เรื่องนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกจนปัญญาอย่างมาก
นางอยากจะถามจริงๆ ว่าที่สำนักไท่ไป๋แห่งนี้มีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านอาการทางจิตบ้างหรือเปล่า เพราะนางอยากพาสัตว์เลี้ยงของตนไปตรวจดูให้แน่ใจเสียเหลือเกินว่าสมองของเขามีตรงไหนผิดปกติหรือไม่!
“แม่นาง เจ้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้อีกแล้ว! เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับข้าอีกหรือ! ฮึ เจ้าตัดใจเสียเถอะ ข้าไม่มีทางหลงรักมนุษย์อย่างเจ้าแน่!” ใบหน้าของหยวนหมิงขึ้นสีเล็กน้อย ดูหล่อเหลาไม่แพ้ผู้ใด
เฮ่อเหลียนเวยเวย “…..”
“ศิษย์ข้า เจ้าเป็นอะไรไปหรือ” ปรมาจารย์ไม่ได้ยินเสียงของหยวนหมิง เขาจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเด็กสาวผู้นี้ถึงขยี้หัวตัวเอง และถอนหายใจออกมาเสียหลายครั้งภายในระยะเวลาอันสั้น เช่นนี้ ซ้ำยังทำหน้ากลุ้มใจถึงเพียงนี้อีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยปัดมือเขาออก แล้วผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ “ข้าจะพูดอีกครั้ง ข้าไม่มีอาจารย์ ท่านจำคนผิดแล้ว”
“รอเดี๋ยว!” ปรมาจารย์เพิ่งรู้สึกตัวว่าวิธีที่ตนใช้ในการเข้าหาอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างหยาบกระด้างเกินไป เขาเกรงว่าตนจะทำให้ศิษย์ผู้มากด้วยพรสวรรค์ตรงหน้านี้ตกใจจนหนีไปเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนน้ำเสียงที่ใช้ในทันที ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจว่า “นังหนู เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเพียงแค่อยากสอบถามเจ้าเรื่องอาวุธเท่านั้น หาได้มีเรื่องอื่นไม่”
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของนาง นางก็หยุดฝีเท้าลง “ท่านอยากจะรู้เรื่องอะไรหรือ”
“เจ้าเคยสร้างอาวุธมามากเท่าไรแล้ว” ปรมาจารย์หัวเราะราวกับจิ้งจอกเฒ่า ขณะคิดในใจว่าเด็กสาวผู้นี้ใช้ได้ทีเดียว ไม่สูงส่งแต่ก็ไม่ต่ำต้อย [1] ที่สำคัญยังค่อนข้างมีมารยาทเสียด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบเรียบๆ ว่า “สอง”
“สองหรือ” นางเพิ่งสร้างอาวุธไปแค่สองอันก็สร้างกระบี่วิญญาณสีเงินขึ้นมาได้หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้าอย่างใจเย็น แล้วเอ่ยต่อ “อันแรกข้าสร้างมันขึ้นที่หอเฟิ่งหวง ดูเหมือนว่าตอนนั้นที่นั่นจะมีงานชุมนุมเจ้ายุทธ์พอดี ข้าก็เลยไปลองดู”
“งานชุมนุมรึ เจ้าหมายถึงงานชุมนุมที่ตู๋เทียนจัดขึ้นหรือ” ปรมาจารย์ไม่อาจทนนั่งนิ่งๆ ได้ เขารู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังเต้นระรัว บนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่จริงหรือ
ปรมาจารย์รีบถามต่อว่า “ที่งานชุมนุมนั้น เจ้าสร้างอะไรขึ้นมาหรือ”
“ไม่ใช่กระบี่” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกถ้วยชาขึ้นจิบ แล้วตอบด้วยท่วงท่าสบายๆ ว่า “แต่เป็นแส้ ข้าสร้างแส้ยาวเส้นหนึ่งขึ้นมา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชราก็ผุดลุกขึ้นในทันใด หนนี้เขาไม่อาจควบคุมความตื่นเต้นของตนได้อีกต่อไป เขากำหมัดแน่น แล้วพูดว่า “นั่นไม่ใช่แส้ธรรมดา! แต่มันคืออสรพิษเงินเก้าบทเพลงต่างหาก! นังหนู เจ้ารู้หรือเปล่าว่าพวกข้าแทบพลิกเมืองเพื่อหาตัวเจ้าเพียงคนเดียว! ฮ่าๆ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะมาที่สำนักไท่ไป๋แห่งนี้ เดี๋ยว ไม่ใช่สิ คนมีความสามารถเช่นเจ้าสมควรแล้วที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสำนักไท่ไป๋! ใช่แล้ว! ในเมื่อข้าเจอตัวเจ้าก่อนตู๋เทียน ผู้เฒ่าจะขอรับเจ้าเป็นลูกศิษย์เอง ข้าจะทำให้เจ้าเด็กเย่อหยิ่งผู้นั้นรู้เสียบ้างว่า นอกจากเขาแล้วยังมีอัจฉริยะอีกคนหนึ่งอยู่!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าของนางยังคงนิ่งเฉยไร้อารมณ์ จนกระทั่งปรมาจารย์พูดจบ นางก็ยกยิ้มขึ้น แล้วเอ่ยว่า “ข้าขอปฏิเสธ”
เด็กสาวเอ่ยคำพูดสามคำนั้นออกมาอย่างเกียจคร้าน นางพูดโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย คำตอบของนางทำเอาหลี่เฟิงที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงกับตกตะลึง
เขาต้องได้ยินอะไรผิดไปแน่ มีคนที่กล้าปฏิเสธท่านปรมาจารย์ด้วยหรือ
นังหนูคนนี้รู้หรือเปล่าว่าผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ตรงหน้านางเป็นใคร
มีตระกูลขุนนางจำนวนตั้งเท่าไรที่ต้องการกราบไหว้ท่านปรมาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ แต่ทุกคนก็ถูกเขาปฏิเสธหมด
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ท่านปรมาจารย์จะนึกถูกใจใครสักคนเช่นนี้ แต่นางทำอะไรลงไป นึกไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าปฏิเสธเขา!
“ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมล่ะ” ปรมาจารย์คาดไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธเขา ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นสีแดง มีความคับข้องใจปรากฏอยู่ในนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง แล้วตอบว่า “จากที่ฟังท่านปู่พูดมาเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าท่านคงอยากรับอีกคนเป็นลูกศิษย์ แต่ถูกเขาปฏิเสธมาใช่ไหมล่ะ”
“ใช่” เขาไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้กับนาง
หลี่เฟิงประหลาดใจ มีคนที่เคยปฏิเสธท่านปรมาจารย์ด้วยหรือ ใครกัน ทำไมเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเก็บเงินใส่กระเป๋า แล้วยิ้มออกมา “ข้า เฮ่อเหลียนเวยเวย ไม่มีวันยอมเป็นตัวแทนของใครเด็ดขาด”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรือ เหตุใดชื่อนี้จึงฟังคุ้นหูนัก หลี่เฟิงขมวดคิ้ว พลางเหลือบมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
ปรมาจารย์รู้สึกวิตกกังวล เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอันจริงใจว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น นังหนู เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ผู้เฒ่าไม่ได้เห็นเจ้าเป็นตัวแทน ผู้เฒ่าต้องการรับเจ้าเป็นลูกศิษย์จากใจจริง เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวในชีวิตของข้า!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาของนางเป็นประกาย บางทีนางควรจะมีอาจารย์กับเขาสักคน อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน การมีมิตรย่อมดีกว่ามีศัตรูเป็นไหนๆ ยิ่งกว่านั้น หากมีคนคอยให้คำแนะนำ นางก็อาจจะใช้เวลาในการสร้างอาวุธน้อยลงด้วย
“ตกลง แต่ท่านยังต้องจ่ายค่าอาวุธที่ข้าส่งมาขายที่นี่ให้เหมือนเดิมนะ”
ทันทีที่ปรมาจารย์ได้ยินคำตอบว่า ‘ตกลง’ เขาก็ดีใจจนแทบจะลอยได้ สำหรับเขานั้นเรื่องเงินหาใช่เรื่องใหญ่ไม่ เขาหัวเราะดังลั่นพลางลูบเคราของตน “ได้สิ ได้อยู่แล้ว! หากศิษย์ของข้าต้องการสิ่งใด อาจารย์ผู้นี้จะหามาให้เจ้าเอง!”
ฟังจากคำพูดของเขาแล้ว ตำแหน่งของชายชราผู้นี้คงใหญ่โตไม่น้อย เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก
แต่จู่ๆ หลี่เฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พลันสะดุ้งสุดตัว เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความประหลาดใจ “โอ้! ข้านึกออกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร! เจ้าคือคนที่ถูกตระกูลมู่หรงยกเลิกงานแต่ง คนที่เป็นขย..”
เขาไม่อาจพูดคำว่า ‘ขยะ’ ออกมาได้
เพราะเขาเห็นกระบี่วิญญาณสีเงินที่นางสร้างด้วยตาของตัวเอง!
อาวุธที่ทำให้หัวใจของเขาต้องสั่นสะท้าน เจ้าของร้านที่คลุกคลีอยู่กับเรื่องอาวุธมาตลอดชีวิตก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมนาง!
ใครจะคิดว่าคุณหนูที่ถูกคนทั้งเมืองรังเกียจ จะเป็นอัจฉริยะด้านการสร้างอาวุธที่ไม่เคยมีมาก่อน!
เป็นไปได้หรือไม่ว่านางปิดบังความสามารถของตัวเองเอาไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แต่เขาไม่รู้ว่าตระกูลมู่หรงรู้เรื่องนี้หรือไม่ พวกเขาจะเสียใจไหมที่รีบยกเลิกการแต่งงานไป
อันที่จริงเรื่องงานแต่งที่ถูกยกเลิกนี้ก็ไม่ใช่ความลับแต่ประการใด มันเป็นข่าวลือไปทั่วเมืองเลยด้วยซ้ำ
ตอนที่เด็กทั้งสองถูกจับหมั้นหมายกันนั้น คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ยังอยู่ภายใต้การปกครองของนายท่านเฮ่อเหลียนคนก่อน แต่เมื่อเขาสิ้นใจไป ตระกูลเฮ่อเหลียนก็ถึงคราวจบสิ้น อีกทั้งเด็กสาวผู้นี้เองก็ยังไม่มีพลังลมปราณเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยเหตุนี้ตระกูลมู่หรงจึงเริ่มไม่พอใจ และหลงลืมความใจดีที่นายท่านเฮ่อเหลียนคนก่อนเคยมีให้ พวกเขามักจะเอาแต่คิดว่าทำอย่างไร การแต่งงานนี้ถึงจะถูกล้มเลิก
ในที่สุดพวกเขาก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่พวกเขาไม่มีวันรู้เลยว่าได้พลาดอะไรไป!
หลี่เฟิงส่ายศีรษะ และถอนหายใจออกมา พลางคิดว่าเรื่องราวต่างๆ บนโลกใบนี้ล้วนแต่ไม่จีรังยั่งยืน ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน
ปรมาจารย์ส่งเสียงในลำคอด้วยท่าทีเย็นชา “มู่หรงหรือ ใช่ลูกศิษย์ที่ตู๋เทียนรับมาหรือเปล่า พฤติกรรมของเขาไม่ดีเท่าไร หน้าตาก็ไม่หล่อ จะมาคู่ควรกับลูกศิษย์ของข้าได้อย่างไรกัน! เจ้าหมอนั่นกล้ายกเลิกการแต่งงานกับนางหรือ ฮึ่ม บุรุษเช่นเขา ต่อให้เจ้าพวกนั้นเอามาประเคนให้กับนาง นางก็ไม่อยากได้หรอก!”
หลี่เฟิงเงยหน้าขึ้น “ท่านปรมาจารย์ ข้าได้ยินมาว่ามู่หรงซื่อจื่อได้อันดับสามในการจัดอันดับหนุ่มหล่อของเมืองเชียวนะขอรับ นับตั้งแต่ที่เขาถอนหมั้นไป ก็มีคุณหนูจากหลายตระกูลส่งข้อเสนอไปที่คฤหาสน์ตระกูลมู่หรงแล้ว ทุกคนต่างก็อยากจะแต่งงานกับเขากันทั้งนั้น”
ปรมาจารย์ส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความโกรธจนเครากระเพื่อม แต่ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย และเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “ก็แค่อันดับสาม! ศิษย์ข้า เดี๋ยวอาจารย์จะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับชายรูปงามอันดับหนึ่งในเมืองให้กับเจ้าเอง รับรองว่าหล่อกว่ามู่หรงซื่อจื่อเป็นร้อยเท่าเชียวล่ะ!”
…………………………………………………………………………………….
[1] ไม่สูงส่งแต่ก็ไม่ต่ำต้อย เป็นสำนวนจีนแปลว่าไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อย