การหนี ไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนตัวไปด้านหลัง ขณะมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายใจ และ ยังคงเยือกเย็นเช่นเดิม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น เขาก้มหน้าลงพลางถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ที่อยู่บนตัวออก เผยผิวขาวผุดผ่องกับกล้ามเนื้อแข็งแรงงดงามไร้ที่ติต่อหน้าผู้คนมากมาย ทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่เขาด้วยความหลงใหล
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งตระหนักได้ในตอนนั้นนั่นเองว่าเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนไหล่ของเขาคือชุดที่นางถอดทิ้งไปเมื่อคืน!
เขาต้องเป็นคนโรคจิตแน่ๆ จะต้องเกลียดนางขนาดไหนกัน แม้กระทั่งเสื้อคลุมของนางเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปได้!
ยิ่งไปกว่านั้น…
เขาว่ากันว่าคนสมัยก่อนเป็นคนรักนวลสงวนตัวมิใช่หรือ
แต่ชายคนนี้ถึงกับเปลื้องผ้าตัวเองต่อหน้าสาธารณชนเชียวนะ แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่พูดอะไรเพื่อควบคุมสถานการณ์เลยสักคำเล่า
อาจารย์ “….”
ท่านอาจารย์ตกตะลึงจนตัวแข็งไปกับการกระทำอันบ้าบิ่นขององค์ชายไปเสียแล้ว!
เพราะถึงแม้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะถอดเสื้อของตนออกแล้ว แต่บนใบหน้าของเขานั้นกลับไม่ได้มีความกระดากอายปรากฏขึ้นแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งการขยับมือและท่าทางการเดินของเขาก็ยังคงไว้ซึ่งความสง่างามไม่เปลี่ยนแปลง ท่วงท่านั้นทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็กระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้น
ฟิ้ว!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหวี่ยงเสื้อคลุมในมือออกไป ทำให้มันลอยมาหล่นอยู่ข้างๆ โต๊ะเตี้ยของเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงช้าๆ พลางใช้มือสองข้างค้ำโต๊ะเอาไว้ ดวงตาอันลึกล้ำของเขามองตรงไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วแย้มรอยยิ้มอันน่าขนลุกออกมา “อย่าบอกนะว่าเจ้าความจำเสื่อมอีกแล้ว”
“ถ้าข้าบอกว่าข้าความจำเสื่อม ท่านจะเชื่อหรือเปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองเสื้อคลุมที่อยู่ใต้เท้าของนาง ริมฝีปากบางโค้งขึ้นเล็กน้อย “นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะชอบชุดของข้ามากถึงเพียงนี้”
หนานกงเลี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ พอได้ยินประโยคนั้นเข้า เขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาในทันที “อาเจวี๋ย ฮ่าๆ เจ้าฟังที่นางพูดสิ นางบอกว่าเจ้าชอบนางแน่ะ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวย “…”
ผู้ชายที่ท่าทางเหมือนสุนัขจิ้งจอกคนนี้โผล่มาจากไหนกัน ขอทีเถอะ อย่ามาหัวเราะเสียงดังข้างหูนางจะได้ไหม
แล้วก็อีกอย่าง เขาฝันกลางวันอยู่หรือเปล่า
เห็นๆ กันอยู่ว่านางพูดถึงชุดของตัวเอง ไม่ได้หมายถึงตัวนางเสียหน่อย!
“เจ้าหุบปากได้แล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันไปมองหนานกงเลี่ย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ เมื่อเขาหันกลับมา เขาก็ยื่นมือออกไปจับคางของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ในทันที ใบหน้าของเขาขยับเข้ามาใกล้นางอย่างน่าหวาดเสียว “ไหนบอกข้าสิ ข้าควรจะให้เจ้าตายอย่างไรดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเสนอ “เราควรจะคุยกันดีๆ แล้วจบเรื่องนี้กันอย่างสันติดีกว่า ข้าไม่ชอบการต่อสู้หรือเข่นฆ่าเท่าใดนัก”
ทุกคน “…” [แล้วคนที่เพิ่งจะอัดเจ้าเด็กกลุ่มนั้นเสียจนเกือบจะพิการไป เป็นใครกัน!]
“หือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น แล้วแสร้งทำหน้าเหมือนกับว่าเขาสนใจในสิ่งที่นางจะพูดต่อยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอย่างรอบคอบ “เรื่องที่ข้าบังเอิญไปจูบท่านนั้นเป็นความผิดของข้าเอง แต่ข้าก็ชดเชยให้ท่านไปแล้วมิใช่หรือ ส่วนเรื่องเมื่อคืน ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามีคนอยู่ในนั้น”
“ชดเชยรึ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหรี่ตาลงช้าๆ ดวงตาอันทรงเสน่ห์อัดแน่นไปด้วยความเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดไม่ถึงว่าชายคนนี้จะลืมเรื่องที่นางเอา “เงินค่าทำขวัญ” ให้เขาตั้งยี่สิบตำลึงไปแล้ว
หรือเขาคิดว่ามันยังไม่พอ เขาน่าจะยังไม่ทันได้ซื้อเสื้อคลุมสีเงินเลยด้วยซ้ำ
“ข้าให้เงินท่านเพิ่มก็ได้นะ” สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว นางยังคงใจเย็นเหมือนเดิม แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่นางก็ยังคงรักษารอยยิ้มพร้อมเผชิญหน้ากับความตายอย่างเยือกเย็นเช่นนั้นเอาไว้ได้ เว้นก็แต่ดวงตาชุ่มชื้นที่ดูหม่นหมองของนาง นอกนั้นนางก็ดูเหมือนไม่เป็นกังวลกับเรื่องใดทั้งสิ้น
ดูเหมือนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะถูกใจสีหน้าเช่นนี้ของนางมากทีเดียว เขาใช้ฝ่ามือยันตัวเองเอาไว้ แล้วก้มหน้าก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างพอใจ ดวงตาเป็นประกายของเขาเชิดขึ้นเล็กน้อย
น่าสนใจจริงๆ เจ้าของวังปีศาจผู้แข็งแกร่งขนาดสามารถสั่นสะเทือนเมืองหลวงได้ทั้งเมือง กลับกำลังถูกเด็กสาวคนหนึ่งตีราคาอยู่หรือ
อา…
หนานกงเลี่ยที่ยืนเงี่ยหูฟังอยู่ข้างๆ ตกอยู่ในสภาพสับสนมาได้พักหนึ่งแล้ว เขางุนงงจนไม่รู้ว่าตนควรจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นไรกับสถานการณ์เช่นนี้ดี
ชายหนุ่มคนนี้หมกมุ่นเรื่องความสะอาดมาตั้งแต่ยังเด็ก และไม่เคยให้ใครเข้าใกล้ในรัศมีสามฉื่อได้
เมื่อสามปีก่อน ตอนที่บุตรสาวของท่านแม่ทัพหูใช้ตำแหน่งและอิทธิพลอันกว้างขวางภายในราชสำนักของผู้เป็นพ่อจับมือของเขามาวางบนร่างของนางในระหว่างที่เต้นรำในงานเลี้ยงด้วยกัน
ในเวลานั้นเขาต้องการให้ตัดมือของคุณหนูหูออกเสีย แม่ทัพหูร้องขอความเมตตาจากเขาอยู่ครึ่งค่อนวัน กว่าเขาจะยอมปล่อยเรื่องนี้้ไป
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจของเขาอีก
แต่ตอนนี้ ‘เจ้าแมวน้อย’ ตัวนี้กลับไม่เพียงแค่จูบเขา แต่… ยังกล้าต่อรองราคาค่าตัวเขาอีกด้วย!
จบแล้ว จบสิ้นกันแล้ว ครั้งนี้นางได้ตายจริงๆ แน่!
หนานกงเลี่ยมองไปทางคนที่กำลังจ้องหน้ากันอยู่ด้วยสายตาหวาดหวั่น ขณะกลืนน้ำลายลงคอ
หลังจากนั่งอยู่ในท่าเดิมมาเป็นเวลานาน เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เริ่มเอนหลังอย่างเกียจคร้าน จากนั้นนางจึงพูดต่อว่า “เรื่องที่ข้าเห็นเรือนร่างของท่านเมื่อวานก็เช่นกัน ข้าสามารถชดเชยให้ท่านได้”
หนานกงเลี่ยสำลักออกมาถึงสองครั้งติดกัน คาดไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก!
“ชดเชยให้ข้าอีกแล้วหรือ” เปลือกตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกขึ้นเล็กน้อย เส้นผมสีดำดุจน้ำหมึกลอยอยู่ในอากาศ อารมณ์ภายในดวงตาของเขาพลันรุนแรงขึ้นอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า แล้วมองเขาอย่างใจเย็น “เรื่องทั้งสองครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของข้าเอง ท่านเสนอราคามาได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังดูไร้เหตุผลจนเกินไป ข้าก็พร้อมที่จะชดใช้ให้ทุกอย่าง”
หลังจากที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินดังนั้น รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็เหยียดกว้างขึ้นอย่างสวยงาม “ฟังดูเป็นข้อเสนอที่ไม่เลวทีเดียว”
ดียิ่งนัก เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนว่าหนนี้นางจะเจอกับผู้ชายที่พูดจารู้เรื่องเข้าแล้ว
“แต่…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโน้มตัวลงกะทันหัน น้ำเสียงของเขาหวานหยดย้อยราวกับดอกไม้แรกแย้ม “ราคาของข้าสูงมากนะ เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะจ่ายไหว”
ไม่ ไม่มีทาง! หนานกงเลี่ยตัวแข็งเป็นหินอีกครั้ง เขารู้สึกว่าประสาทการได้ยินของเขาต้องมีปัญหาแน่!
องค์ชายสามแห่งจักรวรรดิจ้านหลงคิดจะขายตัวจริงๆ หรือ
โอ้สวรรค์ ต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ!
วันนี้อาเจวี๋ยลืมกินยาก่อนออกจากห้องมาใช่หรือไม่
จู่ๆ ก็ตัดสินใจอะไรเองโดยพละการเช่นนี้ เสด็จปู่ไม่มีทางเห็นด้วยแน่!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหุบยิ้ม คำพูดของนางชัดเจนและเย็นชา แต่ก็ยังสุภาพ “เมื่อครู่ข้าพูดชัดเจนแล้วว่า ตราบใดที่มันไม่ไร้เหตุผลจนเกินไป ข้าก็ยินดีที่จะทำตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะสามารถตั้งราคาขึ้นมาตามอำเภอใจได้หรอกนะ”
พอพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันที นางหยิบตั๋วเงินออกมาจากอกเสื้อ แล้ววางมันลงในมือของเขา “เบื้องต้นข้าให้ท่านได้เท่านี้ก่อน เพียงพอที่จะซื้อหมวกนักปราชญ์แล้ว ส่วนที่เหลือข้าจะเอาให้ท่านทีหลัง”
ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะคิดจริงๆ ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยและสหายของเขาเป็นศิษย์ใหม่ที่ต้องพึ่งพากำลังตัวเองเพื่อหาเงินเหมือนกันกับนาง
แต่ก็ไม่แปลกที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะเข้าใจผิดเช่นนั้นเดิมทีข้อบังคับของสำนักไท่ไป๋ได้กำหนดเอาไว้ว่าศิษย์ของสำนักจะต้องนำของที่จำเป็นมามาให้พร้อม และคนที่ไม่สามารถทำตามนั้นได้ก็คือคนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูล เช่นบุตรสาวหรือบุตรชายของอนุภรรยา
ปกติแล้วคนเหล่านั้นมักจะถูกจัดให้ไปอยู่ในหอสามัญ มิหนำซ้ำพวกเขายังถูกรายงานพฤติกรรมกับอาจารย์อยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่เคยอยู่ในสายตาของสำนักไท่ไป๋ และเฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
นอกจากนี้ หนานกงเลี่ยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็จงใจแต่งกายด้วยเสื้อผ้าซอมซ่อเพื่อปิดบังฐานะที่แท้จริงของตน และปกปิดพลังปราณที่เอ่อล้นออกมาจากร่างกายของพวกเขาอีกด้วย
ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงคิดไปเองว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกับสหายของเขาอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันกับนาง จากนั้นจึงเริ่มตั้งคำถามว่าการกระทำของนางนั้นเกินไปหรือเปล่า นางก็เลยต้องการให้เงินพวกเขาเพื่อเป็นการชดเชย
เห็นได้ชัดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกว่าความเข้าใจผิดนี้ช่างน่าขันยิ่งนัก เพราะริมฝีปากบางได้รูปของเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยความหยอกล้อ ประหนึ่งดอกไม้ปีศาจที่ขึ้นอยู่ริมแม่น้ำวั่งชวน ร่างของเขาแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายออกมา…
ดวงตาของหนานกงเลี่ยเบิกกว้าง เขายกมือขึ้นชี้ไปที่ตัวเอง “พวกข้าดูเหมือน…”
“ดี” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะขึ้นขัดคำพูดถัดไปของหนานกงเลี่ย
หนานกงเลี่ยหันไปจ้องหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อ ดีที่ไหนกันล่ะ คนหนึ่งเป็นถึงองค์ชาย ส่วนอีกคนก็เป็นถึงปุโรหิต แล้วมีตรงไหนที่ทำให้พวกเขาดูเหมือนศิษย์ยากจนที่ไม่มีเงินซื้อแม้กระทั่งหมวกนักปราชญ์ตกัน