“พี่ใหญ่ นั่นพี่ใหญ่นี่นา!” สัตว์อสูรบินได้ตัวน้อยส่งเสียงราวกับเด็กสาว มิหนำซ้ำมันยังก้มหัวลงมาถามเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกว่า “เจ้าไม่คิดหรือว่าพี่ใหญ่ช่างหล่อเหลาเอาการจริงๆ ดูเขาที่แทงขึ้นไปบนฟ้านั่นสิ ดูเกล็ดที่เป็นประกายระยิบระยับนั่นด้วย แล้วยังขนสีแดงอันงดงามนั่นอีก มีคนลือกันว่ายิ่งเวลาที่เขากลายร่างเป็นมนุษย์ เขาก็จะยิ่งหล่อ”
“แหวะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียง ‘แหวะ’ ออกมา และยิ้มเป็นเชิงขอโทษ “โทษที แต่ข้าไม่เข้าใจทัศนคติทางด้านความงามของเจ้าเลยจริงๆ”
“ไม่เป็นไร อย่างไรสายตาของมนุษย์อย่างพวกเจ้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว” เจ้าสัตว์อสูรบินได้ตัวน้อยยักไหล่ แล้วหยุดเคลื่อนไหวไปเสียดื้อๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ‘หึๆ’ แล้วพูดอย่างจนใจว่า “ข้าควรขอบใจเจ้าหรือเปล่า”
“ไม่จำเป็น ข้าเข้าใจดี” ดวงตาของสัตว์อสูรบินได้เป็นประกาย แล้วทันใดนั้นมันก็หมุนตัวกลับไปในทันที
“เฮ้ๆๆ เจ้าบินกลับไปไม่ได้นะ” แขนของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงอยู่ในกรงเล็บของสัตว์อสูรบินได้ตัวนั้น สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันโดยที่นางยังไม่ทันได้เตรียมตัวเลยด้วยซ้ำ
บัดซบ!
เจ้ากิเลนอัคคีหรือตัวบ้าอะไรนั่นมันจะออกมาที่นี่ทำไม!
เอาเสน่ห์ตัวเองมาเร่ขายอย่างนี้มันดีแล้วจริงหรือ!
“แม่นาง อีกประเดี๋ยวพวกเราคงได้บินกลับไปอยู่ตรงนั้นแน่” หยวนหมิงรู้สึกเพลิดเพลินกับสถานการณ์นี้ยิ่งนัก ริมฝีปากบางของเขาโค้งขึ้น “ถ้าข้าเป็นเจ้า ตอนนี้ข้าคงจะเริ่มคิดหาวิธีแล้วว่าจะเผชิญหน้ากับโทสะขององค์ชายสามอย่างไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ แต่ดวงตาของนางกลับเผยความกังวลออกมาเรื่อยๆ สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ของนางในเวลานี้ไม่สู้ดีเท่าใดนัก
ทางด้านซ้ายมือของนางเป็นหน้าผา ส่วนทางด้านขวามือเป็นสำนักไท่ไป๋
จากเส้นทางที่เจ้าสัตว์อสูรบินได้ตัวนี้กำลังบินไป ดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามที่หยวนหมิงบอก ในอีกไม่ถึงนาทีต่อจากนี้ นางคงได้ถูกองครักษ์ขององค์ชายสามล้อมเอาไว้แน่
ระยะห่างหดสั้นลงเรื่อยๆ สั้นเสียจนนางสามารถมองเห็นแผ่นหลังที่เย็นชาของชายหนุ่มผู้แสนบริสุทธิ์และโดดเดี่ยวนั้นได้
ไม่ได้การล่ะ นางต้องรีบตัดสินใจ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยสำรวจยอดต้นไม้ที่ขึ้นรวมกันเป็นป่าอยู่ที่ยอดผา แล้วทันใดนั้นนางก็ออกแรงกระชากแขนข้างซ้ายของตนออก พร้อมกับพลิกตัวอย่างรวดเร็ว แต่เพียงชั่วพริบตาเสื้อคลุมของบ่าวรับใช้ก็เลื่อนหลุดจากตัว ร่างของนางร่วงจากฟ้า และทิ้งตัวลงข้างล่างอย่างรวดเร็ว!
นางยังคงได้ยินเสียงคำรามอันเย่อหยิ่งของหยวนหมิงที่ข้างหู “แม่นาง เจ้ามันบ้าไปแล้ว! ถ้าตกลงไปแบบนี้ มนุษย์อย่างเจ้าต้องตายแน่!”
“หากข้าไม่บ้า เจ้าก็คงไม่ได้เป็นปีศาจ หรอก” ในระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยตอบหยวนหมิง นางก็ยังไม่ลืมที่จะขว้างอาวุธที่นางเก็บไว้ในร่างออกไปด้วย อาวุธแต่ละชิ้นซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ และยึดเข้ากับผนังหินของตัวหน้าผา ทำให้นางรู้สึกได้ถึงแรงตกที่ลดน้อยลง
เจ้าแมวขาวที่โผล่ขึ้นมาบนไหล่ของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ อึ้งไปเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะพลังของมันยังฟื้นกลับมาไม่หมด มันก็คงจะรีบขยายร่างแล้วพาเฮ่อเหลียนเวยเวยไปยังจุดที่ปลอดภัยแล้ว
แต่ประเด็นสำคัญคือการที่ตัวมันเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากไม่ต่างกัน อย่าว่าแต่การช่วยพาเฮ่อเหลียนเวยเวยไปที่ปลอดภัยเลย ในเวลานี้ กระทั่งการปกป้องตัวเองก็ยังเป็นเรื่องลำบากสำหรับมันเสียด้วยซ้ำ!
ลมแรงเกินไป มันทำได้เพียงแค่ใช้กรงเล็บเกาะไหล่ของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ โดยไม่กล้าปล่อยเท่านั้น
ขณะที่เสียงอาวุธเสียดสีกับผนังหินดังเอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด สะเก็ดไฟก็แตกกระจาย
เจ้าแมวขาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
นอกจากความรู้สึกชาที่มือซ้าย และความปวดหนึบที่มือขวา จิตใต้สำนึกและทุกเซลล์ประสาทในร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็กำลังคิดหาวิธีการเอาตัวรอดจากความทรมานนี้อยู่!
เอี๊ยด!
เมื่อเสียงขูดกับผนังครั้งสุดท้ายดังขึ้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เพิ่มระดับพลังปราณในร่างของตน อากาศโดยรอบเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง ก่อนจะก่อตัวกลายเป็นพายุหมุนลูกหนึ่ง ช่วยรับร่างของนางและพัดร่างของนางขึ้นไปข้างบนทีละน้อย!
หลังจากนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็อาศัยแรงลมจำนวนหนึ่งในการพลิกตัวไปด้านข้างด้วยท่วงท่าอันสง่างาม จากนั้นจึงหยุดยืนอยู่กับที่ แล้วหลบต้นไม้ที่กำลังจะหักลงมาได้อย่างหวุดหวิด!
“เกือบไปแล้ว” ถึงจะเป็นปีศาจรับใช้อย่างเขา หยวนหมิงก็ยังอดที่จะเหงื่อแตกพลั่กกับการกระทำอันใจกล้าเมื่อครู่ของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยแค่สะบัดข้อมือไล่อาการชาเท่านั้น ริมฝีปากบางของนางหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม “หนีรอดมาได้อย่างสวยงาม”
“ข้าเกรงว่าจะยังมีอุปสรรคอยู่อีกหนึ่งอย่าง” เจ้าแมวขาวมองเงาร่างขนาดมหึมาที่ปรากฏเข้ามาในครรลองสายตา ในดวงตาสีอำพันของมันมีประกายเย็นชาวาบผ่าน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็รับรู้ได้ถึงอันตรายเช่นกัน นางหันหน้าไปมอง แล้วก็สบเข้ากับดวงตาของร่างสูงใหญ่นั้น เปลือกตาของนางกะพริบเข้าหากัน “สัตว์อสูรหรือ”
“ตราบใดที่มันไม่ใช่กิเลนอัคคี ก็ไม่มีปัญหาหรอก” เจ้าแมวขาวกระโดดขึ้นไปยืนบนไหล่ของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างวางมาด “ไปจัดการมันให้สิ้นซากซะ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ‘หึหึ’ เจ้าหมอนี่… ใครเป็นมนุษย์ ใครเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กันแน่เนี่ย!
แต่ทว่าสัตว์อสูรกลับไม่ยอมเปิดโอกาสให้นางได้บ่นมาก
ความหิวสุดขีดทำให้มันตกอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่ง หลังจากได้กลิ่นเนื้อ มันก็คิดได้เพียงแค่อยากกินเนื้ออร่อยๆ เท่านั้น!
แต่สิ่งที่มันไม่รู้ก็คือ เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็แทบจะคลุ้มคลั่งไปแล้วเหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกคนอื่นไล่ต้อนจนจนมุมขนาดนี้ นางต้องการที่ระบายอารมณ์!
ฟุ่บ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้พลังลมพุ่งขึ้นจากตำแหน่งที่ตนอยู่ราวกับมีดอันแหลมคมที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่ช่วงคอของเจ้าสัตว์อสูร
สัตว์อสูรตัวนั้นเหลือบตามองนางราวกับกำลังหัวเราะเยาะเย้ยว่านางประเมินตนเองไว้สูงเกินไป มันกำลังอ้าปากสีแดงออก หมายจะกลืนนางลงท้องไปทั้งตัว!
สัตว์อสูรตัวนั้นดูเหมือนจะเป็นสัตว์ประเภทที่เห็นผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อ แต่หวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง เมื่อเห็นว่ามือข้างซ้ายของนางใช้การได้ไม่ดีนัก มันก็รีบกัดเข้าที่มือข้างซ้ายนั้นทันที มันเน้นการโจมตีของตัวเองไปที่มือข้างซ้ายของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เมื่อเห็นมันปราดเข้ามา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กัดฟัน พลางรวบรวมพลังปราณของตนให้ไหลเวียนประสานกัน สองนิ้วของนางพุ่งเข้าไปที่ลำคอของมัน แล้วใช้พลังปราณยิงแสงสีขาวออกมา แน่นอนว่าแสงนั้นไม่ได้นุ่มนวลและพุ่งสะเปะสะปะเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับดูเหมือนคมมีดที่รวดเร็วและดุดัน แสงอันเย็นเยือบนั้นพุ่งเข้าไปที่ลำคอของสัตว์อสูรตัวนั้น
สัตว์อสูรชะงักไปในตอนแรก จากนั้นความเจ็บปวดทรมานราวกับมีสายลมจากทุกทิศทุกทางโหมกระพืออยู่ภายในร่างก็พุ่งเข้ามา ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ร่างของมันจะถูกสายลมพวกนั้นกรีดเฉือนจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง
เสียงครวญครางแว่วดัง —— สัตว์อสูรเงยหน้าขึ้น ก่อนจะคำรามสุดเสียงเป็นครั้งสุดท้าย ช่วงเวลาแห่งความเป็นตายนั้นยืดเยื้อออกไป ร่างของมันสั่นสะท้านไปทั้งตัวราวกับได้รับความทรมานจากทั่วสารทิศ ร่างมหึมานั้นล้มลงไปกองกับพื้นเสียงดังสนั่น บดขยี้พุ่มไม้จำนวนนับไม่ถ้วนจนบี้แบน ฝุ่นลอยตลบอยู่ในอากาศ ขณะที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาเบื้องล่าง ระหว่างท้องฟ้าและแผ่นดินอันว่างเปล่า มีเพียงแค่หนึ่งคนหนึ่งแมวยืนอยู่ตรงนั้น ภาพด้านหลังของทั้งสองงดงามอย่างยากจะหาใดเปรียบ…
อีกด้านหนึ่ง สัตว์อสูรบินได้ทุกตัวยืนนิ่งอยู่ในลานของหอชั้นเลิศอย่างน่ารักและเชื่อฟัง พวกมันยื่นกรงเล็บออกมาข้างหน้าอย่างเกียจคร้านราวกับถูกฝึกมาเป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้เหล่าคุณหนูและคุณชายที่ถูกพาตัวไปจึงสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ทันทีที่พวกเขามาถึงพื้น ต่างคนก็ต่างรีบสวมเสื้อคลุมของตนเองอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนแต่หมดสภาพไปตามๆ กัน
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น!
ขันทีซุนรู้สึกกลัวที่จะต้องมองหน้าฝ่าบาทเล็กน้อย เขาทำได้เพียงกลืนน้ำลาย แล้วหันไปมองเสื้อคลุมของบ่าวรับใช้ที่ห้อยอยู่ในกรงเล็บของสัตว์อสูร
ไม่ต้องคิดให้มากความ ก็รู้ว่าคนที่สวมเสื้อตัวนี้อยู่เมื่อครู่คือใคร
ฝนหยุดตกแล้ว เมฆหมอกมืดครึ้มก็สลายไปจนหมดสิ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น แขนเสื้อยาวของเขาโบกสะบัดอยู่ในสายลม เส้นผมสีดำน้ำหมึกนับพันล้อมกรอบหน้ากากสีเงินของเขาเอาไว้จนกลายเป็นแสงเย็นชาที่คมชัด ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงพูดขึ้นว่า “นางยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะตามหาและพาตัวนางกลับมา”
หลังจากพูดจบ เขาก็หมุนตัวกลับอย่างไม่แยแส พลังปราณสูงเทียมฟ้าก่อตัวขึ้นทั่วร่างของเขา และท่วมทะลักออกมา ในขณะเดียวกัน ชุดสีขาวกับเส้นผมสีดำของเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ช่างเป็นภาพที่คล้ายคลึงกับจอมมารเสียจริง
ติ๋ง ติ๋ง หยาดฝนร่วงหล่น ทำเอาทุกคนถึงกับมองหน้ากันอีกครั้ง
กิเลนอัคคีที่ซ่อนตัวอยู่ภายในมิติสวรรค์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันลุ่มลึก “นายท่าน นางคือพระชายานะขอรับ”
“แล้วยังไง” ปลายลิ้นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลียชิมบาดแผลบนริมฝีปากบางของตนทีละน้อย ขณะเผยความเย็นชาชั่วร้ายออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “ใครก็ตามที่มายั่วโมโหข้า ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใคร ข้าก็จะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปได้ง่ายๆ”
กิเลนอัคคีไม่เคยเห็นผู้เป็นนายแสดงสีหน้าเช่นนี้มาก่อน
หลายร้อยปีก่อน ไม่สิ อาจจะหลายพันปีก่อนเสียด้วยซ้ำ
นายท่านมักจะทำราวกับว่าทุกสิ่งในโลกมนุษย์เป็นแค่เรื่องสนุก
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยแสดงความสนใจต่อสิ่งใดมาก่อน แต่ความสนใจนั้นก็มีเพียงน้อยนิด และเป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไป แต่เรื่องวุ่นวายใหญ่โตเหมือนอย่างเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ มันแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลยเสียด้วยซ้ำไป…