ณ ย่านการค้า ปรมาจารย์ที่อยู่ในร้านขายอาวุธถึงกับผุดลุกขึ้นยืนทันที เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังจิบชาอยู่ แล้วเริ่มเดินวนไปวนมา “ไม่ได้การล่ะ ศิษย์ข้า ไม่ง่ายเลยที่จะซ่อนตัวจากเจ้าเด็กน้ำแข็งนั่น เจ้าถึงกับปฏิเสธเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย ตอนนี้ เขาจะต้องเคียดแค้นเจ้าอยู่แน่”
“ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเป็นห่วง อดีตฮ่องเต้ควบคุมตัวองค์ชายสามเอาไว้แล้ว ข้าเดาว่าไม่ว่าอย่างไรพระองค์ก็คงจะต้องลงโทษองค์ชายเป็นแน่” หลานชายที่ทำตัวไม่เชื่อฟังถึงเพียงนี้ย่อมต้องถูกลงโทษ เฮ่อเหลียนเวยเวยกล่าวขณะที่ลูบเจ้าแมวขาวที่อยู่ในอ้อมแขนไปด้วย ท่าทางของนางดูเกียจคร้านเป็นอย่างยิ่ง
ปรมาจารย์ส่ายหน้า แล้วตอบว่า “นังหนู เจ้าไม่รู้หรอกว่าอดีตฮ่องเต้ตามใจเจ้าเด็กน้ำแข็งนั่นขนาดไหน เจ้าฟังที่อาจารย์พูดให้ดี เราต้องซ่อนตัวจากเขาสักระยะ!”
“เอาเช่นนั้นก็ได้…” เฮ่อเหลียนเวยเวยดูเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรออก ดวงตาของนางหรี่เข้าหากัน “เมื่อครู่เขายังบอกอีกด้วยว่าจะมาจัดการข้า”
ปรมาจารย์พ่นลมใส่เคราสีขาวของตน “ข้าบอกเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับยังไม่ยอมจริงจังกับเรื่องนี้อีก!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวอย่างเกียจคร้าน “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าว่าเขาจะเลือกข้า องค์ชายสามคนนี้คงเบื่อหน่ายกับชีวิตของตนเกินไปกระมัง ก็เลยอยากหาความตื่นเต้นเล็กๆ น้อยๆ จากข้า แล้วก็จะได้ยั่วโมโหอดีตฮ่องเต้ไปพร้อมกันด้วย”
“ใช่ว่าจะเป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว” ปรมาจารย์ถอนหายใจ “อดีตฮ่องเต้ก็อยากให้เขาหาใครสักคนมาคอยอยู่เคียงข้างเหมือนกัน ชีวิตนี้องค์ชายอยู่อย่างโดดเดี่ยวมานานเกินไป”
มือของเฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไป แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร
ปรมาจารย์ดูเหมือนกำลังรำลึกความหลัง เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้นให้เฮ่อเหลียนเวยเวยฟัง รวมทั้งเรื่องที่ว่าองค์ชายสามถูกทรยศได้อย่างไรด้วย
คิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกขึ้น “ท่านอาจารย์ ที่ท่านเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ข้าฟัง ท่านต้องการจะบอกอะไรข้าหรือ”
“ที่ข้าจะบอกก็คือ หากไม่อาจซ่อนตัวจากเขาได้ เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยให้มันเป็นไป แล้วก็แต่งงานกับเขาซะ” ปรมาจารย์เงยหน้าขึ้นมองเพดาน “อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่มีคนที่ชอบมิใช่หรือ หรือว่าแม้แต่ตอนนี้ในใจเจ้าก็ยังมีมู่หรงฉางเฟิงอยู่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยนวดขมับ “ท่านอาจารย์ อย่าเอาคำพูดพวกนั้นมายุยงข้าเลย ข้าบอกท่านไปหลายครั้งแล้วนี่ ข้าไม่สนใจเรื่องการแต่งงานหรอก”
ในที่สุดนางก็ได้สัมผัสกับความรู้สึกของการถูกบังคับให้แต่งงาน
นี่มันช่าง…ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี
แต่อย่างไรนางก็ไม่ใช่เศษผักเหลือๆ ที่วางขายอยู่ในตลาด และพร้อมจะถูกแปะป้ายลดราคาเพื่อให้ขายออก
เอาเถอะ ถึงในสมัยโบราณ อายุอานามของนางในตอนนี้จะถือว่าเป็น ‘สาวแก่’ แล้วก็เถอะ แต่ในยุคสมัยใหม่นางก็ยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่นเท่านั้น เข้าใจหรือเปล่า?!
“ก็ได้ ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้าเด็กน้ำแข็งนั่นจริงๆ เช่นนั้นอันดับแรก เจ้าต้องออกไปจากสำนักไท่ไป๋เสีย” ปรมาจารย์มองนาง ประกายแสงในดวงตาของเขาลึกล้ำยากจะหยั่งถึง “ช่วงสองสามวันนี้ อาจารย์เองก็ต้องลงจากเขาเพื่อไปเตรียมการแข่งขันประลองยุทธ์ครั้งใหญ่ที่จะจัดขึ้นในเร็ววันนี้เหมือนกัน เจ้าที่ตกเป็นจุดสนใจในงานเทศกาลชมดอกไม้เช่นนั้นย่อมดึงดูดความอิจฉาริษยาจากคนทั้งหลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้ากลัวว่าทันทีที่ข้าออกเดินทางไป แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าที่นี่ ข้าคงไม่สามารถกลับมาช่วยเจ้าที่นี่ได้ทันเวลา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูจากเจตนาของเจ้าเด็กน้ำแข็งนั่นแล้ว คืนนี้เขาจะต้องมาตามหาเจ้าแน่ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ข้าเรียกตัวเจ้ามาครั้งนี้ ก็เพื่อสั่งให้เจ้าเดินทางออกจากสำนักไท่ไป๋ไปสักสามวัน เพื่อเข้าร่วมการประลองเจ้ายุทธ์เสีย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นด้วยความสนใจ “การประลองเจ้ายุทธ์หรือ ท่านอาจารย์ ท่านหมายถึงการประลองเจ้ายุทธ์ที่ไม่เพียงแค่แข่งกันเพื่อประกอบสร้างและแยกอาวุธ แต่ยังสามารถนำอาวุธเข้าประมูลได้ด้วยน่ะหรือ”
“ถูกต้อง ข้าหมายถึงการประลองเจ้ายุทธ์งานนั้นนั่นล่ะ” ปรมาจารย์ยิ้ม “ตอนนี้คนพวกนั้นยังดูถูกเหยียดหยามเจ้าได้เช่นนี้ก็เพราะว่าเจ้ายังไม่ใช่เจ้ายุทธ์อย่างแท้จริง มีแต่ต้องได้รับการยอมรับจากที่นั่นเท่านั้น เจ้าถึงจะมีคุณสมบัติของผู้เป็นเจ้ายุทธ์ และได้รับความเคารพจากคนอื่นๆ”
งานประลองเจ้ายุทธ์เป็นงานที่สำคัญอย่างมากสำหรับบรรดาเจ้ายุทธ์ทั้งหลาย การประลองนี้เป็นสถานที่สำหรับแสดงความสามารถของตน ซึ่งจะจัดขึ้นทุกๆ สามปี โดยมีจุดประสงค์เพื่อค้นหาเจ้ายุทธ์รุ่นใหม่เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
ปรมาจารย์ต้องการให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าร่วมการประลองนั้น แต่อย่างที่เขาพูดไป ประการแรกเฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องผ่านการทดสอบเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนให้ได้เสียก่อน ประการที่สอง งานประลองเจ้ายุทธ์เป็นสถานที่ที่เหล่าคนมีพรสวรรค์มารวมตัวกัน มีแค่การได้พบคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเท่านั้นถึงจะสามารถกระตุ้นความอยากเอาชนะของลูกศิษย์เขาขึ้นมาได้
ข้าได้ยินมาว่าปีนี้ คุณชายอู๋ซวงผู้เป็นอันดับสองในใต้หล้าก็จะเข้าร่วมงานประลองเจ้ายุทธ์ด้วยเช่นกัน
เด็กคนนั้นเป็นบุตรชายของเพื่อนเก่าของเขาเอง และเขาก็รู้มาก่อนแล้วว่าเจ้าหนูนั่นสร้างอาวุธได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
หากจะพูดถึงพรสวรรค์ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าระหว่างคู่ต่อสู้เช่นนั้น กับลูกศิษย์ของเขา ฝ่ายไหนกันแน่ที่มีพรสวรรค์มากกว่ากัน
จะว่าไปแล้ว ลูกศิษย์ของเขาคนนี้จะปิดบังตัวตนเก่งเกินไปแล้ว
จนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่ยอมให้เขาบอกใครว่านางมีความชำนาญในด้านการสร้างอาวุธ
บรรดาผู้อาวุธโสที่อยู่ในสำนักไท่ไป๋ต่างก็แสดงความเห็นใจต่อเขาไม่ได้ขาด มีอาจารย์จำนวนไม่น้อยเลยที่ส่งคนมาพบเขาโดยตรง เจ้าพวกนั้นล้วนแต่ดูแคลนลูกศิษย์ของเขา และต้องการให้คนที่ส่งมาเข้าไปแทนที่นาง
ฮึ่ม!
เจ้าพวกนั้นทำเหมือนกับว่าเขาเป็นตาแก่สมองเลอะเลือนที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
ลูกศิษย์ของเขาเป็นคนมีหัวคิด และนางก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้เขาลำบากไปมากกว่านี้
ไม่อย่างนั้นนางคงจะสร้างอาวุธขึ้นสักชิ้น แล้วเอาไปทรมานเจ้าพวกนั้นให้รู้ไปแล้วล่ะว่าใครเป็นใคร
แต่สิ่งเดียวที่ปรมาจารย์กังวลอยู่ในขณะนี้ก็คือ เขากลัวว่าลูกศิษย์ของตนจะรู้สึกว่าการเดินทางไปเข้าร่วมการประลองนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป และปฏิเสธที่จะไป
พอพูดถึงตรงนี้ นิสัยนี้ของนางก็เหมือนกับเจ้าเด็กน้ำแข็งคนนั้นไม่มีผิด!
เขามักจะเห็นภาพลวงตาอยู่บ่อยครั้ง ตอนที่มองลูกศิษย์ผู้เชื่อฟังของตัวเอง บางครั้งบางคราวเขาก็รู้สึกราวกับกำลังมององค์ชายสามผู้สูงส่งและห่างเหินอยู่
แม้แต่ตอนแสดงท่าทางเกียจคร้าน ทั้งสองคนก็ยังไม่สูญเสียความสงบเยือกเย็นของตนไปเลยสักนิด
ทั้งสองดูเหมือนไม่แยแสต่อสิ่งใด แต่กลับกุมฟ้าดินเอาไว้ในกำมือ หากจะให้พูดแล้วล่ะก็ เพียงพลิกฝ่ามือเดียว คนทั้งสองก็สามารถเรียกลมเรียกฝนได้
แต่ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ การที่เจ้าเด็กน้ำแข็งนั่นมืดมนเกินไป!
อย่างไรเสียลูกศิษย์ของเขาก็ยังน่ารักกว่าเป็นไหนๆ!
ขอยืมเอาคำพูดของหนานกงเลี่ยมาใช้เสียหน่อย เห็นว่าผู้อาวุโสพวกนั้นล้วนถูก ‘อาเจวี๋ย’ กดขี่ข่มเหงทำให้กลัวจนหัวหดไปตามๆ กัน เมื่อมีองค์ชายสามเป็นบรรทัดฐานเช่นนี้ เขาเชื่อว่าต่อให้ใครเป็นผู้ชนะ พวกเขาก็น่าจะพอใจกระมัง
เมื่อเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่พูดอะไรอยู่นาน ปรมาจารย์ก็คิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีหวังเสียแล้ว
ไหล่ทั้งสองข้างของเขากำลังจะลู่ลง
แต่แล้วเขาก็พลันได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยถามด้วยรอยยิ้มว่า “งานประลองเจ้ายุทธ์นั่น ข้าจะเข้าร่วมได้อย่างไรหรือ”
“อาจารย์เตรียมบัตรเชิญมาให้เจ้าแล้ว!” ดวงตาของปรมาจารย์เป็นประกาย เขาหันหลังกลับไปควานหาบัตรเชิญสีทอง “พวกเขาส่งบัตรเชิญมาให้ข้าตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน บัตรเชิญใบนี้ข้าแอบหยิบมาจากของตู๋เทียน อย่างไรเสียเขาก็มีลูกศิษย์ลูกหาตั้งหลายคน งานประลองเจ้ายุทธ์คงส่งบัตรเชิญให้เขาหลายใบ หายไปสักใบก็คงไม่เป็นไรหรอก เจ้าใช้บัตรเชิญใบนี้เข้าไปในงานได้เลย ไม่มีใครกล้าขวางทางเจ้าแน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรับบัตรเชิญมา แต่ใจจริงนั้นนางกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ ถ้านางสะดวก นางก็อาจจะเข้าร่วมการแข่งขันประกอบอาวุธด้วย แต่การประมูลที่ว่านั่นแสดงให้เห็นถึงอะไรล่ะ
มันแสดงให้เห็นถึงเงินจำนวนมหาศาล!
โอกาสทองในการทำเงินเช่นนี้
ในฐานะเจ้าของธุรกิจการค้าอาวุธเช่นนางจะไม่เข้าร่วมได้อย่างไร หึหึ
อ๊ะ
เห็นทีนางคงต้องพานายน้อยตระกูลเฮยร่วมทางไปด้วย เขาจะได้ทำหน้าที่เป็น ‘หน้าร้าน’ ให้กับธุรกิจของนาง
ไม่มีเวลาให้เสียอีกแล้ว นางย่อมไม่อยากถูกองค์ชายสามขัดขวางก่อนจะทันได้ออกเดินทางแน่
ผู้ชายคนนั้นรับมือยากกว่าที่คิด นางจำเป็นต้องซ่อนตัวให้ดีก่อน
ขอพูดให้ชัดเจนก่อนว่านางไม่ได้กลัวเขา แต่การยั่วโมโหคนนิสัยประเภทนี้เป็นเรื่องที่น่ารำคาญเกินไปต่างหาก…
“ท่านอาจารย์ ข้าขอตัวก่อน” เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนทำอะไรรวดเร็วมาตลอด คนเช่นนางไม่เคยปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป “ส่วนเรื่องในสำนัก ท่านอาจารย์ก็ช่วยเขียนคำร้องขอหยุดเรียนให้ข้าสักสองสามวันแล้วกัน”
ปรมาจารย์พยักหน้าโดยไม่ทันคิด บอกตามตรงว่าเขาเองก็ยังสับสนอยู่เล็กน้อย คำพูดประโยคไหนของเขาหรือที่ทำให้ลูกศิษย์ผู้เกลียดการตกเป็นเป้าสายตาเช่นนางกลับยอมตกปากรับคำอย่างว่าง่ายได้ขนาดนี้