แต่ทันใดนั้นนั่นเอง
ร่างอันทรงเสน่ห์ของคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ที่ด้านหลังของร่างนั้นมีสาวใช้สองคนเดินตามมา สาวใช้คนหนึ่งถือตะเกียง ส่วนอีกคนหนึ่งถือร่ม แม้ภาพนี้จะเกิดขึ้นภายในสำนักไท่ไป๋ แต่ก็ดูละม้ายคล้ายกับภาพวาดท่ามกลางม่านหมอกจากแคว้นทางตอนใต้ทีเดียว
เป็นเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั่นเอง บนไหล่ของนางมีผ้าคลุมสีแดงผืนใหญ่คลุมเอาไว้ แม้ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นจะไร้ซึ่งการแต่งแต้ม แต่ก็ดูอ่อนโยน และสงบงดงามกว่าในยามปกติ
เมื่อเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางก็ถอนสายบัวด้วยท่าทีเขินอายแทนคำทักทาย จากนั้นนางจึงหันหน้าไปมองขันทีซุนที่กำลังยุ่งจนหัวหมุน แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่าพี่ใหญ่หายตัวไป จึงตั้งใจออกมาตามหานางข้างนอก ขันทีซุนพอจะทราบข่าวคราวของนางบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
ขันทีซุนยุ่งจนแทบจะเป็นลมอยู่รอมร่อ นี่ก็ดึกมากแล้ว ตอนนี้เขาคิดแค่อยากจะนอน เขาส่ายศีรษะเล็กน้อย และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ในกององครักษ์เปลี่ยนท่าทางการยืนของตน สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่ด้านหลังของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และสาวใช้ทั้งสอง ไม่ว่าในเวลานี้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะออกมาด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม แต่บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสดีสำหรับนางก็เป็นได้
“เจอตัวนายน้อยเฮยหรือยังเจ้าคะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ถามต่อ คิ้วอันงดงามทั้งสองข้างของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย คล้ายกับว่านางกำลังกังวลเกี่ยวกับการกระทำของเฮ่อเหลียนเวยเวย “พี่สาวคนโตของข้ามักจะทำอะไรบุ่มบ่ามและไร้เหตุผลอยู่เสมอ ทั้งที่ผู้อาวุโสเฮยไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของนางกับเฮยเจ๋อ แต่นางก็ยังมาที่หอชั้นเลิศตอนกลางดึกเช่นนี้ แล้วมาตอนนี้นางก็ยังหายตัวไปอีก ข้าล่ะเป็นห่วงเหลือเกินว่านางจะทำให้ชื่อเสียงของตัวเองต้องด่างพร้อยเพราะความเผอเรอในครั้งนี้”
ขันทีซุนเลิกคิ้วขึ้น นางต้องการจะบอกว่า ทุกอย่างที่คุณหนูเฮ่อเหลียนทำลงไปในวันนี้ นางทำเพราะต้องการจะหนีตามนายน้อยเฮยหรือ
ฝ่าบาทเพิ่งจะประทานดอกอิงฮวาสีขาวให้นางไปหยกๆ แต่นางกลับคิดที่จะหนีไปกับชายอื่น…
ขันทีซุนเงยหน้าขึ้นด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างสูง จากนั้นเขาจึงเคลื่อนสายตาไปมองทางฝ่าบาทที่ยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์สลัว
ร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้นยังคงสูงสง่า เย็นชาจนยากที่จะเข้าใกล้ ยังคงเปี่ยมไปด้วยความสูงศักดิ์อันห่างเหิน และความจองหองอวดดีที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลงเหมือนอย่างเคย…
แต่ความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากดวงตาเขากลับทำให้ขันทีซุนถึงกับต้องหดคอกลับ แล้วหันหน้ากลับไปตอบเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แทน “คุณหนูเจียวเอ๋อร์ ท่านมิควรเอ่ยวาจาเหลวไหลเช่นนี้โดยมิระวัง คุณชายรองตระกูลเฮยได้ลงจากเขาไปแล้ว พวกข้าเป็นคนหยุดรถม้าเขาเอาไว้ด้วยตนเอง กระนั้นก็ยังหาตัวคุณหนูเวยเวยไม่พบแม้แต่เงา หากมีคนอื่นมาได้ยินคำพูดของท่านเข้า เช่นนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ ทั้งยังจะทำให้ผู้คนเข้าใจผิดกันไปอีกว่าพี่น้องเช่นพวกท่านมีความขัดแย้งกัน และนั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่”
ทำไมวันนี้เขาถึงได้จุ้นจ้านนักนะ โดยปกติแล้วขันทีซุนจะต้องตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว แล้วปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปนี่นา
ถ้าบทสนทนาที่ว่านี้เกิดขึ้นในเวลาปกติ เขาก็คงไม่พูดจาขวานผ่าซากออกไปเช่นนั้น
อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นถึงคุณหนูของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ คนจากสี่ตระกูลใหญ่ให้การคุ้มครองนางเป็นอย่างดี แม้แต่อดีตฮ่องเต้ก็ยังเห็นนางเป็นหนึ่งในคนที่สมควรได้เป็นชายาขององค์ชายสาม
แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คนนี้ช่างทำตัวล้ำเส้นเหลือเกิน องค์ชายทรงอารมณ์ไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่นางยังถ่อมาถึงนี่เพื่อราดน้ำมันลงบนกองไฟเพิ่มอีก
คนอื่นๆ อาจมองกลอุบายองนางไม่ออกก็จริง แต่พวกมันก็เป็นแค่กลอุบายประเภทเดียวกันกับที่พวกคนในตระกูลใหญ่ใช้เพื่อแย่งชิงอำนาจกันเท่านั้น ดังนั้นสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงมาหลายปีเช่นเขา อุบายที่ว่านั่นจึงไม่ต่างอะไรไปจากการละเล่นอันน่าเบื่อหน่ายของเด็กๆ
แม้แต่ขันทีเฒ่าอย่างเขาก็ยังคิดว่าน่ารังเกียจเสียไม่มี แล้วนับประสาอะไรกับฝ่าบาทที่มีความคิดอ่านลึกล้ำถึงเพียงนั้น
เขาพอจะเดาออกว่าผู้เป็นนายคงไม่อยากเสียเวลามาพูดคุยไร้สาระกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คนนี้
ขันทีซุนไม่ได้พูดอะไรอีก เขาปัดฝุ่นออกจากมือ แล้วเดินตามไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกไป
อาจเป็นเพราะพวกเขามัวแต่นึกรำคาญกับการปรากฏตัวของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลังจากที่พวกเขาเดินออกไป ก็มีองครักษ์นายหนึ่งหายตัวไปอย่างลึกลับเช่นกัน…
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่เพิ่งถูกขันทีซุนโต้ตอบอย่างชาววังมาหมาดๆ กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ดวงตาของนางอาบไปด้วยยาพิษ แต่อย่างไรนางก็บรรลุเป้าหมายของตนแล้ว หากเขาได้ยินที่นางพูด นางไม่เชื่อหรอกว่าองค์ชายสามจะไม่ติดใจกับคำพูดของนาง
ชื่อเสียงของนังคนชั้นต่ำนั่นจะต้องจบลงในวันนี้
ที่สำนักไท่ไป๋นั้น หากอยู่ภายนอกในยามวิกาลจะต้องถูกลงโทษ ถ้านังคนชั้นต่ำนั่นยังไม่ปรากฏตัวขึ้นก่อนฟ้าสาง เช่นนั้นความสัมพันธ์อันน่าอับอายของนางกับคุณชายเฮยก็จะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
นางไม่สนใจสิ่งที่ขันทีซุนกล่าวแต่อย่างใด ต่อให้นังคนชั้นต่ำจะเป็นผู้บริสุทธิ์ นางก็จะใช้โอกาสนี้ทำลายชื่อเสียงของอีกฝ่ายอีกครั้ง!
ความพอใจฉายขึ้นในดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ นางกำลังตั้งท่าจะกลับห้อง แต่แล้วก็เห็นว่าสาวใช้คนที่ถือตะเกียงให้นางมัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ด้วยความรำคาญ นางจึงตำหนิอีกฝ่ายว่า “ทำไมเจ้ายังไม่รีบเอาตะเกียงมาทางนี้อีก ไม่มีตามองหรือไร!”
“เจ้าค่ะ” ‘สาวใช้’ คนนั้นเดินเข้าไปหานางอย่างเชื่อฟัง ไม่รู้เป็นเพราะฟ้ามืดเกินไปหรือเปล่า หรือนางกลัวว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะหกล้มเอาได้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ดวงตาของนางจึงยังคงจ้องลงมองพื้นอย่างรู้หน้าที่ พร้อมกับส่องตะเกียงนำทางโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเลยสักนิดเดียว
ส่วนไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เพิ่งเดินเข้ามาในหอชั้นเลิศก็ดูเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาหรี่เข้าหากันในทันใด จากนั้นจึงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุดว่า “สั่งให้องครักษ์ทุกนายมารวมกันที่นี่ แล้วนับจำนวนซะ”
องครักษ์เงาทุกนายงงงันเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมผู้เป็นนายถึงได้สั่งการออกมาเช่นนี้
จนกระทั่งหลังจากบรรดาองครักษ์มารวมตัวกันนั่นล่ะ เหงื่อชั้นบางๆ อันเย็นเฉียบถึงได้ซึมชื้นขึ้นมาบนหน้าผากของพวกเขา “ทูลฝ่าบาท หายไปหนึ่งนายพ่ะย่ะค่ะ”
“หายไปหนึ่งนาย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มเย็นชาพลางย้ำประโยคนั้น น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบไปถึงกระดูก เล่นเอาทุกคนถึงกับพร้อมใจกันหดคอลง
โดยเฉพาะเงาทมิฬที่ติดตามอยู่ข้างกายไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมานานปี ทหารขาดไปหนึ่งนายเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ
หมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในพวกเขา โดยแอบฟังแผนการของเขาอยู่ใต้จมูกมาโดยตลอด
แต่พวกเขาทั้งหมดกลับไม่รู้เรื่องนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว!
เขาควรจะชมสุดยอดฝีมือในการปลอมตัวของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียน หรือควรจะบอกว่านางทำตัวบุ่มบ่ามไม่กลัวตายกันแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนแรกที่กล้าหยามพวกเขาซึ่งเป็นถึงสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจขององค์ชายเช่นนี้
“ดี ดีจริงๆ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้มเย็นชาชั่วร้ายที่ไปไม่ถึงดวงตานั้นทำให้ทุกคนตัวแข็งไปทั้งร่าง
แม้แต่ขันทีซุนก็ตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้ได้ ในเวลาเช่นนี้ จะมีองครักษ์หายไปหนึ่งนายได้อย่างไร โอ้แม่เจ้า ได้โปรดอย่าให้มันเป็นอย่างที่เขาคิดเลย
เหตุใดคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฮ่อเหลียนจึงกล้าได้กล้าเสียถึงเพียงนี้ โอ้สวรรค์!
แม้แต่องครักษ์ของฝ่าบาทยังกล้าปลอมตัว!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ คลายมือที่กำแน่นของตนออก และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังเขาก็โอนเอนไปมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ประหนึ่งว่าถูกสายลมอันเกรี้ยวกราดพุ่งเข้าปะทะอย่างรุนแรง
เส้นผมสีดำดั่งรัตติกาลของเขาปลิวไสวราวกับอสรพิษที่เลื้อยอยู่ในพุ่มไม้ ดวงตาหงส์คู่งามที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ความเฉยเมยมานานปี บัดนี้กลับทอแสงวาบด้วยประกายอันโหดเหี้ยม ฟุ่บ ฟุ่บ โครม ทันทีทีเขาเอียงศีรษะเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ใบไม้ก็ร่วงกราวลงมาจากต้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงเย็นชาเข้ากระดูกนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เมื่อครู่นี้มีสาวใช้ตามเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มากี่คน”
มีสาวใช้กี่คนหรือ ขันทีซุนถึงกับงง ปกติแล้วไม่มีใครสังเกตเรื่องแบบนี้กันมิใช่หรือ
“ทูลฝ่าบาท มีสองคนพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬนึกอยู่เล็กน้อย ในที่สุดก็สามารถระบุเป็นตัวเลขออกมาได้
“จับพวกนางให้หมด” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอนสายตาออกมาจากบรรดาองครักษ์ แผ่นหลังสูงชะลูดของเขาเหยียดตรงประหนึ่งต้นสน มันห่างเหินเย็นชาเสียจนทำให้ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
เพราะพวกเขารู้ว่า ครั้งนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยหนีไม่พ้นอีกแล้ว