องค์ชายสามไม่ได้รู้สึกกังวลกับเรื่องนี้เลย สำหรับเขาแล้ว มันเป็นเพียงแค่การกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อยากถูกไล่ออกจากสำนัก เพียงเพราะเรื่องบ้าบอพรรค์นี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยผละออกอย่างรวดเร็ว นางนางรีบลุกขึ้นยืนจากพื้น แล้วมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างระมัดระวัง ดวงตาของนางเย็นชาเล็กน้อย
“อะไรหรือ ข้าพูดผิดหรืออย่างไร” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่ผู้อื่นไม่อาจเมินเฉยได้
ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็พบว่าเขาที่กำลังมึนเมาอยู่นั้นช่างร้ายกาจยิ่งกว่าตัวเขาตอนที่มีสติดีเสียอีก
แต่ทว่า
เขาเอาเปรียบนางและคิดว่านางเป็นคนอ่อนแอเช่นนั้นหรือ
หึ คิดว่าคนอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนกินมังสวิรัติ[1]จริงๆ หรือ
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าร่างกายของหม่อมฉันอ่อนแอ ฝ่าบาทคิดว่าหม่อมฉันจะทำอะไรฝ่าบาทไม่ได้เช่นนั้นหรือเพคะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยคว้าคอเสื้อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขึ้น ใบหน้าเล็กๆ ของนางก้มต่ำลงและพูดจาอย่างฉุนเฉียว การที่นางที่ถูกเรียกว่าเป็นคนเลือดร้อนนั้น ก็ไม่ได้เกินจริงเลย
เห็นได้ชัดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ชอบใจคำพูดของนาง คิ้วเรียวยาวของเขาขมวดแน่น ปากของจิ้งจอกน้อยตัวนี้เหมาะสำหรับจุมพิตเท่านั้น
เขานวดหน้าผากที่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้า น้ำเสียงของเขาฟังดูชัดเจนและเย็นชา “ไม่ต้องห่วง ข้าจะรับผิดชอบเอง”
สิ่งที่นางกำลังพูดกับเขานั้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องรับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบเลย เข้าใจไหมเล่า! นอกจากนี้ แม้ว่านางจะเคยหมั้นหมายมาแล้ว แต่นางก็จะไม่ยอมแต่งงานกับคนที่เมามายแล้วกลายร่างเป็นหมาป่าเช่นนี้เด็ดขาด
“ใครขอให้ฝ่าบาทรับผิดชอบหรือเพคะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา และโยนเสื้อตัวนอกที่เขาทำเลอะออกไป เมื่อทำเช่นนั้น นางก็ทำตัวสงบเสงี่ยมได้เล็กน้อย คนที่ฉลาด ก็คงรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสื้อคลุมตัวนอกที่เขาทำเปื้อนตัวนั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง ไม่ว่าผู้หญิงจะเป็นคนฉลาดหรือไม่ แต่เมื่อพวกนางอารมณ์เสียขึ้นมาแล้ว ก็จะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลเสมอ
จูบก็จูบไปแล้ว หากเขาไม่รับผิดชอบ แล้วนางมีทางออกที่ดีกว่านี้เช่นนั้นหรือ
แม้แต่ตระกูลเฮย เขายังจัดการได้ด้วยสุรา
เรื่องมันก็ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงยังคงโกรธเคืองเขาอยู่อีกเล่า
โดยปกติแล้ว คนที่สูงศักดิ์และเป็นชนชั้นสูงอย่างองค์ชายสามนั้นจะไม่เข้าใจในเรื่องนี้ แต่ในมุมมองของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้น การถูกใครบางคนจูบ ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะต้องการให้อีกฝ่ายรับผิดชอบนาง แม้ว่าจูบแรกที่สำคัญของนางจะถูกขโมยไปแล้ว และเฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกโกรธเคืองอยู่ในใจ แต่นางไม่ใช่หญิงสาวในยุคโบราณ สำหรับนาง ชื่อเสียงนั้นไม่ได้มีความหมายใดๆ เลย
นอกจากนี้ หากผู้ชายชอบผู้หญิงสักคน สิ่งแรกที่เขาควรจะแสดงออกมา ก็คือการให้เกียรตินาง
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายสามเอาแต่เข้าใกล้นาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังดื่มสุราจนมึนเมาอีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะเวลาที่ไม่เอื้ออำนวย นางก็คงจะหักแขนของเขาให้พิการไปแล้ว
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ตอนที่ขันทีซุนเข้ามา ท่าทีของทั้งสองคนที่เขาเห็นก็คือ คนหนึ่งกำลังลุกขึ้นยืนด้วยดวงตาโกรธเคือง ส่วนอีกคนก็กำลังนั่งอยู่อย่างเยือกเย็นและสง่างาม ท่าทีของฝ่าบาทในขณะที่กำลังมองอีกฝ่ายนั้น… ดูแปลกไปเล็กน้อย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียง “อืม” เบาๆ ราวกับยังคงรู้สึกทรมานกับฤทธิ์เหล้า เสียงขึ้นจมูกของเขาฟังดูหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย
ขันทีซุนร่ำไห้ “โอ้ สวรรค์ ฝ่าบาททรงเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทไม่ทรงทราบหรือว่าพระวรกายของพระองค์นั้นดื่มไม่ได้ ฝ่าบาทต้องการจะยั่วโมโหอดีตฮ่องเต้หรืออย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีซุนเดาไว้ไม่ผิดเลย ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตั้งใจยั่วโทสะอดีตฮ่องเต้จริงๆ เพราะเขาร้องขอเรื่องบางอย่างที่ทำให้อดีตฮ่องเต้รู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก เขาโกรธมากที่หลานชายของเขาที่รู้ตัวดีว่าตนเองไม่อาจดื่มสุราได้นั้น… กลับดื่มจนขาดสติเช่นนี้
“คุณหนูเวยเวยขอรับ” ขันทีซุนมองท่าทางของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างระมัดระวังและเคร่งขรึมขณะเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาทไม่ได้ทำอะไรคุณหนูใช่หรือไม่ขอรับ หลังจากที่เขาดื่มสุรา เขาก็มักจะทำตัวแปลกประหลาดเสมอขอรับ” เช่น เขาอาจจะสั่งให้คนไสหัวไปอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะตะโกนเรียกให้พวกเขารีบกลับเข้ามาใหม่ กล่าวง่ายๆ คือ… เขาจะไม่เหมือนกับตัวเขาเองในสถานการณ์ปกติเลยแม้แต่น้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะในใจ เป็นเพราะว่าเขาเมาจริงๆ ด้วย
“ขันทีซุน หากคราวหน้า องค์ชายสามเมาอีก ท่านก็สามารถพาผู้ชายสักคนเข้ามาที่นี่ได้เลย บางทีเขาอาจจะพึงพอใจอย่างมาก จนมอบทองและเครื่องประดับล้ำค่าให้กับท่านก็เป็นได้”
ขันทีซุนไม่เข้าใจนักว่าตัวเองกำลังฟังเรื่องอะไรอยู่ “ทำไมต้องพาผู้ชายเข้ามาที่นี่หรือขอรับ” อืม ปกติแล้ว ฝ่าบาทเพียงแค่ต้องการให้ผู้คนวิ่งวุ่นไปตรงนั้นที ตรงนี้ที และไม่เคยสนใจว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
“เพราะองค์ชายสาม เขา…” ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยเปิดออก แล้วพ่นลมหายใจ “ควบคุมตัวเองไม่อยู่”
หลังจากพูดหกคำนั้นจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็จากไป ตอนนี้ หญิงสาวที่สูญเสียจูบแรกไปพร้อมกับเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองก็เผยให้เห็นท่าทีที่เป็นศัตรูยิ่งกว่าที่เคย
รังสีของความเป็นราชินีผู้สง่างามที่นางปกปิดเอาไว้ ได้เผยออกมาให้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจทันที
เมื่อขันทีซุนได้ยินหกพยางค์ที่ว่า ‘ควบคุมตัวเองไม่อยู่’ เขาก็อ้าปากค้าง แต่กว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เดินจากไปไกลแล้ว
เขาหันหน้ากลับไปมองนายท่านของเขาที่ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้น และจัดคอเสื้อของตนเองให้เข้าที่ จากนั้นจึงเดินไปยืนอยู่ข้างหน้าต่างอย่างเกียจคร้านและเย็นชา ริมฝีปากบางของเขางุ้มงอ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสูงส่งของเขาลดลงเลย กลับกันมันยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากขึ้นอีกด้วย
ขันทีซุนอดคิดไม่ได้ว่านายท่านของเขาทำอะไรลงไป จนทำให้คุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียนบอกว่าเขา ‘ควบคุมตัวเองไม่อยู่’
และที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือฝ่าบาทของเขากลับไม่รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใด
แม้ว่าตอนที่ดื่มสุราฝ่าบาทจะทรงอารมณ์ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยเช่นนี้
วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ขันทีซุนกะพริบตา จากนั้น ก็ดูเหมือนว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “ฝ่าบาท ปากของฝ่าบาท โอ๊ย ใครก็ได้เข้ามาเร็ว พวกเจ้าทุกคนเข้ามานี่เร็ว พวกเจ้าดูแลฝ่าบาทอย่างไรกัน”
เสียงของขันทีซุนดังขึ้นเรื่อยๆ ส่วนไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ปล่อยให้คนรอบข้างรอเขา และเมื่อนิ้วเรียวยาวของเขาแตะบนริมฝีปากบางของตนเอง เขาก็เผยรอยยิ้มอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ขันทีซุนยังคงครุ่นคิดอย่างสงสัยว่านายท่านของเขาไปยั่วโทสะอดีตฮ่องเต้อย่างไรกัน จนทำให้อดีตฮ่องเต้กรอกเหล้าทั้งหมดนั่นให้เขาดื่มจนนายท่านกัดปากของตนเองเช่นนี้
เขาคงนึกไม่ออกว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้เป็นคนที่กัดริมฝีปากของตัวเอง แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยต่างหากที่เป็นคนทำ
เพราะในความทรงจำของขันทีซุน นายท่านของเขาไม่เคยเหลียวมองผู้หญิงคนใดมาก่อน นับประสาอะไรกับเรื่องที่เขาจะไปจูบใครเข้า
แม้ว่าฝ่าบาทจะจูบใครสักคนจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นก็คงจะต้องปลาบปลื้มยินดี และไม่มีทางกัดปากเขากลับอย่างแน่นอน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ขันทีซุนคิดเอาเองว่าบาดแผลบนริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้น เกิดจากเขากัดปากของตัวเอง
ไม่น่าแปลกใจที่ขันทีซุนจะไม่ได้นึกถึงเฮ่อเหลียนเวยเวยเลย เพราะในจักรวรรดิจ้านหลงแห่งนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถือว่าเป็นคนที่ได้รับความนิยมชมชอบอย่างมาก ในบรรดาหญิงสาวจากตระกูลขุนนางผู้สูงศักดิ์ ไม่มีใครสักคนที่จะปฏิเสธผู้ชายที่มีชีวิตดุจดั่งเทพเจ้าคนนี้ได้
ยามเย็น ณ ฝั่งตะวันตกของสำนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังเล่นกับชิ้นส่วนประกอบของอาวุธที่อยู่ในมือ และทันใดนั้น นางก็เช็ดริมฝีปากล่างของตนเองอย่างแรง
นั่นทำให้ท่านปรมาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นผู้หญิงคนนี้มีท่าทีกระสับกระส่าย
ราวกับนางกระวนกระวายใจกับเรื่องบางอย่าง เฮ่อเหลียนเวยเวยหลับตาลงอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยความกระจ่างใส “ท่านอาจารย์พูดว่าอย่างไรหรือ พูดอีกครั้งได้หรือไม่”
เขากระแอมไอออกมาสองครั้ง “วันนี้ อาจารย์ของเจ้าได้รับข่าวมาจากในวัง ข้าคิดว่าการคัดเลือกพระชายาจะถูกเลื่อนวันให้เร็วขึ้น เดิมที อดีตฮ่องเต้ต้องการจะทำหลังจากที่การแข่งประลองยุทธ์เสร็จสิ้น แต่ตอนนี้ ในวังดูเหมือนจะยุ่งวุ่นวายกับเรื่องบางอย่าง นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะมีผู้เข้าร่วมการคัดเลือกที่พึงพอใจอยู่แล้วด้วย ซึ่งก็คือน้องสาวของเจ้านั่นเอง คืนนี้ เขาจะมาที่สำนักไท่ไป๋เพื่อยืนยันว่าที่หลานสะใภ้ของตนเอง เจ้าเองก็ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้เข้าร่วม ดังนั้น เจ้าก็ควรไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำด้วยเช่นกัน”
[1] กินมังสวิรัติ เป็นคำแสลงในภาษาจีน หมายถึง คนที่เป็นแม่พระ ใจกว้าง มีเมตตา โดนรังแกก็ไม่ถือโทษโกรธเคือง เป็นต้น