ห้วนหมิงเสียงอ้าปากค้าง แล้วค่อยๆ หุบปากลง แก้มทั้งสองข้างของเขาป่องออกราวกับกลอง “ข้าเคยพูดว่ารังเกียจนางตอนไหนกัน ไม่เคยเลย หากนางมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ ให้รีบรายงานข้าทันที”
“ขอรับ” เงาทมิฬมองแผ่นหลังของชายชราที่ห่างออกไป แล้วส่ายศีรษะเบาๆ ผู้อาวุโสห้วนไม่ยอมรับมัน
ห้วนหมิงเสียงจะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไรกันเล่า ข่าวลือและคำนินทาสามารถทำลายคนๆ หนึ่งได้จริงๆ
ชายชราหยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดพื้นต่อ แต่ว่าคราวนี้ เขาเคลื่อนไหวไปมาอย่างหุนหัน ราวกับกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ก็ไม่ปาน
เด็กสาวที่มีความสามารถดีเยี่ยมเช่นนั้น กลับเกิดมาเป็นที่รังเกียจของคนอื่นๆ
หากนางไม่ได้มาที่ย่านการค้าในครั้งนี้ เขาก็คงจะเข้าใจผิดต่อไปเช่นนั้นหรือ
ยิ่งชายชราครุ่นคิดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหงุดหงิดใจมากขึ้นเท่านั้น จากนั้น เขาจึงโยนไม้กวาดทิ้งไป ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย “ปีนี้ พวกเราจะไม่คัดเลือกแค่คนจากหอชั้นเลิศอีกต่อไป คงจะน่าสนใจกว่าหากพวกเราคัดเลือกคนจากทุกระดับชั้น” พวกคนจากหอชั้นเลิศมักคิดว่าตัวเองนั้นอยู่เหนือกว่า คอยดูเถอะ…
ยามค่ำ ณ ร้านขายอาวุธในย่านการค้า
ผู้จัดการร้านจ้องไปที่อาวุธจำนวนสิบกว่าชิ้นที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยแววตาประหลาดใจ “คุณหนูเฮ่อเหลียนเป็นคนสร้างพวกมันทั้งหมดเองเช่นนั้นหรือ”
“อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ และจิบชาในมือของนาง
“สองวัน เพิ่งจะผ่านมาสองวันเท่านั้น” ผู้จัดการร้านต้องตกตะลึงอีกครั้ง เป็นที่ทราบกันดีกว่าไม่มีคนทำอาวุธมือใหม่คนใดสามารถสร้างอาวุธจำนวนมากมายขนาดนี้ในระยะเวลาเพียงสองวันได้ แม้แต่บรรดาเจ้ายุทธ์ในปัจจุบัน ก็ยังไม่มีใครสามารถทำสำเร็จได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ นี่มันช่างท้าทายสวรรค์เกินไปแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบอาวุธหนึ่งในนั้นขึ้นมา และมองรอบๆ มันก่อนจะพูดขึ้นว่า “อาวุธชิ้นนี้ยังไม่ค่อยดีนัก ข้าจะถอดมันออกมา และเริ่มประกอบใหม่อีกครั้งในเวลาเรียนพรุ่งนี้”
“ได้ ได้ ได้เลย ไม่ว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนจะคิดเช่นไร ล้วนเหมาะสมทั้งนั้น” ผู้จัดการร้านไม่สามารถบอกได้เลยจริงๆ ว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างไร เขาแค่รู้สึกว่าการถอดและประกอบอาวุธใหม่นั้นเป็นเรื่องยาก แต่เพียงเพราะนางรู้สึกว่าอาวุธชิ้นนั้นมีความผิดพลาดบางอย่าง จึงต้องการจะรื้อมันออก ราวกับอาวุธที่อยู่ในมือของนางเป็นเพียงของเล่นเท่านั้น หากเหล่าลูกศิษย์ของอาจารย์คนอื่นๆ รู้เรื่องนี้เข้า จะไม่ให้พวกเขาร้องไห้จนตายได้อย่างไรกันเล่า
“เอาล่ะ ทำไมเจ้าไม่ไปขายของที่หน้าร้านเล่า อย่ามารบกวนเวลาระหว่างข้ากับลูกศิษย์ของข้าเลย” ปรมาจารย์เป่าเคราสีขาวของตนเอง แล้วยื่นแขนผลักผู้จัดการออกไป ปกติแล้ว เขาจะเป็นคนที่สง่าผ่าเผยเวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่น “หลังจากการคัดเลือกชายาเสร็จสิ้นแล้ว พวกเจ้าก็กลับบ้านไปพักได้สักสองสามวัน ข้ากังวลว่าหลังจากที่เจ้ากลับบ้านไป ผู้อาวุโสคนนั้นและพวกเด็กๆ จากตระกูลเฮ่อเหลียนนั่นจะรังแกเจ้าอย่างไร้ยางอายอีกครั้ง ศิษย์เอ๋ย ฟังอาจารย์คนนี้ไว้เถิด หากพวกเขายังกล้าที่จะรังแกเจ้า ก็มาหาข้า ข้าจะปกป้องเจ้าอย่างแน่นอน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเบาๆ “ท่านอาจารย์ไม่เชื่อว่าข้าจะดูแลตัวเองได้เช่นนั้นหรือ”
“อาจารย์เพียงแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น” เขาหมุนตัวไปทางเก้าอี้ และนั่งลงอย่างมั่นคง “เจ้ามีพลังปราณต่ำแล้วจะทำไมกันเล่า แม้ว่าจะมีพลังปราณต่ำ แต่ก็ยังสามารถสร้างอาวุธได้ คนที่ชอบบ่นว่าองุ่นเปรี้ยว ก็เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถกินองุ่นได้ พวกเขายังพูดอีกว่าข้าจะต้องไม่ดูแลเจ้า และจะต้องขับไล่เจ้าออกไปอีกด้วย เหอะ ช่างน่าขำยิ่งนัก พวกเขาไม่ใช่ข้า ศิษย์เอ๋ย วางใจได้ ถึงแม้เจ้าจะไม่มีพลังปราณเลย หรือถูกผู้คนปฏิเสธ และไม่สามารถสร้างอาวุธได้ อาจารย์คนนี้ก็จะไม่ขับไล่เจ้าไปไหน และยังสามารถเลี้ยงดูเจ้าได้ ทั้งยังจะมอบเศษเหล็กให้กับเจ้าต่อไปด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรับรู้ได้ว่าชายชราคนนี้ชื่นชอบนางมากจริงๆ และนั่นก็ทำให้นางมุ่งมั่นที่จะฝึกฝนพลังของตัวเองให้มากขึ้นอีกด้วย
จากการที่เป็นผู้นำมาหลายปี แน่นอนว่านางรู้ดีว่าทั้งซูเจียเฉิงและเฮ่อเหลียนกวงเย่าที่ดำรงตำแหน่งอย่างในทุกวันนี้ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด
หากไม่ใช่เพราะมีความคิดที่รอบคอบและวิธีการอันโหดเหี้ยมแล้ว พวกเขาก็คงไม่สามารถแบ่งอำนาจและอิทธิพลของตระกูลเฮ่อเหลียนได้ง่ายดายราวกับผ่าแตงโมเช่นนี้ และชื่อเสียงของท่านแม่ก็คงไม่ถูกใส่ร้ายอย่างเหลือทนเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน
การที่นางจะทำให้พวกเขาสั่นคลอนได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องเลือกระหว่างการแก้แค้นโดยใช้กระบี่ฆ่าพวกเขาให้ตายอย่างรวดเร็ว นางอยากจะเลือกวิธีที่ทำให้พวกเขาค่อยๆ รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ตระกูลถูกทำลายและหายนะต่างๆ รวมถึงทำให้พวกเขาลิ้มรสชาติของการตกนรกในขุมที่ต่ำที่สุดเสียมากกว่า
แต่เมื่อครู่นี้ นางเพิ่งได้ยินคำว่าอะไรนะ
“การคัดเลือกชายาหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเรียวบางของตน “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าเช่นนั้นหรือ” ในฐานะที่นางเป็นคนไร้ค่า นางจึงไม่คิดว่าตนเองจะมีคุณสมบัติอะไรในการไปคัดเลือกเป็นชายา เอ่อ นางขอเป็นแค่สาวสวยที่อยู่เงียบๆ ไม่ได้หรือ
ปรมาจารย์เงยหน้ามองหลังคาอย่างรู้สึกผิด “อาจารย์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพวกนั้นมีชื่อของเจ้าได้อย่างไร แต่ข้าคิดว่าในเมื่อได้รับเลือกแล้ว เจ้าก็ไปลองดูสักหน่อยเถิด องค์ชายสามคนนั้นไม่ได้หน้าตาเลวร้ายอะไรเลย”
“มีวิธีใดที่ข้าไม่ต้องไปได้หรือไม่” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ฉีกหน้าชายชรา นางเพียงแค่วางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบา นางยังต้องทำการค้าอยู่ และพูดตามตรงแล้ว นางไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกชายา นอกจากนี้ นางเพิ่งถูกยกเลิกงานแต่งงานมา ดังนั้น นางจึงกลายเป็นสินค้ามือสองไปแล้ว แล้วพวกราชวงศ์เหล่านั้นจะไม่รังเกียจคนเช่นนางหรืออย่างไรกัน
ปรมาจารย์กระแอมไอเล็กน้อย “ไม่มีทางเลือกอื่น แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ศิษย์เอ๋ย ไอ้หนุ่มตัวเหม็นคนนั้นไม่เคยชื่นชอบผู้หญิงคนใดเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นคนหัวสูงอย่างมากอีกด้วย แม้ว่าเจ้าจะไปร่วมงานคัดเลือก เจ้าก็จะไม่ถูกเลือกอยู่ดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดก็คิดเช่นนั้น ตอนนี้ ผิวของนางขาวกว่าถ่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากสภาพของนางเป็นเช่นนี้ แล้วองค์ชายสามยังเลือกนางอีก นางก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องก้มหัวยอมรับในรสนิยมอันแปลกประหลาดของชายคนนั้น
เดี๋ยวก่อน
หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าไอ้หนุ่มตัวเหม็นคนนั้นไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนมาก่อน
หรือว่าองค์ชายสาม ที่มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนโลกทั้งใบได้คนนั้นจะมีรสนิยมแบบชายรักชายเช่นนั้นหรือ
เอ่อ ดูเหมือนว่านางเพิ่งจะค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
“อย่างไรก็ตาม มันเป็นแค่การไปร่วมงานคัดเลือกเท่านั้น มีหญิงสาวที่ยอดเยี่ยมสมัครกันเข้าไปมากมาย…”
ท่านปรมาจารย์ยังคงคิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมลูกศิษย์ของตนเอง แต่แล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยิ้มออกมา “ท่านอาจารย์ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าจะไปเจ้าค่ะ” อย่างมากที่สุด หลังจากที่นางไปถึง ก็แค่นั่งหลับอยู่ที่นั่น หรือกินขนมเค้กและขนมอบสักสองสามชิ้นเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร ก็เหมือนอย่างที่อาจารย์บอกเอาไว้ว่ามีหญิงงามหลายคนที่สมัครเข้ารับการคัดเลือก นางอยู่ที่นั่นก็เพียงแค่เพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมเท่านั้น…
วันรุ่งขึ้น สายลมพัดผ่านท้องฟ้าอันสดใสและกว้างใหญ่อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน
นอกจากหอสามัญที่อยู่สุดขอบทิศตะวันตกแล้ว หออื่นๆ ก็ดูจะมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ
แม้แต่อาจารย์ทุกคนก็ยังไปพบเจ้าสำนัก และยุ่งเกินกว่าที่จะดูแลพวกเขาได้
ทุกคนคงจะสงสัยว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นหรือเปล่า
ภายในห้องโถง บรรดาศิษย์ที่อยู่โต๊ะด้านหน้าไปจนถึงด้านหลังต่างก็รวมตัวเพื่อพูดคุยกัน สีหน้าของพวกเขาดูตื่นเต้นและกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมมาก
“นี่ พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ดูเหมือนว่าองค์ชายสามกำลังจะเสด็จมาเร็วๆ นี้”
“เจ้าแน่ใจหรือ ไม่ใช่เรื่องโกหกใช่หรือไม่ องค์ชายสามไม่เคยออกจากวังปีศาจเลยสักครั้งไม่ใช่หรือ”
“ข่าวนี้มาจากหอชั้นเลิศ จะต้องไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน”
“ถึงองค์ชายสามจะมาแล้วทำไมกันเล่า เขาก็ต้องไปยังหอชั้นเลิศอยู่แล้ว เฮ้อ”
ใครบางคนมีสีหน้าผิดหวังและถอนหายใจยาว พวกเขาดูเหม่อลอย ในขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างราวกับตกอยู่ในภวังค์
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าใครจะมาหรือไม่มา นางก็ยังคงเอนตัวอยู่บนโต๊ะเตี้ยตัวเดิม และนอนหลับเหมือนกับทุกครั้ง
ภายในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งนี้ มีเพียงเฮ่อเหลียนเวยเวยคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสภาพมือห้อยลงมาครึ่งหนึ่ง ราวกับว่ารอบตัวนางนั้นไม่มีใคร ในขณะที่หญิงสาวกำลังนอนหลับ ความโกลาหลรอบข้างกลับขยายตัวขึ้น ขัดแย้งกับท่วงท่าที่ดูสบายและงดงามของนาง
“พวกเจ้าดูสิ นางหลับอีกแล้ว”
บทสนทนาและการแสดงความคิดเห็นของพวกเขาทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไป
เด็กสาวคนนั้นลดเสียงลง “ดูเหมือนว่านางจะไม่ทำอะไรเลย นอกจากนอนหลับตั้งแต่เช้าจรดค่ำ”
“แล้วนางจะทำอะไรได้เล่า อย่าลืมว่านางไม่มีพลังปราณเลยแม้แต่นิดเดียว”
“ไม่มีพลังปราณแล้วยังขี้เกียจอีกด้วย…” คนบางคนรู้สึกไม่ชอบใจและส่ายศีรษะ “เมื่อถึงเวลานั้น นางจะต้องสอบไม่ผ่านอย่างแน่นอน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยปล่อยให้คำพูดตำหนิเหล่านั้นดังขึ้นไปทั่วทุกทิศทางราวกับกระแสน้ำ นางยังคงนอนหลับอย่างเกียจคร้านเหมือนกับก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม หยวนหมิงกลับหัวเราะขึ้น “แม่นาง เจ้าได้ยินหรือไม่ หากเจ้ายังหลับอยู่แบบนี้ ก็ระวังจะสอบตกซะล่ะ”
“หนวกหูชะมัด” เฮ่อเหลียนเวยเวยหลับตาทั้งสองข้างลง สีหน้าของนางดูไร้อารมณ์ขณะพูดกับเขาว่า “หากถึงเวลาเที่ยงแล้ว ก็ปลุกข้าอีกทีแล้วกัน”
บางทีอาจจะเป็นเพราะนางมีอาการงัวเงียอยู่บ้าง เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงลืมเก็บเสียงของตนเองไปชั่วขณะ ถ้อยคำเหล่านั้นลอยเข้าหูของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย…