ขันที่ซุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ก็จับตาดูเหตุการณ์นี้อยู่ แล้วคิดเพียงว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไรดี และทันใดนั้น เขาก็พูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย “ก่อนที่ข้าจะออกจากวังมา อดีตฮ่องเต้ได้ตรัสว่าให้ข้าสนใจที่ความสามารถของเหล่าหญิงสาวทั้งหลาย การทะเลาะหรือการต่อสู้ฆ่ากันนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย อย่างไรก็ตาม ข้าได้ปรึกษากับอาจารย์จิ้งแล้ว ว่าทุกๆ ปี สำนักไท่ไป๋จะอนุญาตให้ศิษย์ใหม่เข้าไปในป่าวิญญาณเพื่อทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้ เพราะฉะนั้น ปีนี้ พวกเราดำเนินการให้เร็วขึ้นดีหรือไม่ และจะได้กราบทูลผลให้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบได้ด้วย”
ผู้คนในจักรวรรดิจ้านหลงทุกคนต่างก็รู้ดีว่าอดีตฮ่องเต้นั้นรักองค์ชายสามมากที่สุด และหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาก็โน้มน้าวให้องค์ชายสามเลือกพระชายามาตลอด
หากไม่ใช่เพราะองค์ชายสามปฏิเสธหญิงงามทั้งหมด เขาก็คงไม่ต้องอยู่เป็นโสดจนอายุเท่านี้
แต่ในที่สุด ตอนนี้องค์ชายสามก็ยอมตกลงเลือกพระชายาแล้ว คนที่มีความสุขที่สุดก็คงจะต้องเป็นอดีตฮ่องเต้ ดังนั้น แน่นอนว่าผู้ที่จะมาเป็นพระชายาได้ ก็จะต้องมีคุณสมบัติมากมายทีเดียว
เมื่อทุกคนได้ยินเกี่ยวกับการทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ก็สะดุ้งเล็กน้อย
แม้ว่าหญิงสาวส่วนใหญ่จะเป็นศิษย์จากหอชั้นเลิศ แต่ความสามารถของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป บางคนไม่สามารถทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ เว้นแต่จะต้องบรรลุจิตวิญญาณในระดับหนึ่งแล้ว
“ดูเหมือนว่าอดีตฮ่องเต้จะรู้ว่ามีอัจริยะเจียวเอ๋อร์อยู่ในสำนักไท่ไป๋ด้วย เขาจึงตั้งใจเพิ่มเงื่อนไขนี้ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเขาเจาะจงให้พระชายาเป็นพี่เจียวเอ๋อร์เท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หยิกแก้มคนที่พูดประโยคนั้นอย่างเขินอาย “เจ้าล้อข้าเล่นแล้ว”
“ข้าจะล้อท่านเล่นได้อย่างไรกันเล่า ดูองค์ชายสามสิ ตั้งแต่ที่เสด็จเข้ามาจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่ได้หันไปมองใครเลย นอกจากมองมาทางพวกเรา หากเขาไม่มองท่าน แล้วเขากำลังมองไปที่นังผู้หญิงไร้ค่าผิวคล้ำคนนั้นหรืออย่างไรกันเล่า จริงหรือไม่” คนๆ นั้นหัวเราะเยาะเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังเอนตัวท่อนบนของตนเองอยู่บนโต๊ะไม้ “นางนอนหลับตลอดทั้งวัน แล้วดูของบนโต๊ะนั่นสิ นางกินอาหารจนเกลี้ยงเลย ข้าไม่เคยเห็นคนที่ไม่รู้จักวิธีการเข้าสังคมแบบนี้เลยจริงๆ พี่เจียวเอ๋อร์ น้องเหมย พวกเจ้าทั้งสองทนอยู่ร่วมกับคนแบบนั้นในคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ได้อย่างไรกัน”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ถอนหายใจยาวอย่างผิดหวังและเห็นอกเห็นใจ “อย่าพูดเช่นนั้นเลย พี่ใหญ่ไม่ค่อยมีความสามารถอะไรมากนัก นางจะต้องรู้สึกต่ำต้อยในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้นางทำตัวเช่นนี้”
“พี่เจียวเอ๋อร์ใจดีเกินไปแล้ว แถมยังหน้าตางดงามอีกด้วย ไม่แปลกใจเลยที่องค์ชายสามไม่มองคนอื่นเลยนอกจากท่าน”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนจะพูดว่า “เหลวไหล” ลึกๆ แล้ว นางรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก และมองชายหนุ่มผู้สูงส่งที่อยู่ห่างไกลคนนั้นอย่างเขินอาย เมื่อนางสบตากับเขา แก้มของนางก็ร้อนผ่าว
จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ละสายตาออกจากหญิงสาวที่กำลังหลับใหลอยู่เลย และยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ สายตาของเขาก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ
หากเจ้ามีสัตว์เลี้ยง เจ้าก็ต้องลงโทษมันบ้าง เพราะหากมันสุขสบายไป มันก็อาจจะไม่รู้จักว่าใครคือเจ้าของของมัน
แน่นอนว่านักล่าที่ดีจะต้องรู้วิธีควบคุมสัตว์เลี้ยงที่ไม่เชื่อฟัง ตราบใดที่เขาดึงหนามแหลมของนางออกไปได้ นางก็ถึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุข!
เด็กชายหัวโล้นตัวน้อยกำลังกินซาลาเปาไส้เนื้ออยู่เต็มปาก พร้อมกับมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังหลับใหล สลับกับมองรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันช่างสูงส่งและบริสุทธิ์ราวกับเทพเจ้านั้นมีอยู่จริง ดวงตาคู่กลมและดูน่ารักของเด็กชายหยุดนิ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองทางเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็เอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเย็นชาว่า “มีเหตุผล”
อะไรหรือ อะไรกันที่มีเหตุผล?
ขันทีซุนที่กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถในการประคองซาลาเปาไส้เนื้อให้กับองค์ชายเล็กนั้นกระตุกมุมปาก อย่าเป็นอย่างที่เขาคิดเลย
“เฮ่อเหลียนเวยเวย ข้าเคยเห็นนางไปที่ย่านการค้า” เด็กชายหัวโล้นกัดซาลาเปาคำใหญ่โดยไม่เงยหน้าขึ้น “นางหาเงินได้เยอะ และยังดูแลพี่สามได้อีกด้วย พี่สามมีคนเลี้ยงดูแล้ว”
อะไรนะ ใครเป็นคนเลี้ยงดูกัน!
ขันทีซุนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
องค์ชายเล็ก ถึงฝ่าบาทจะเป็นน้องชายโดยสายเลือดขององค์ชายสาม แต่ฝ่าบาทก็พูดเช่นนั้นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ
ฝ่าบาทน่าจะต้องรู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่นายท่านควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เขาก็จะไม่สนใจผู้ใด แม้ว่าจะเป็นญาติสนิทกันก็ตาม
“ข้าแค่ไม่รู้ว่านางทำอาหารได้หรือไม่” เด็กชายหัวโล้นตัวน้อยรู้สึกไม่แน่ใจพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างจริงจัง “พี่สาม ข้าคิดว่าท่านควรจะพิจารณาให้รอบคอบก่อน ท่านควรจะหาคนที่ทำอาหารได้ด้วยจะดีกว่า”
ดีกว่าอย่างไรกัน ขันทีซุนถอนหายใจ ‘เฮ้อ’ สองครั้ง นี่เป็นการคัดเลือกพระชายา ไม่ใช่แม่ครัว ให้ตายเถอะ!
ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ประเด็นสำคัญคือทำไมนายท่านของเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เลย
ขันทีซุนหันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง และเห็นเพียงริมฝีปากของเขาที่โค้งขึ้น
ราวกับเห็นของเล่นที่น่าสนใจ เขาดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์จนทำให้หญิงสาวทุกคนต่างหลงใหล
ขันทีซุนยังจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ฝ่าบาทมีรอยยิ้มเช่นนี้ ก็ตอนที่เขาอายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น
ที่เขาเฟิ่งหวง ฝ่าบาทจับกิเลนอัคคีได้ด้วยมือเปล่า และเปลี่ยนกิเลนอัคคีตัวนั้นให้กลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่กินแต่พืชผักเท่านั้น
กิเลนอัคคี
การที่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ก็เท่ากับว่ามันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีความสุข
เพียงแค่มันกระทืบเท้า เมืองทั้งเมืองก็สั่นสะเทือนและอาจจะพังทลายได้เลยทีเดียว
แต่ไหนแต่ไรมันไม่เคยเชื่อฟังคำสั่งของใคร และถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ดุร้ายที่สุดในยุคโบราณเลยก็ว่าได้
แต่น่าแปลกนักที่มันยอมลดระดับลงมากลายเป็นสัตว์มังสวิรัติที่กินแต่พืชผักได้
ไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการได้ว่าในตอนนั้น นายท่านของเขา… แค่ก แค่ก เป็นคนไม่ปกติเพียงใด
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กิเลนอัคคีก็หายตัวไป
เมื่อลองคำนวณวันเวลาอย่างรอบคอบดูแล้ว เขาก็ไม่ได้เห็นเทพเจ้าแห่งภัยพิบัติตัวนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาทได้เผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายเหมือนกับในตอนนั้นไม่มีผิด
ขันทีซุนตัวสั่นอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนี้ เขาต้องห้ามไม่ให้นายท่านของเขาทำอะไร เพราะบรรดาหญิงสาวจากตระกูลขุนนางผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ต่างก็มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกพระชายา ไม่ใช่มาเพื่อเป็นแมวหรือลูกหมา เฮ้อ
เดี๋ยวก่อนนะ
ทันใดนั้น ขันทีซุนก็เห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน แล้วหนังตาของเขาก็กระตุกอย่างไม่ตั้งใจ
นายท่าน นายท่านคิดจะไปที่ไหนกัน
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุกขึ้นยืน เสียงทั้งหมดในงานเลี้ยงอาหารค่ำแห่งนี้ก็เงียบลง
เหล่าหญิงสาวที่กำลังกินขนมอยู่นั้น ต่างก็ค่อยๆ หยุดมือ รวมถึงกลั้นหายใจ มองดูชายหนุ่มผู้บริสุทธิ์ หน้าตาหล่อเหล่า และมีรูปร่างสง่าผ่าเผยเดินผ่านพวกนางไป กลิ่นหอมจางๆ ฟุ้งกระจายไปทั่ว มันเป็นกลิ่นไม้จันทน์ที่สดชื่นและหรูหรามีระดับ มันหอมมากเสียจนทำให้ผู้คนไม่อยากให้มันต้องหายไป
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใกล้ตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว จนแทบจะกระเด็นออกมาจากลำคอ
นางแสร้งทำเป็นมองไปทางซ้ายและขวาอย่างสงวนท่าที ก่อนจะกัดริมฝีปากบางของตนเอง ดวงตาคู่สวยของนางเปล่งประกายอย่างน่าเอ็นดูขณะที่มองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
นางรู้เสมอว่าเมื่อใดควรจะแสดงท่าทางแบบไหนขณะที่มองชายหนุ่ม เพื่อจะยั่วเย้าให้เขาปรารถนาจะเข้ามาปกป้องนาง
ก่อนหน้านี้ นางเคยใช้วิธีนี้หลอกล่อให้มู่หรงฉางเฟิงเข้าใจผิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นเพียงนังแพศยาชั้นต่ำได้มาแล้ว
ตอนนี้ นางมั่นใจว่าตนเองจะสามารถทำให้องค์ชายสามหลงรักนางจนกลายเป็นยอดดวงใจของเขาได้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ทำสำเร็จมาแล้วครึ่งทางใช่ไหมเล่า
อย่างที่ใครๆ ต่างก็พูดกันว่าตั้งแต่ที่องค์ชายสามเสด็จมาถึง เขาก็มองมาทางนางตลอดเวลา
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายสามไม่ได้เมินเฉยต่อนาง
เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คิดถึงจุดนี้ นางก็ยิ้มออกมาอย่างเขินอายยิ่งกว่าเดิม…