตอบอย่างฉะฉาน
จ่านหยางรีบอธิบาย “ปู่ของเขาชอบดูละครเกี่ยวกับหมอน่ะ”
ช่างเป็นคุณปู่ที่รู้จักประยุกต์การเรียนการสอน หลานคนนี้ถึงได้ฉลาดมาก
กระทั่งจัดการกับแผลของเติ้งเติงเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็เดินไปที่หีบสมบัติ
ทางรายการเตรียมของเล่นไว้สี่ชุด มีโมเดลรถ ตุ๊กตาบาร์บี้ หุ่นยนต์แปลงร่าง และตัวต่อเลโก้
เกาหนิงเลือกตัวต่อ เติ้งเติงเลือกหุ่นยนต์แปลงร่าง ส่วนเวินเถียนเถียนเลือกตุ๊กตาบาร์บี้ โมเดลรถ จึงตกเป็นของจ่านซิงเฉิน
เขาหยิบโมเดลรถด้วยสีหน้าผิดหวังเพราะอยากได้คัมภีร์ลับมากกว่า
หลังได้สมบัติคนละชิ้น พวกเขาก็ออกเดินต่อ
“ไม่มีทางไปแล้ว” เกาหนิงชี้นิ้วไปข้างหน้า
“จริงเหรอ?” เวินเถียนเถียนเดินเข้าไปลูบผนังถ้ำ “มีประตูอยู่ตรงนี้”
เติ้งเติงมองจ่านซิงเฉินแล้วทำหน้าเสียดาย “ยังไม่อยากกลับเลย”
วินาทีนั้น พิธีกรหนุ่มผมหยิกปรากฏตัวพร้อมกับแสงแห่งความหวัง
“คุณอามาแล้ว!” เวินเถียนเถียนตะโกนด้วยความดีใจ เพราะรู้ว่าเขาจะพาทุกคนออกไปอย่างปลอดภัย
“คุณอาจะพาพวกเราออกไปแล้วเหรอ?” เกาหนิงยังรู้สึกสนุกอยู่
“ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ” เติ้งเติงเริ่มปีนกางเกงของพิธีกร
เมื่อถูกน้องๆ หนูๆ ห้อมล้อม พิธีกรหนุ่มผมหยิกก็เหลือบมองจ่านซิงเฉิน
“คืออย่างนี้นะจ๊ะ อาพาพวกหนูออกไปได้ แต่พาออกไปทั้งหมดไม่ได้ ต้องเหลือไว้คนหนึ่ง…”
“ผมอยู่ให้เอง” จ่านซิงเฉินตอบ
พิธีกรหนุ่มผมหยิกกำลังจะประกาศกิจกรรมที่เกี่ยวกับทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อแข่งเสร็จทุกคนจึงจะออกไปได้
“ให้ผมอยู่เถอะ” จ่านซิงเฉินพูดย้ำอีกครั้ง “หม่าม้าบอกว่าบางคนมีชีวิตในละครได้ไม่ถึงสองตอน พวกเขาต้องอยู่ไม่ถึงสองตอนแน่นอน”
เด็กอีกสามคนทำหน้างง เพราะไม่รู้ว่ากำลังถูกประเมินอยู่
“หนูอยากอยู่ในถ้ำต่อเหรอจ๊ะ?” พิธีกรหนุ่มผมหยิกถาม
ได้ยินคำถามนี้ ลักยิ้มน้อยๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของจ่านซิงเฉิน
“เพราะผมเกิดมาเป็นพระเอก” จากนั้นก็ชูหยกที่สวมอยู่บนคอให้พิธีกรดู “เครื่องรางของพระเอก หม่าม้าให้ไว้”
ทั้งพิธีกรหนุ่มผมหยิกและผู้ชมที่อยู่หน้าจอนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน
กู้เซียงกำลังถ่ายภาพยนตร์ จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนนั้นเธอแค่ปลอบลูกชายที่กำลังร้องไห้งอแง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอาเป็นจริงเป็นจัง
“คุณอาพาพวกเขาออกไปเถอะครับ” จ่านซิงเฉินทำหน้าขึงขัง “ฝากบอกปะป๊าหม่าม้าว่าผมปลอดภัยดี”
พิธีกรหนุ่มผมหยิกเริ่มงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า จ่านซิงเฉินได้ทำให้ผังของรายการปั่นป่วนแล้ว
หลังขบกรามครุ่นคิด เขาก็ค้นพบวิธีที่จะแก้สถานการณ์ตรงหน้า