งไรพวกนางก็ไม่อาจถอนสายตาออกจากร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี
อย่างไรเสีย ผู้ชายที่หุ่นดีอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ใช่ว่าจะพบเห็นกันได้ง่ายๆ
ไม่ต้องพูดถึงช่วงไหล่กว้าง กับขายาวๆ คู่นั้น แม้แต่บุคลิกของเขาก็ยังยอดเยี่ยมไร้ที่ติ โดยเฉพาะในตอนที่สายฝนสาดมาโดนเสื้อคลุมตัวนอกกับกลุ่มผมสีดำของเขา แล้วเจ้าตัวทำเพียงแค่ยกมือไปเสยผมที่ปรกหน้าผากของตนขึ้น จากนั้นก็จัดการรวบมันไปไว้ด้านหลังศีรษะ ความโหดเหี้ยมเย็นชาที่ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อนพลันฉายชัด ความดุดันอันตรายทะลักออกมาอย่างรุนแรง และทำให้ผู้คนรู้สึกอยากเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ‘หึๆ’ องค์ชายสามผู้นี้ยอมขาดทุนครั้งใหญ่เพียงเพื่อจะหาตัวนางให้เจอ ครั้งนี้เขาถึงกับเอาเสน่ห์ของตัวเองมาขายเชียว มิหนำซ้ำยังขายออกจริงๆ เสียด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะเวลานี้ไม่เหมาะสมเท่าใดนัก นางคงได้ผิวปากให้เขาสักสองครั้งแน่ๆ
เฮ้อ คนที่แผ่รัศมีแห่งความหล่อเหลาและสง่างามออกมาได้ทุกนาทีอย่างเขาคงต้องมีพลังบางอย่างอยู่ในตัวเหมือนกัน
ขันทีซุนเองก็สังเกตเห็นสายตาของบรรดาคุณหนูแทบทุกตระกูลแล้วเช่นกัน เขารีบถอดเสื้อคลุมของตนออก เพื่อนำมันไปคลุมให้กับผู้เป็นนาย
แต่น่าเสียดายที่การเคลื่อนไหวขององค์ชายนั้นรวดเร็วเกินไป ส่วนขาของเขาก็สั้นเกินกว่าจะตามอีกฝ่ายทัน
ตอนแรกเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังมองพวกเขาจากทางด้านข้างถึงกับดีใจกับการเคลื่อนไหวนั้นด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือการที่จู่ๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หมุนตัวหันกลับมามองทางที่นางอยู่ พร้อมกับมองนางด้วย!
ไม่สิ ควรจะบอกว่าเขาหันหน้ามามองบ่าวรับใช้ทุกคนต่างหาก!
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไป ขณะที่นางบ่นในใจอย่างหัวเสียว่า [องค์ชายสาม พอได้แล้ว ท่านไม่คิดที่จะปล่อยพวกผู้ชายไปหรือไร!]
แต่แล้ว…
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนสายตามองขึ้นไปด้านบน แล้วจึงเห็นว่าไกลออกไป มีเมฆสีดำทะมึนกลุ่มหนึ่งลอยอยู่ มุมปากของนางค่อยๆ โค้งขึ้นทีละน้อย ริมฝีปากบางของนางขยับเล็กน้อยราวกับกำลังนับถอยหลัง “หนึ่ง สอง… สาม”
ทันทีที่นางนับถึงสาม เสียงกระพือปีกก็ดังขึ้น พร้อมกับฝูงสัตว์อสูรบินได้ที่โฉบลงมาจากทุกทิศทุกทาง สัตว์อสูรสีดำกลุ่มนั้นดูเหมือนเมฆสีดำหลายก้อนที่กำลังลองล่อยเข้ามาไม่มีผิด
ทุกคนตกใจจนตัวแข็งทื่อ และแทบไม่อยากเชื่อกับภาพที่เห็น
“เกิดอะไรขึ้น”
“นั่นมันฝูงสัตว์อสูร!”
“จะมีฝูงสัตว์อสูรในเวลานี้ได้อย่างไร?! ทำข้อตกลงกันไว้แล้วมิใช่หรือว่าพวกมันจะปรากฏตัวได้แค่ในฤดูร้อนเท่านั้น”
“เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่า!”
“รีบไปแจ้งเจ้าสำนักเร็ว!”
ภายในเสี้ยววินาทีนั้นเอง หอชั้นเลิศก็พลันตกอยู่ในความโกลาหล
ที่จริงแล้วสัตว์อสูรบินได้พวกนี้ไม่ได้คิดที่จะทำให้ใครบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่พวกมันชื่นชอบที่สุดคือการโฉบเอาคนขึ้นไปจากพื้นดิ้น แล้วก็นำไปทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง เพราะการทำเช่นนี้เป็นวิธีแสดงไมตรีในความคิดของพวกมัน
แต่กับบรรดาลูกศิษย์ที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญอยู่นั้น พวกเขาอยากจะบอกกับพวกมันใจจะขาดว่า [ขอบใจ แต่พวกเราไม่อยากได้ไมตรีพรรค์นี้หรอกเฟ้ย เข้าใจหรือเปล่า?!!!] ขาพวกเขาแทบจะหลุดอยู่แล้ว เข้าใจไหม?! บัดซบ เจ้าพวกนี้คิดจะจับเราไปที่ไหนกันแน่!
“คุณหนู!”
“คุณชาย!”
ราวกับว่าสถานการณ์ในเวลานี้ยังสับสนอลหม่านไม่พอ เสียงหวีดร้องของบรรดาสาวใช้ดังสนั่นจนแทบจะพัดหลังคาของหอชั้นเลิศปลิวหายไป
เฮ่อเหลียนเหมยถูกชนจนเวียนหัว นางกำชุดของตัวเองแน่น เพราะกลัวว่าจะหกล้ม
ท่ามกลางความวุ่นวายในหอชั้นเลิศ มีเพียงองค์ชายสามเท่านั้นที่สงบที่สุด แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรบินได้ที่บินว่อนไปมา แต่ไม่ว่าจะเป็นสายลมหรือเศษฝุ่นก็มิอาจแตะต้องแขนเสื้อของเขาได้เลยแม้แต่น้อย ท่าทางของเขานิ่งสงบไม่เปลี่ยนแปลง แต่ดวงตาหงส์คู่นั้นกลับดูเหมือนจะยิ่งอันตรายและสว่างสดใสกว่าที่เคย ด้วยเหตุนี้ฝูงสัตว์อสูรบินได้ที่เล่นกับคนอื่นๆ อยู่จึงไม่กล้าเข้าไปโฉบเอาตัวเขา
ในที่สุดก็มีสัตว์อสูรบินได้ตัวหนึ่งพุ่งเข้าไป ยื่นกรงเล็บของมันหมายจะเล่นกับองค์ชายสาม แต่องค์ชายสามทำเพียงแค่ปรายตามอง เจ้าสัตว์อสูรบินได้ตัวนั้นก็ส่งเสียงร้องครางออกมา พร้อมทั้งเก็บกรงเล็บของตนไปอย่างเชื่อฟัง มันตกใจเสียจนเกือบร่วงหล่นจากฟ้า!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองภาพนั้นอยู่ด้านข้าง และรู้สึกชื่นชมเขามากทีเดียว สมกับที่เป็นองค์ชายสาม เขาไม่เพียงแค่รับมือได้ทั้งกับบุรุษและสตรี แม้กระทั่งสัตว์อสูรก็ยังถูกเขาฝึกให้เชื่องได้
“เฮ่อเหลียนเวยเวย”
ทันใดนั้นน้ำเสียงทุ้มลึกอันมีเอกลักษณ์ของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้น ในน้ำเสียงฟังดูคล้ายกับกำลังข่มกลั้นความอดทนเอาไว้สุดขีด แต่กระนั้นก็ฟังดูหวานยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเกร็งแขน นางถึงกับคิดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหานางเจอแล้วเสียอีก
แต่ประสบการณ์ที่นางสั่งสมมาตลอดหลายปีบอกให้นางรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จงอย่าหันไปเด็ดขาด มันอาจจะเป็นกับดักก็เป็นได้
และความจริงก็คือ มันเป็นกับดักจริงๆ
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้ว่าแม้กระทั่งวิธีนี้ก็ไม่สามารถล่อ ‘เจ้าจิ้งจอกน้อย’ ออกมาได้ ปลายลิ้นของเขาแลบเลียริมฝีปากบางของตน ในเวลาเดียวกัน รอยยิ้มอันชั่วร้ายอย่างที่สุดก็ค่อยๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของเขา ประหนึ่งดอกปี่อั้นซึ่งเบ่งบานอยู่ในแดนอเวจีที่ล่อลวงวิญญาณของผู้คน มันเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล และมีเสน่ห์จนน่าตกใจ เขาใช้น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกนั้นเอ่ยขึ้นทีละคำว่า “อยากให้ข้าไปพาตัวเจ้ากลับมาด้วยตัวเองใช่ไหม หืม”
เสียง ‘หืม’ ของเขายังคงเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ น่าประทับใจยิ่งนัก
มันฟังดูไม่เหมือนเสียงของคนที่อยากจับตัวใครสักคน แต่กลับเหมือนคนที่กำลังเล่นซ่อนหากันอยู่มากกว่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แขนทั้งสองข้างของนางกางออก เพราะถูกสัตว์อสูรบินได้ตัวหนึ่งดึงขึ้นไปบนอากาศ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว ท่าทางของนางสง่างามและเป็นธรรมชาติยิ่งกว่าใคร มิหนำซ้ำนางยังไม่ได้ขัดขืนเหมือนกับคนอื่นๆ ตรงกันข้าม นางกลับรอโอกาสนี้มาตลอด
“ถ้าเจ้ากลับมาเอง ข้าจะลองคิดดูอีกทีว่าจะปล่อยเจ้าไปหรือเปล่า” ร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์นั้นงดงามยิ่งกว่าเดิม
เฮ่อเหลียนเวยเวยเม้มริมฝีปากบางเข้าหากัน แล้วคิดกับตัวเองว่า [องค์ชายสาม ท่านประเมินเฮ่อเหลียนเวยเวยต่ำเกินไปแล้ว เก็บหน้าหล่อๆ นั่นเอาไว้หลอกพวกลูกศิษย์สาวๆ ดีกว่าไหม]
เฮ้อ แต่พอได้ยินน้ำเสียงเช่นนั้น นางก็ยังเผลอไขว้เขวไปนิดหน่อย
แต่นางไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะยอมปล่อยนางไป
เขาสิ้นเปลืองแรงไปมากถึงขนาดนี้เพื่อที่จะจับตัวนาง เพียงเพื่อจะปล่อยนางไปน่ะหรือ
นางไม่เชื่อเด็ดขาด!
จากนิสัยขององค์ชายสามแล้ว หลังจากที่เขาจับนางได้ เขาจะต้องหั่นทางเป็นหมื่นๆ ชิ้นแน่นอน ไม่สิ บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าการหั่นนางด้วยมือตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่เสียเกียรติเกินไป เขาคงทำแค่โยนนางลงบนพื้น แล้วหลังจากนั้นก็สั่งให้คนมาตัดขา และดึงเล็บของนางออก ส่วนเขาก็คงจะนั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ โดยที่ตาไม่กะพริบมากกว่า
หลังจากที่ได้พบเจอและพูดคุยกับเขามาหลายครั้งตลอดสองวันที่ผ่านมา นางก็เข้าใจได้อย่างดีว่าวิธีการของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างไร มันสง่างามแต่ก็… โหดเหี้ยมจนสามารถพรากชีวิตไปจากคนคนหนึ่งได้เช่นกัน!
“ไปได้”
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ และอาศัยความวุ่นวายที่ฝูงสัตว์อสูรบินได้ก่อขึ้นหลบมาซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มบ่าวรับใช้ คุณหนู และคุณชายที่ถูกจับมาได้สำเร็จ
คนที่ยืนอยู่ด้านล่างของพวกนางกำลังพยายามคิดทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ที่สุดที่จะล้มสัตว์อสูรบินได้พวกนี้ แต่ก็คิดอะไรไม่ออกเพราะนกพวกนี้มีขนาดใหญ่เกินไป ต่อให้พวกเขาจัดการกับนกได้ทีละตัว แต่แค่นั้นก็คงยังไม่พอ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
จู่ๆ ก็มีฝูงนกบินจำนวนมากเข้ามาในสำนักไท่ไป๋ในวันที่มีฝนตกห่าใหญ่!
มันแปลกเกินไปแล้ว!
ทุกคนต่างก็มีความคิดของตัวเองอยู่ในใจ แต่พวกเขาจะคิดเช่นนั้นก็ไม่แปลก เพราะเดิมทีนั้นสำนักไท่ไป๋มีการทำข้อตกลงร่วมกับสัตว์อสูรพวกนั้นเอาไว้แล้ว
คนของสำนักไท่ไป๋จะไม่เข้าไปสังหารสัตว์อสูรภายในป่าวิญญาณ ส่วนสัตว์อสูรก็จะไม่จู่โจมลูกศิษย์ตามอำเภอใจเช่นกัน
แต่ตอนนี้จะบอกว่าฝูงสัตว์อสูรบินได้พวกนี้กำลังจู่โจมพวกเขาอยู่หรือ ก็เหมือนจะไม่ใช่!
พวกมันตั้งใจทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้จับพวกเขาบินขึ้นไปบนฟ้าอย่างนั้น!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองฝูงสัตว์อสูรที่ค่อยๆ บินขึ้นสู่ฟากฟ้า ดวงตาแคบเรียวที่ซ่อนไว้เย็นชาอย่างถึงที่สุด แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็เย็นชาเหมือนกับดอกไม้ที่บานอยู่ในขั้วโลกเหนือ ทุกคำเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกเลยทีเดียว “ดูเหมือนว่าเจ้าไม่คิดที่จะกลับมา หึ เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้”
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินคำพูดของเขา นางก็แทบจะหยุดหายใจ หัวใจของนางถึงกับสั่นไหวไปเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น…