“เช่นนั้นเจ้าก็นั่งรออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวข้าจะเข้าไปแจ้งพวกเขาให้”
เมื่อเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้ารับ เจ้าของร้านก็เดินกลับเข้าไปหลังร้านด้วยความสบายใจ
ภายในห้องหนังสือ บรรดาอาจารย์ที่สอนอยู่ในสำนักกำลังถกเถียงกันว่าในหมู่ศิษย์ใหม่ที่เข้ามาปีนี้ มีผู้ที่มีความสามารถอันน่าจับตามองหรือไม่ ทุกคนต่างก็คิดที่จะจองตัวเด็กๆ เหล่านั้นให้มาเป็นศิษย์ของตน
“พี่น้องข้า ได้โปรดหยุดตะโกนกันก่อนเถิด ท่านปรมาจารย์ยังมิได้พูดอะไรเลยสักคำ แต่พวกท่านกลับนำเรื่องนี้มาโต้เถียงกัน ซ้ำยังกล่าวหาว่าคนนั้นจะขโมยคนนี้ ทะเลาะกันไปแล้วจะได้ประโยชน์อันใดขึ้นมาหรือ” ตู๋เทียนส่ายหน้า แล้วถอนหายใจออกมาจนเครากระเพื่อม พลางจิบน้ำชาในถ้วยชาของตน
ผู้เป็นปรมาจารย์เอนกายลงเล็กน้อย “ข้ายังไม่เจอคนที่ถูกใจ พวกเจ้าคุยกันต่อเถอะ”
“ท่านปรมาจารย์ขอรับ… จริงๆ แล้วท่านอยากได้ลูกศิษย์แบบไหนกันหรือ ข้าคิดว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ผู้นี้ก็ดูไม่เลวนะขอรับ นางอายุยังน้อย แต่ทักษะการต่อสู้กลับบรรลุระดับสูงสุดแล้ว” หนึ่งในนั้นยื่นม้วนกระดาษมาให้เขา พลางชี้ชื่อที่อยู่บนสุดให้ท่านปรมาจารย์ดู
ปรมาจารย์แค่นหัวเราะ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองเสียด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าในสายตาของเขานั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยังไม่ผ่านเกณฑ์
ตอนนั้นเองที่น้ำเสียงทุ้มต่ำอันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของชายผู้หนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก “ท่านปรมาจารย์ขอรับ หลี่เฟิง เจ้าของย่านการค้ามาขอพบท่านขอรับ!”
“หลี่เฟิงหรือ” ปรมาจารย์นึกไม่ออกว่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้หลี่เฟิงถ่อมาหาเขาถึงที่นี่ได้ ยิ่งในเวลานี้ที่บรรดาอาจารย์กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ด้วย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญเพียงใด แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางมารบกวนพวกเขาแน่ การกระทำเช่นนี้ไม่สมกับเป็นหลี่เฟิงในยามปกติแม้แต่น้อย “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปดูเองว่ามีเรื่องอะไร”
ปรมาจารย์ขมวดคิ้วขณะลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินออกไปจากห้องหนังสือช้าๆ
หลังจากที่ได้เห็นเขา หลี่เฟิงก็รีบเดินเข้ามาคำนับด้วยดวงตาเป็นประกาย
แต่ปรมาจารย์กลับทำเพียงโบกมือให้เขาอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้ามาหาข้าเวลานี้ มีเรื่องสำคัญอันใดต้องแจ้งหรือ”
“ท่านปรมาจารย์ขอรับ ข้าเพิ่งได้กระบี่วิญญาณน้ำแข็งมาขอรับ!” ดวงตาของหลี่เฟิงพราวระยับ เขาไม่อาจควบคุมความตื่นเต้นภายในใจของเขาได้
อย่างไรก็ตาม ปรมาจารย์กลับไม่คิดที่จะชายตามองเขาด้วยซ้ำ “เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้น่ะหรือ” การที่กระบี่วิญญาณน้ำแข็งจะปรากฏตัวขึ้นในย่านการค้านั้นเป็นเรื่องธรรมดาเสียยิ่งกว่าธรรมดา อย่างไรเสียสำนักไท่ไป๋ก็ไม่เหมือนกับสำนักอื่น ในสำนักแห่งนี้มียอดฝีมืออยู่จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะเหล่าเจ้ายุทธ์ที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างอาวุธ หากเขาบอกว่าสำนักนี้เป็นสถานที่ที่บรรดาเจ้ายุทธ์ผู้เก่งกาจแห่งจักรวรรดิจ้านหลงมารวมตัวกันอยู่ก็คงไม่เกินจริงนัก
“มะ… ไม่ใช่ขอรับ” หลี่เฟิงกลืนน้ำลายคล้ายกำลังคิดหาคำอธิบาย “กระบี่วิญญาณน้ำแข็งเล่มนี้…”
“หลี่เฟิง” ปรมาจารย์ตัดบทเขา “บรรดาอาจารย์ทั้งหลายยังอยู่ในห้องหนังสือ พวกเขาล้วนแต่สามารถสร้างกระบี่วิญญาณน้ำแข็งกันได้ทั้งนั้น อาวุธจำพวกนี้ชอบความเย็น เจ้านำมันไปเก็บไว้ในที่ที่มันควรอยู่เถิด ภายหน้าภายหลังเจ้าไม่จำเป็นต้องนำเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้มารายงานข้าก็ได้”
“แต่คนที่สร้างกระบี่วิญญาณน้ำแข็งเล่มนี้ขึ้นไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็นศิษย์ใหม่นะขอรับ!” หลี่เฟิงพึมพำเสียงเบา คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยินที่เขาพูด
แต่จู่ๆ ปรมาจารย์ที่เพิ่งจะก้าวเท้าออกไปพลันหันกลับมาอย่างกะทันหัน เขาจ้องมองหลี่เฟิงด้วยความตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ”
“เรื่องเป็นเช่นนี้ขอรับ เมื่อครู่นี้มีศิษย์ใหม่ผู้หนึ่งนำกระบี่วิญญาณน้ำแข็งมาที่ย่านการค้า เด็กสาวผู้นั้นน่าจะมีอายุได้ประมาณสิบห้าปี แต่นางยังไม่มีอาจารย์ขอรับ นางเป็นผู้สร้างกระบี่เล่มนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง แม้วัสดุที่ใช้จะไม่ใช่ของคุณภาพสูงนัก แต่ก็นับว่าเป็นกระบี่วิญญาณน้ำแข็งที่มีอานุภาพไม่น้อยเลยทีเดียว” หลี่เฟิงรีบเล่าให้เขาฟัง
ปรมาจารย์เงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
จะเป็นไปได้อย่างไร
อายุสิบห้าเท่านั้นเองหรือ
อายุน้อยแค่นั้น ทั้งยังไม่มีคนสอน แต่นางกลับสร้างกระบี่วิญญาณน้ำแข็งขึ้นมาได้
แม้แต่ผู้ที่เป็นเจ้ายุทธ์อายุสามสิบก็อาจจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำนางยังใช้เพียงแค่วัสดุธรรมดาๆ เท่านั้นหรือ!
ปรมาจารย์เหมือนกับจะคิดอะไรออก เขาจึงสั่งด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “เอากระบี่มาให้ข้าดูสิ”
“ขอรับ” หลี่เฟิงยกมือทั้งสองและส่งกระบี่ยาวที่พันด้วยผ้าสีดำให้เขา
ปรมาจารย์ดึงผ้าสีดำผืนนั้นออกแล้วใช้นิ้วไล้ตามความยาวของกระบี่ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ทันใดนั้นเขาก็ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดนั่งลงบนบันไดขั้นหนึ่ง ความตระหนกตกใจแล่นไปทั่วร่าง “กระบี่เล่มนี้ไม่ใช่วิญญาณน้ำแข็ง แต่เป็นวิญญาณสีเงินต่างหาก!”
“กระบี่วิญญาณสีเงินหรือขอรับ” นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่เฟิงได้ยินชื่อนี้ “มันคืออะไรกันขอรับ ท่านปรมาจารย์ ข้าเข้าใจผิดไปหรือ กระบี่เล่มนี้ไม่ได้มีค่าถึงเพียงนั้นหรือ”
“ไม่ใช่!” ปรมาจารย์สูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาของเขาโชนแสง “กระบี่เล่มนี้มีค่ามากกว่าวิญญาณน้ำแข็งเสียอีก เจ้าคงจะรู้อยู่แล้วว่าเมื่อเจ้าชักกระบี่วิญญาณน้ำแข็งออกมาจากฝัก มันจะหยุดการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้ในระดับหนึ่ง แต่กับกระบี่วิญญาณสีเงิน มันสามารถแช่แข็งเส้นประสาทของคู่ต่อสู้ได้ ประสิทธิภาพของมันนั้นเยี่ยมยอดกว่าวิญญาณน้ำแข็งถึงสิบเท่า!”
เมื่อได้ฟังดังนั้น หลี่เฟิงก็ถึงกับอ้าปากค้าง เขาคิดว่าเด็กสาวผู้นั้นเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่คาดไม่ถึงเลยว่านางจะมีฝีมือถึงเพียงนี้!
จากประสบการณ์ครั้งที่แล้ว สิ่งแรกที่ปรมาจารย์ทำหลังจากตั้งสติได้คือการคว้าเข้าที่คอเสื้อของหลี่เฟิง พร้อมกับถามว่า “แล้วเด็กสาวคนนั้นล่ะ เด็กสาวคนนั้นอยู่ที่ไหน เจ้าได้ถามชื่อนางหรือเปล่า”
[ขอร้องล่ะ อย่าได้ทำตัวโง่เง่าเหมือนตู๋เทียนที่ลืมถามไปเสียทุกอย่างเลย]
หลี่เฟิงชะงัก “ข้า ข้าลืมถามชื่อนางขอรับ”
“เจ้า! พวกเจ้านี่มัน! เฮ้อ!” ปรมาจารย์ถอนหายใจให้กับความผิดของหลี่เฟิง
เมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของอีกฝ่าย หลี่เฟิงจึงรีบบอกเขาว่า “แต่เด็กสาวผู้นั้นยังไม่กลับไปนะขอรับ ข้าคิดว่านางเป็นเด็กสาวมากพรสวรรค์ที่หาได้ยาก จึงบอกให้นางรออยู่ที่ย่านการค้าขอรับ หากท่านปรมาจารย์ต้องการพบนาง ท่านสามารถ…”
ผู้เฒ่าหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่รอให้เขาพูดจบก่อน แขนเสื้อยาวๆ ของเขาสะบัดพลิ้วขณะที่วิ่งตรงไปยังย่านการค้า จากความเร็วของเขานั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกได้ว่าเขาอายุเกินหนึ่งร้อยปีแล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพอย่างสูงอีกต่างหาก
ปัง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังจิบชาอยู่เงยหน้าขึ้นมาตามเสียงถีบประตูที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ชายชราในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่หน้าประตู แสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่ฉายอยู่เหนือร่างของเขากับกลุ่มผมสีดอกเลา ทำให้การปรากฏตัวของชายชราเต็มไปด้วยบรรยากาศอันน่าเลื่อมใส แต่รัศมีนั้นก็มอดดับลงไปในทันทีที่เขาอ้าปากพูด “เจ้าคือนังหนูที่สร้างกระบี่วิญญาณสีเงินหรือ”
“ถ้ากระบี่วิญญาณสีเงินที่ท่านกำลังพูดถึงหมายถึงกระบี่เล่มนั้นล่ะก็ ใช่ ข้าเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยวางถ้วยชาลง สีหน้าของนางสงบนิ่งเยือกเย็น
ดวงตาของปรมาจารย์เป็นประกายขณะเดินเข้าไปหานาง แล้วคว้ามือนางเอาไว้ “นังหนู ในที่สุดอาจารย์ในอนาคตก็หาตัวเจ้าเจอจนได้!”
อาจารย์ในอนาคต หาตัวเจ้าเจอจนได้หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองการกระทำของผู้เฒ่า มุมปากของนางกระตุก
“ฮ่าๆ แม่นาง เจ้ามีอาจารย์ที่กระตือรือร้นถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” หยวนหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือขึ้นกุมขมับ นางเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้อาวุโสท่าทางน่าขันผู้นี้โผล่มาจากไหน
“ท่านปู่ ข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจผิดแล้วล่ะ ข้าไม่มีอาจารย์” เฮ่อเหลียนเวยเวยกล่าว นางอยากรีบชักมือกลับโดยเร็ว
ปรมาจารย์ยังคงตื๊ออย่างหน้าไม่อาย “เปล่า ข้าหาได้เข้าใจผิดไม่ อาจารย์ในอนาคตเช่นข้ามั่นใจมากว่าเจ้าคือคนที่อาจารย์อย่างข้ารอมาตลอด!”
“แม่นาง เจ้าแน่ใจหรือว่าตาแก่ผู้นี้ไม่ได้คิดที่จะเอาเปรียบเจ้า” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหยวนหมิงเป็นคนที่ชอบยุแยงตะแคงรั่วถึงเพียงใด เขาหวังอยู่ตลอดเวลาว่าจะได้ประมือกับใครสักคน ถึงแม้ว่าการรังแกคนแก่จะค่อนข้างโหดร้ายไปหน่อย แต่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าฝ่ายที่หาเรื่องก่อนคือตาแก่คนนี้ที่ปรี่เข้ามาจับมือนางเอาไว้ต่างหาก!
ตอนนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกหงุดหงิดเสียเต็มประดา บางครั้งนางก็นึกอยากจะผ่ากะโหลกของหยวนหมิงออกมาดูว่าข้างในนั้นมีความคิดพิลึกอันใดอยู่กันแน่ ทำไมมันถึงได้มีแต่แม่นางนั่น แม่นางนี่ กับความต้องการจะทะเลาะวิวาทเท่านั้น และสิ่งที่น่าขันกว่านั้นคือการที่เขาเอาแต่พูดจาหลงตัวเอง หาว่านางหลงรักเขาอยู่ทุกค่ำคืนอีกด้วย…