“ฝ่า ฝ่าบาท ข้ารับใช้ผู้นี้ไม่ใช่คนที่พูดคำนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่กำลังรายงานให้ทรงทราบเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของตนเอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ ดึงแขนเสื้อขึ้น พร้อมกับนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่นั่นกลับทำให้ผู้คนประทับใจกับความมีสง่าราศีของเขา “ทั้งสองคนนั่นช่างเหมือนกันจริงๆ”
“พ่ะย่ะค่ะ…” เงาทมิฬก้มศีรษะลงขณะตอบรับ เขาไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรจริงๆ ก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนนั้นก็ไม่ได้พูดจากันมากนัก แต่พอพูดถึงฝ่าบาท พวกเขาก็แสดงท่าทีราวกับเจอคนที่พูดจาประสาเดียวกันก็ไม่ปาน ท่านกับใต้เท้าห้วนมีความเกลียดชังอะไรกัน ถึงทำให้เขาใส่ร้ายท่านเช่นนี้
“จับตาดูต่อไป หากมีอะไร ก็มารายงานข้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเชิดหน้าด้านข้างขึ้นอย่างสง่างามราวกับแมวเปอร์เซียที่หายาก ท่าทางของเขานั้นช่างดูสูงส่งอย่างเห็นได้ชัด
เงาทมิฬลดสายตาลง เดิมทีเขามองออกไปด้านนอกและก้าวขาออกไปแล้วสองสามก้าว แต่เขากลับหมุนตัวและเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง เขาพยายามอดทนแล้ว อดทนอีก แต่สุดท้าย เขาก็ไม่อาจทนไหวอีกต่อไป จนต้องเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ปีนั้นที่รัฐบุรุษอาวุโสห้วนชวนท่านเข้าร่วมหน่วยพิฆาตวิญญาณ เหตุใดฝ่าบาทถึงปฏิเสธผู้อาวุโสไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอ้าปากหาวอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพราะถ้าหากข้าตอบตกลง ข้าก็จะต้องตื่นเช้าน่ะสิ”
เพราะถ้าหากเขาตอบตกลง ก็จะต้องตื่นเช้าน่ะสิ…
เพราะถ้าหากเขาตอบตกลง ก็จะต้องตื่นเช้าเช่นนั้นหรือ?
เพราะถ้าหากเขาตอบตกลง ก็จะต้องตื่นเช้าเช่นนั้นหรือนี่!!
ด้วยเหตุผลเช่นนี้ ฝ่าบาทจึงทำให้ห้วนหมิงเสียง รัฐบุรุษอาวุโสที่รับใช้ฮ่องเต้มาสามสมัยต้องขุ่นเคืองใจ
ใบหน้าของเงาทมิฬแข็งทื่อ หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่หยดลงมา
เงาทมิฬคนอื่นๆ ที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดต่างก็มองหน้ากันอย่างสับสน พวกเขาเองก็พูดไม่ออก…
ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ทรงกระทำการทุกอย่างอย่างเหนือความคาดหมายจริงๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้มากนัก เขาปิดตำราที่อยู่ในมือ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ตัวนั้น “ถึงเวลาแล้ว ออกไปสำนักศึกษาเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อพูดถึงประเด็นหลักที่สำคัญ เงาทมิฬทุกคนต่างก็มีสีหน้าจริงจัง ก่อนจะกระจายไปซ่อนตัวอยู่ตามจุดต่างๆ ของสถานศึกษา ราวกับเป็นภูตผีก็ไม่ปาน
ณ เชิงเขา รถม้ารูปทรงหงส์สีทองม่วงนั้นกำลังจอดอยู่ใต้ร่มเงาไม้ ความงดงามและความหรูหราของมันโดดเด่นเสียจนบดบังสิ่งอื่นๆ
รถม้าคันนี้มีขนาดใหญ่มากจนน่าประหลาดใจ และมีพู่ลอยอยู่ด้านนอก
เงาทมิฬแปดคนในชุดสีเข้มยืนอยู่ด้านข้าง ในมือถือดาบสันโค้ง และสวมผ้าคลุมขนสัตว์ พวกเขาดูเยือกเย็นและเคร่งขรึมอย่างอธิบายไม่ถูก
ข้ารับใช้ของรถม้าคันนี้แต่งกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาดูแตกต่างจากคนของราชสำนักทั่วไป แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนสำคัญที่ใครๆ จะรู้จักได้
อย่างไรก็ตาม ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขากลับแสดงให้เห็นถึงความเข้มงวดที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถทำได้
ลักษณะอันน่าเกรงขามเหล่านั้นมีเพียงคนของราชวงศ์เท่านั้นที่จะทำได้
ทันใดนั้นเอง ม้าตัวหนึ่งก็ส่งเสียงร้องออกมา แล้วทุกคนก็ยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลงมาจากภูเขาอย่างสบายอารมณ์ มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปในกระเป๋าอย่างเกียจคร้าน ส่วนมืออีกข้างก็กำลังใช้ปลายนิ้วหมุนควงหน้ากากสีเงินอยู่ ใบหน้าด้านข้างของเขานั้นดูหล่อเหลาราวกับแกะสลักด้วยใบมีด มันเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และล้ำค่าจนไม่อาจอธิบายได้ เขาดูเกลี้ยงเกลาและดูประณีตราวกับผลึกแก้ว รูปลักษณ์ของเขานั้นไม่มีใครสามารถเทียบได้
เสียงหวดดังขึ้น
เหล่าเงาทมิฬที่ยืนอารักขาอยู่ในชุดสีเข้มต่างก็คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง ฉากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นปลุกเร้าจิตวิญญาณได้อย่างไม่อาจหาคำใดมาบรรยายได้ “ฝ่าบาท”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองผู้คนเหล่านั้นด้วยสายตาเยือกเย็น พร้อมกับยกมือขึ้น แล้วสวมหน้ากากเงินลงบนใบหน้าของตน ก่อนจะพูดขึ้นมาเพียง “ไปสำนักศึกษา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงหวดดังขึ้นอีกครั้ง และผู้อารักขาเงาทมิฬในชุดสีเข้มก็กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม มือของพวกเขาถือดาบสันโค้ง ก่อนจะขึ้นขี่ม้าจากด้านข้าง แล้วควบมันไปท่ามกลางใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้น
ในช่วงพลบค่ำ แสงไฟเริ่มถูกเปิดขึ้น ทำให้เห็นบรรยากาศในยามค่ำคืน ดูเหมือนว่าความรุ่งเรืองเช่นนี้จะมีเฉพาะในสำนักไท่ไป๋เท่านั้น
เพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ ผู้อาวุโสจากหอชั้นเลิศได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
สาวใช้ทั้งหลายต่างเดินไปมาท่ามกลางพวกเขา มือของพวกเขาถือจานผลไม้ และต่างก็จัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยและดูมีระเบียบด้วยความรีบร้อน
กระโปรงของหญิงสาวทั้งหลายจากตระกูลขุนนางต่างก็กำลังพลิ้วไหว รูปร่างของพวกนางนั้นราวกับต้นหลิว และคิ้วของพวกนางก็ช่างงดงามราวกับภาพวาด พวกนางอยู่ในลานกระเบื้องสีเขียว ที่ล้อมรอบไปด้วยผนังสีแดง แต่ละคนดูราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน
ท่านกลางหญิงสาวเหล่านั้น มีเพียงเฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้นที่ไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องมาเลย นางสวมเพียงชุดคลุมสีดำทับบนเสื้อสีขาว ซึ่งเป็นชุดเครื่องแบบตามที่สำนักศึกษากำหนด มีเพียงหมวกนักปราชญ์เท่านั้นที่นางไม่ได้ใส่มา หญิงสาวถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในมือ และยังหาวอยู่บ่อยครั้งอีกด้วย
หญิงสาวคนอื่นๆ นั้นแตกต่างจากเฮ่อเหลียนเวยเวย หัวใจของพวกนางเต้นระรัว พร้อมกับกำผ้าเช็ดหน้าของตนเองแน่น และมีสีหน้าที่ดูเขินอาย ดวงตาที่กำลังสั่นไหวนั้นเปล่งประกายออกมาอย่างอดทนรอแทบไม่ไหว
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าผู้ที่กำลังจะเสด็จมาในอีกไม่ช้านั้นคือองค์ชายสาม ผู้ชายที่หญิงสาวจำนวนมากต่างใฝ่ฝันถึง
และวันนี้ ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้แอบเตรียมการมาอย่างสุดความสามารถ
แม้ว่าจะไม่สามารถเห็นได้จากภายนอก แต่ภายใต้โฉมหน้านั้น ก็มีคลื่นพลังงานบางอย่างกำลังก่อตัวอยู่อย่างลับๆ
จริงๆ แล้ว งานเลี้ยงเช่นนี้ช่วยเปิดโอกาสให้พวกเขาสร้างความสัมพันธ์กัน
คนที่ฉลาดก็จะทักทาย และพูดคุยกันอย่างแผ่วเบา พร้อมกับยิ้มแย้มให้กัน
หญิงสาวจากตระกูลขุนนางชั้นสูงจำนวนมากต่างก็ยืนล้อมรอบเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ และถามไถ่นางถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสคนนั้นเคยบอก น้ำเสียงอันไพเราะและชัดเจนของนางนั้นน่าฟังอย่างมาก
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เม้มริมฝีปากของตนเองและคลายยิ้มออกมา ราวกับว่านางเป็นพระจันทร์ที่อยู่ท่ามกลางหมู่ดาว นางอารมณ์ดีอย่างมาก จนกระทั่งสังเกตเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ตรงมุม แล้วดวงตาของนางก็จ้องเขม็งขึ้นทันที
ทำไมนังแพศยานั่นถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย
ผู้คนจากหอสามัญไม่ควรมีคุณสมบัติใดๆ ในการเข้าร่วมการคัดเลือกพระชายา ยิ่งไปกว่านั้น นางยังให้ท่านตาของนางจัดการเรื่องนี้ไปล่วงหน้าแล้ว และตอนนี้ ชื่อของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็น่าจะถูกตัดออกจากรายชื่อของขันทีซุนไปแล้วไม่ใช่หรือ
แล้วนางมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไรกัน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำผ้าเช็ดหน้าในมือของตนเอง ใบหน้าเล็กๆ ที่ดูบอบบางของนางเผยให้เห็นถึงความเย็นชา
เมื่อทุกคนสังเกตเห็นว่านางหยุดชะงักไป จึงหันไปมองตามทิศทางที่นางกำลังมองอยู่
“เอ่อ นั่นไม่ใช่บุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนที่คอยไล่ตามมู่หรงซื่อจื่อเมื่อสองสามวันก่อนหรอกหรือ การได้ยินเรื่องอะไรมาสักร้อยครั้ง ก็ไม่เท่ากับการเห็นด้วยตาตัวเอง นางเป็นคนที่มีส่วนร่วมกับทุกเรื่องจริงๆ” เด็กสาวที่กำลังพูดนี้ก็เป็นศิษย์จากหอชั้นเลิศเช่นกัน นางคือฟางถิงถิงบุตรสาวของรองเสนาบดีกรมคลัง และเป็นเพื่อนสนิทของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ นางดูอ่อนโยนและนุ่มนวล แต่คำพูดของนางกลับเต็มไปด้วยการประชดกระชัน เนื่องจากตระกูลของนางมีอิทธิพล ทำให้ก่อนหน้านี้ นางก็เคยรังแกเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่หลายครั้งเลยทีเดียว เพราะอย่างไรเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ฟางถิงถิงจึงอาศัยจุดนี้ และหัวเราะเยาะเย้ยอีกฝ่าย “คนบางคนควรจะเจียมตัวเองบ้างว่างานใดที่ตนเองควรเข้าร่วม หรือควรหลีกเลี่ยง แต่คนประเภทนี้ไม่รู้จักวิธีพิจารณาตัวเองด้วยซ้ำ”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของตนเองขึ้น ฟันขาวของนางขบริมฝีปากขณะที่พูดขึ้นอย่างเขินอาย “พี่ฟาง อย่าพูดเช่นนั้นเลย”
“พี่รอง อย่าห้ามพี่ฟางเลย คนบางคนก็สมควรถูกทุบตี” เฮ่อเหลียนเมยกัดฟันขณะที่พูด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนังแพศยานั่น ที่ทำให้หน้าผากของนางเป็นแผลเป็นหลังจากที่ถูกกระแทก นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องปล่อยผมลงมา และหวีผมของตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำ เดิมทีแล้ว วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้นำเสนอตัวเอง เพราะนอกจากองค์ชายสามจะปรากฏตัวแล้ว ยังมีคุณชายท่านอื่นๆ จากตระกูลขุนนางสูงศักดิ์มาร่วมงานด้วย นางรู้สึกชื่นชอบคุณชายเลี่ยจากข่าวลือมานานแล้ว จนนางต้องรีบสั่งตัดชุดกระโปรงยาวสีฟ้าน้ำทะล เพียงเพื่อให้ตัวเองมีชุดที่หรูหราและงดงามไว้สวมใส่ในงานวันนี้
แต่ทั้งหมดนี้กลับถูกนังแพศยาคนนั้นทำลายไปหมดสิ้น
ฟางถิงถิงตบมือของตนเองและกวาดสายตามองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความรังเกียจ ราวกับอีกฝ่ายเป็นขยะโสโครก “ได้ ไม่พูดก็ไม่พูด แต่ข้าก็ไม่ควรลดตัวลงไปอยู่ในระดับเดียวกับนังแพศยาที่เคยถูกปฏิเสธมาก่อน”
“ฟังถิงถิงพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก หญิงสาวที่เคยถูกยกเลิกงานแต่งงานมาแล้ว ไม่น่าจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการคัดเลือกพระชายาไม่ใช่หรือ”
เหล่าคุณหนูคนอื่นๆ จากตระกูลขุนนางชั้นสูงเองต่างก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย ก่อนจะลุกขึ้นยืน “จริงๆ แล้ว นางไปประจบประแจงท่านปรมาจารย์ หากนางพูดจาดีๆ กับท่านปรมาจารย์สักสองสามคำเพื่อขอให้เขาช่วยเหลือนาง เขาก็จะทำทุกอย่างให้แล้วมิใช่หรือ”
“อืม เจ้าพูดถูก เหอะๆ แต่ผู้หญิงแบบนี้ ข้าคิดว่าองค์ชายสามคงไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นตามมาครั้งแล้วครั้งเล่า
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา พร้อมกับซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ ดวงตาคู่สวยของนางมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย และรอดูอีกฝ่ายทำเรื่องโง่เขลา…