“ก็อย่างที่เห็น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาจัดแขนเสื้อของตนให้เข้าที่อย่างช้าๆ เสี้ยวหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ข้าถูกเอาเปรียบ”
หนานกงเลี่ยถึงกับพูดไม่ออก “…..”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” หนานกงเลี่ยชี้นิ้วไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พลางหัวเราะออกมาจนตัวโยน “อา อาเจวี๋ย เจ้าต้องหานางให้เจอนะ น่าสนใจจริงๆ ฮ่า ๆ ๆ เจ้าไปเจอผู้หญิงที่น่าสนใจเช่นนี้ที่ไหนกัน!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย แล้วยื่นมือออกไปอย่างไม่ใส่ใจ…
และทันใดนั้นเอง!
ร่างของหนานกงเลี่ยพลันกลายเป็นอัมพาต มีเพียงแต่ปากของเขาเท่านั้นที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหัวเราะ “เฮ้ย ๆ ๆ อาเจวี๋ย ทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ ให้ตายสิ! เจ้าเสียพลังปราณไปแล้วมิใช่หรือ แล้วเจ้าใช้วิชาสกัดจุดได้อย่างไรกัน! นี่เจ้าจี้จุดหัวเราะของข้าด้วยรึ เจ้าคนร้ายกาจ!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท้าคาง แล้วมองอีกฝ่ายอย่างเกียจคร้าน ด้านหลังของเขาเป็นเก้าอี้ที่เงาทมิฬเตรียมเอาไว้ให้ เขาถือถ้วยชาที่เพิ่งชงร้อนๆ เอาไว้ในมือ ดูไม่แยแสต่อเสียงรบกวนจากรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ท่าทางดูพึงพอใจอย่างมาก
หนานกงเลี่ยเริ่มหมดแรง แต่เขาก็ไม่อาจหยุดหัวเราะได้ “อาเจวี๋ย เมื่อกี้เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ ‘มีชื่อของเจ้าแมวน้อยอยู่ในรายชื่อศิษย์ใหม่ที่มาเข้าเรียนที่นี่ด้วย’ ถ้าเจ้าปล่อยข้าตอนนี้ ข้าอาจจะช่วยเจ้าหาตัวนางได้นะ ข้าเป็นถึงรองเจ้าสำนักเชียวนะ!”
มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ถือถ้วยชาอยู่ชะงักไป เขาเหลือบมองอีกฝ่าย ริมฝีปากอันเย้ายวนนั้นค่อยๆ ยกขึ้นเล็กน้อย…
“แม่นาง ดูเหมือนเจ้าจะไปหาเรื่องคนที่ไม่สมควรเข้าเสียแล้ว”
ทันทีที่ทิ้งระยะห่างออกมาได้พอสมควรแล้ว หยวนหมิงก็ไม่อาจทนเงียบอยู่ได้ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความพอใจ เหมือนคนที่เพิ่งชมการแสดงชั้นดีจบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะล้มตัวลงนอนบนผืนหญ้า นางใช้มือต่างหมอน บนปากคาบเศษหญ้าแห้งเอาไว้เส้นหนึ่ง “ถึงเจ้าไม่บอกข้าก็รู้”
“หึ!” หยวนหมิงเหลือบมองดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว เขาคันไม้คันมืออยากประมือกับใครสักคนใจจะขาด “แม้ว่าบรรยากาศของที่นี่จะไม่เลวนัก แต่เจ้ามิต้องรีบไปประชุมที่ลานกว้างของสำนักหรือ เฮ้ อย่าลืมสิว่าอาชีพหลักของเราคือการฆ่าคน!”
ใครที่ไหนเขาจะยึดการฆ่าคนเป็นอาชีพหลักอย่างเจ้ากัน
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขณะก้มหน้าลงปัดชุดของตน “หยวนเสี่ยวหมิง ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนนะว่าข้ายังไม่ได้ซื้อเสื้อคลุมสีเงินเลยสักตัว หลังจากนี้เจ้าก็ช่วยทำตัวดีๆ เข้าไว้ล่ะ เราจะแฝงตัวเข้าไปในหมู่คนพวกนั้น แล้วก็อยู่ให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้”
สำนักไท่ไป๋กว้างขวางใหญ่โต ลูกศิษย์ลูกหาก็มีจำนวนใกล้เคียงกับโรงเรียนมัธยมในยุคปัจจุบัน
บรรดาคุณหนูและคุณชายที่ได้เข้าเรียนภายในสำนักไท่ไป๋ต่างก็จับกลุ่มกันอยู่ทั่วลาน กลุ่มของพวกเขามีขนาดใหญ่พอที่จะกลืนนางหายไปกับทะเลมนุษย์ได้เลยทีเดียว ดังนั้นต่อให้ผู้ชายคนนั้นคิดที่จะตามหานางไปก็ไร้ประโยชน์
เฮ่อเหลียนเวยเวยคาดการณ์ได้ถูกต้อง จำนวนศิษย์ใหม่ที่หลั่งไหลเข้ามาในทางเข้าหลักจากลานต่างๆ นั้นมีจำนวนมากมายมหาศาล ดังนั้น แม้ว่าหนานกงเลี่ยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะแฝงตัวเข้าไปในนั้นก็ไม่สามารถสังเกตเห็นนางได้
“นี่ อาเจวี๋ย เราต้องลงทุนปลอมตัวถึงขั้นนี้เพื่อเข้าไปด้วยหรือ” หนานกงเลี่ยดึงหมวกทรงสูงบนศีรษะของเขาอย่างรังเกียจ “วันนี้ข้าต้องไปปรากฏตัวในฐานะรองเจ้าสำนักนะ ถ้าข้าไปไม่ทัน มีหวังท่านปู่ได้มาเอาเรื่องข้าแน่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระชับเสื้อคลุมของตนเอง รูปโฉมของเขายังคงงดงาม “จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเจ้าเป็นรองเจ้าสำนักของปีนี้”
“มีแค่เจ้ากับท่านปู่ที่รู้ ชีวิตคนเรามันก็ต้องมีความลับกันบ้าง” หนานกงเลี่ยขยิบตาข้างซ้ายให้อีกฝ่าย เขาไม่เคยสนใจขนบทำเนียม และแน่นอนว่าไม่เคยคิดที่จะสวมชุดทางการให้ถูกต้องเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาเอามือวางบนไหล่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ชุดที่สวมเผยให้เห็นช่วงขาเรียวยาว และเอวได้รูป ดูหล่อเหลาเอาการ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สะทกสะท้าน เขาปัดมือของอีกฝ่ายออก แล้วสอดมือของตนกลับเข้าไปใต้เสื้อคลุม น้ำเสียงของเขายังคงไร้อารมณ์ “เช่นนั้นก็เก็บความลับเอาไว้ต่อไปแล้วกัน”
“เจ้าหมายความว่า…” หนานกงเลี่ยหรี่ตา “เราจะปลอมตัวเป็นศิษย์ใหม่เข้าไปในสำนักหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ตอบ เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้น แล้วแย้มรอยยิ้มออกมา
หนานกงเลี่ยตบหน้าผากตัวเองในทันที “อาเจวี๋ย เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” หนึ่งปุโรหิตกับหนึ่งองค์ชายปลอมตัวเข้าไปเป็นศิษย์ใหม่หรือ สถานการณ์พรรค์นี้มันอะไรกันเนี่ย
“เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” หนานกงเลี่ยพยักหน้าอย่างมั่นใจ เข้าต้องเสียสติไปเพราะถูกจูบโดยพละการแน่ๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อ น้ำเสียงของเขาชัดเจนและเย็นชา “หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว เจ้าจะไปหรือไม่ไป”
“ข้า…..”
อย่าไปนะขอรับ!
ท่านมหาปุโรหิต ท่านต้องห้ามฝ่าบาทเอาไว้สิขอรับ ให้ตายสิสวรรค์!
เงาทมิฬที่ยืนอยู่ข้างๆ หันไปมองหนานกงเลี่ยด้วยสายตาเป็นเชิงบอกว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวและสิ้นหวัง
“ข้าต้องไปแน่นอนอยู่แล้ว!” หนานกงเลี่ยยิ้มให้กับเงาทมิฬที่กำลังพยายามอย่างสุดชีวิต จากนั้นเขาจึงเดินนำออกไป “อาเจวี๋ย ข้าจะบอกเจ้าให้จำไว้ว่าจะต้องคุ้มกันข้าเอาไว้ให้ดีล่ะ ถึงจะไม่มีใครจำข้าได้ แต่ด้วยเสน่ห์และใบหน้าอันหล่อเหลาของพี่ชายผู้นี้จะต้องทำให้สาวๆ ที่เคยอยู่แต่ในจวนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ และตกหลุมรักข้าเข้าแน่ๆ หากพวกนางเข้ามาจับมือข้า เจ้าต้องหลีกทางไปเสีย เข้าใจไหม”
เงาทมิฬเหงื่อตก “…”
[หลีก หลีกทางหรือ]
[ท่านมหาปุโรหิต ตอนนี้ท่านก็แค่กลัวว่าฝ่าบาทจะแย่งเอาช่วงเวลาดีๆ ของท่านไปสินะขอรับ]
[แต่ถ้าพูดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาล่ะก็ ฝ่าบาทจะไม่เป็นอันตรายยิ่งกว่าท่านหรือ!]
[เดี๋ยวสิ นั่นไม่ใช่ประเด็นของเรื่องนี้เสียหน่อย! ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้อยู่ที่ฝ่าบาทต่างหาก ท่านคิดจะเข้าไปเช่นนี้จริงหรือขอรับ!?]
เขาควรทำเช่นไรดี เขาควรนำเรื่องนี้ไปกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบมิใช่หรือ
ไม่ ไม่ได้เด็ดขาด
หากพิจารณาจากท่าทางเอ็นดูที่ฮ่องเต้มีให้กับฝ่าบาทแล้ว อย่างมากเขาก็คงจะแค่สรวล ‘ฮ่าๆ’ ออกมา แล้วตรัสว่า “องค์ชายสามช่างขี้เล่นนัก”
ขะ.. ขี้เล่นหรือ
เงาทมิฬมองขึ้นไปบนท้องฟ้า น้ำตาไหลอาบแก้ม ใต้ผืนฟ้าแห่งนี้ จะมีก็เพียงแต่องค์ฮ่องเต้เท่านั้นที่คิดว่านายท่านเป็นคนขี้เล่น มิใช่จอมมารที่พร้อมจะปลิดชีพทวยเทพที่เข้ามาขวางทาง!
ยามสนธยา สายลมพัดแผ่วเบา
สำนักไท่ไป๋ตั้งอยู่บนยอดเขา ทิศเหนือใกล้กับภูเขาหลายลูก ส่วนทิศใต้ก็ใกล้กับแม่น้ำ มีป่าไผ่หนาทึบตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออก ดูดซึมน้ำจากน้ำพุร้อนเพื่อเติบใหญ่ ทัศนียภาพของสถานที่แห่งนี้ดูคล้ายกับฤดูใบไม้ผลิที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอกตลอดทั้งปี งดงามปานอยู่ในแดนสวรรค์
ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันอยู่ที่บริเวณลานกว้างใจกลางของสำนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินตามคนอื่นๆ เข้ามา พลางมองดูผู้คนที่หลั่งไหลดั่งสายธาร บรรดาคุณชายจากตระกูลขุนนางล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสะดุดตาเหมือนจะโอ้อวดให้ผู้อื่นเห็นว่าตนควบคุมลมปราณในร่างได้เก่งกาจเพียงใด แต่ละคนไร้ซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งผยองในความแข็งแกร่งของตน เก้าอี้หรูหราหลายตัวตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ที่อยู่ข้างลาน พวกมันถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่ให้ข้ารับใช้ของพวกเขาวางกาน้ำชา พลางส่งเสียงให้กำลังใจผู้เป็นนายของตน
บรรดาบุตรีจากตระกูลขุนนางเองก็ใช้ร่มไม้นั้นต่างที่พัก พวกนางลิ้มรสขนมหวาน และชาชั้นเลิศอยู่ตรงนั้น ข้างกายมีสาวใช้วิ่งวุ่นซ้ายทีขวาทีคอยจัดการเรื่องต่างๆ ให้
“มาแล้ว! มาแล้ว!”
ทันใดนั้น เสียงตะโกนก็ดังขึ้น บรรดาคุณหนูคุณชายเหล่านั้นต่างพากันหยุดการเคลื่อนไหว และหันมองไปยังทิศทางที่ประตูหินตั้งอยู่
แอ๊ด!
บานประตูหินที่เคยปิดสนิทค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ แล้วชายร่างเล็กคนหนึ่งก็เดินออกมาจากด้านใน เด็กชายอายุราวห้าหกขวบใช้ขาสั้นๆ ของตนเดินต้วมเตี้ยมออกมา ขาของเขาดูแทบจะแตะไม่ถึงพื้นยามที่นั่งบนเก้าอี้เสียด้วยซ้ำ เสื้อคลุมฝึกวิชาสีขาวหลวมโพรกถูกรัดด้วยผ้าคาดสีดำที่ช่วงเอว การแต่งกายเช่นนั้นยิ่งทำให้เขาดูตัวเล็กกะจ้อยร่อย ศีรษะที่โล้นเตียนไม่มีแม้แต่ผมสักเส้นเป็นประกายราวกับกระจกที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
ใบหน้าเล็กๆ อันเกลี้ยงเกลานั้นดูเหมือนกำลังมีน้ำโห เพราะแก้มอวบๆ ของเขาพองขึ้นเป็นก้อน อีกทั้งยังไม่พูดจาอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เด็กชายเคลื่อนสายตาจ้องมองไปยังเหล่าศิษย์ใหม่ที่อยู่ด้านล่าง พลางกัดซาลาเปาในมือด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เหมือนกับผู้ใหญ่ “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเจ้า ท่านอาจารย์ก็เลยไล่ให้ข้าออกมาโดยไม่รอให้ข้าอิ่มท้องเสียก่อน ช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก!”