Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1940 บุคคลทรงอิทธิพล มองที่ปัจจุบัน

ตอนที่ 1940 บุคคลทรงอิทธิพล มองที่ปัจจุบัน

ตอนที่ 1940 บุคคลทรงอิทธิพล มองที่ปัจจุบัน

อะไรเรียกว่าสูงสุด

ไม่มีสิ่งใดไม่ถึงจุดสูงสุด!

นี่ก็คือนัยเร้นลับที่เสวียนคงหยั่งถึงตอนที่ควบรวมเขตแดนมรรค

ไม่มีสิ่งใดไม่ถึงจุดสูงสุดนี้ ไม่ใช่การกระทำอย่างบุ่มบ่ามเลินเล่อ หากแต่ควบคุมพลังแห่งตนไปสู่จุดสูงสุด!

หลินสวินพึมพำ  ไม่มีสิ่งใดไม่ถึงจุดสูงสุด ดีนัก! 

ผู้บำเพ็ญตน คำนึงถึงมรรคาสามสาย หลอมกาย หลอมปราณ หลอมจิต นี่จึงจะมองเป็นการบำเพ็ญ

นอกจากนี้ยังมีสภาวะจิต เจตจำนง สติปัญญา… หากสามารถสำแดงสิ่งเหล่านี้ไปถึงจุดสูงสุด หลอมผสานเข้าสู่เขตแดนมรรค พลังระดับนั้นจะน่าสะพรึงปานใด

ต่อมาหลินสวินจมอยู่ในภวังค์หยั่งรู้ ไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนคล้อยของเวลา

สิบวันต่อมา รุ่งเช้า

 เชิญสหายยุทธ์แคว้นเขียวตามข้ามา 

 เชิญสหายยุทธ์แคว้นยมโลกตามข้ามา 

 เชิญ… 

เสียงสายแล้วสายเล่าดังก้องทั่วทั้งบนล่างของเขาประสานฟ้า

ก็เห็นผู้สืบทอดเรือนมรรคโลกาสวรรค์กลุ่มหนึ่งปรากฏตัวกลางห้วงอากาศไกลๆ มานำทางผู้แข็งแกร่งแคว้นต่างๆ

เพราะวันนี้ งานชุมนุมถกมรรคจะเริ่มเปิดม่านแล้ว!

ในถ้ำสถิต หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิพลันลืมตาโพลง หยัดตัวลุกขึ้นยืน

‘หยั่งรู้ม้วนหยกที่ศิษย์พี่เสวียนคงทิ้งไว้ ใช้เวลาสิบวันก้าวไปถึงศุภโชคมหามรรคครั้งหนึ่งแล้ว…’

หลินสวินเอามือไพล่หลังเดินออกจากถ้ำสถิต

นอกถ้ำสถิต พวกลู่ตู๋ปู้ อู่หวง เซี่ยอวี่ฮวา หวังถูรวมตัวกันครบก่อนแล้ว

 ไปเถอะ ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว ขอเพียงไม่ทิ้งความรู้ให้เสียเปล่าก็เพียงพอแล้ว! 

ก้วนซวีสีหน้าเข้มขรึมเอ่ยกำชับ เขาเป็นเพียงผู้นำทาง หน้าที่ในการเดินทางครั้งนี้จบลงแล้ว ต่อไปก็ต้องอยู่ที่ฝีมือของพวกหลินสวินเองแล้ว

 ขอบคุณผู้อาวุโสที่คอยดูแลยิ่งนัก! 

พวกหลินสวินประสานหมัดคารวะ

ก้วนซวีแม้จะเป็นเจ้าสำนักสำนักยุทธ์ว่างเปล่า แต่กลับไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างคนในสำนัก คอยดูแลคุ้มกันพวกเขาสุดฝีมือตลอดทาง ทำให้ผู้คนเกิดความเคารพนับถือจากใจ

 ไป! 

ผู้สืบทอดเรือนมรรคโลกาสวรรค์คนหนึ่งที่รับผิดชอบนำทางทะยานขึ้นฟ้า พาพวกหลินสวินเหินทะยานไกลออกไป

‘พี่จิน ข้าได้ยินมาว่างานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้จะเริ่มขึ้นใน ‘แดนลับโลกาสวรรค์’ หลังการแข่งขัน สุดท้ายมีเพียงหนึ่งร้อยแปดคนเท่านั้นที่ผ่านเข้ารอบ คนอื่นๆ จะถูกคัดออก ไร้วาสนาไปแย่งชิงศุภโชคในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ’

ระหว่างทางจู่ๆ ลู่ตู๋ปู้ก็สื่อจิตบอกหลินสวิน ‘ข้ากับเซี่ยอวี่ฮวา หวังถู ซูมู่หาน เหลิ่งซิวเจียล้วนหารือกันแล้ว หลังจากเข้าสู่แดนลับโลกาสวรรค์ก็จะร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน ไม่ทราบพี่จินกับแม่นางเสวียนเยวี่ยสนใจร่วมด้วยหรือไม่’

หลินสวินอึ้งไป ไม่ได้ตอบสนองทันที หากแต่กล่าวอย่างไตร่ตรอง ‘อู่หวง เถิงอี๋เฉิน กุยซานสิงสามคนนั้นล่ะ’

ลู่ตู๋ปู้กล่าว ‘พวกอู่หวงร่วมมือกันสามคนแล้ว’

หลินสวินกล่าว ‘เอาอย่างนี้แล้วกัน รอเข้าสู่แดนลับโลกาสวรรค์ หากมีโอกาสร่วมมือกัน ข้ากับแม่นางเสวี่ยนเยวี่ยย่อมไม่ปฏิเสธแน่’

ลู่ตู๋ปู้กล่าวพยักหน้าเนิบๆ ‘เช่นนี้ดีที่สุด’

ในขณะสนทนา พวกหลินสวินก็มาอยู่เหนือยอดเขางามวิจิตรเก่าแก่ลูกหนึ่งแล้ว โรยตัวลงบนที่ราบอย่างแผ่วพลิ้ว

 เยอะมากจริงๆ 

หวังถูมองดูรอบบริเวณ ละแวกที่ราบมีเงาร่างนับร้อยนับพันรวมตัวกันอยู่

ในจำนวนนี้ผู้แข็งแกร่งจากแคว้นอื่นถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่เดียวกัน พวกร้ายกาจจากโลกอื่นในฟ้าดาราก็กระจายตัวอยู่ในพื้นที่แถบเดียวกัน

นอกจากนี้ ผู้แข็งแกร่งจากแคว้นกลางมรรคอย่างหกเรือนมรรคใหญ่ก็รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่หนึ่ง

ดุจดั่งเตากระถางสามขา

ตอนที่พวกหลินสวินมาถึงก็เรียกสายตาสนใจไม่น้อยเช่นกัน

 ดูสิ เจ้าหมอนั่นก็คือจินตู๋อี สิบวันก่อนตอนมาถึงภูเขาเทพแสงเขียว เคยทำให้ข่งเจาเสียท่านิดๆ ด้วย 

 ดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ 

 นี่ต่างหากที่เรียกว่าคมในฝัก 

เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายต่างห้อมล้อมหลินสวิน แม้แต่พวกปีศาจจากโลกอื่นในฟ้าดาราและผู้สืบทอดหกเรือนมรรคใหญ่ก็ยังมองไปยังหลินสวินไม่น้อย

ข่งเจาเป็นถึงอันดับห้าในกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ ชื่อเสียงสะท้านฟ้าดารานานแล้ว แต่เมื่อสิบวันก่อนกลับถูกหลินสวินโจมตีบาดเจ็บ แม้จะบาดเจ็บเล็กน้อยแต่ก็ยังเรียกความสนใจได้มากอยู่ดี

และเพราะเหตุนี้ ตอนที่เห็นหลินสวินปรากฏตัวถึงได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และดึงดูดความสนใจขึ้นมา

 เฮอะ! 

ฝั่งที่เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ยืนอยู่ ข่งเจาสีหน้าอึมครึมไม่นิ่ง ในใจมีความโกรธกรุ่นอย่างบอกไม่ถูก

หลินสวินยิ่งถูกคนให้ความสนใจ ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกขายหน้ามากเท่านั้น!

‘ไอ้หนู รสชาติที่ถูกคนให้ความสนใจซาบซ่านมากใช่หรือไม่ เจ้าวางใจได้ รอเข้าสู่แดนลับโลกาสวรรค์ ข้าต้องฆ่าเจ้าแน่!’

เขาสื่อจิตเสียงเย็น ไม่ปกปิดไอสังหารของตนสักนิด

หลินสวินเหลือบมองเขาปราดหนึ่งด้วยสีหน้าราบเรียบ ลวไม่ได้สนใจอีก

‘จินตู๋อี พวกเราพบกันอีกแล้ว’

ไม่นานก็มีคนสื่อจิตอีกครั้ง

หลินสวินเหลือบตามองไป ก็เห็นฝั่งเรือนมรรคจักรวาล จวนอวี๋เหิงที่สวมอาภรณ์ม่วงทั้งตัว เงาร่างสูงกำยำมองมา

จวนอวี๋เหิงสีหน้าเรียบเฉย มองอารมณ์ไม่ออก กล่าวว่า ‘ครั้งก่อนในสำนักยุทธ์เสวียนจีแคว้นเมฆา ข้าเสียสมบัติชิ้นหนึ่งให้เจ้า ครั้งนี้ข้าอยากเอากลับคืนมาสามชิ้น’

หลินสวินมีภาพจำต่อคนผู้นี้ไม่เลวทีเดียว กล้าได้กล้าเสีย เปิดเผยตรงไปตรงมา แม้จะเป็นศัตรู ก็เป็นศัตรูที่ควรค่าให้ความเคารพอย่างยิ่งคนหนึ่ง

เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งกล่าวว่า ‘ข้าให้โอกาสเจ้าได้ แต่หากยังแพ้อีกก็อย่ามาตอแยข้าอีกเลย’

จวนอวี๋เหิงสีหน้าแข็งค้าง ปากเจ้าหมอนี่ช่างคมกริบเหมือนตอนนั้นไม่มีผิด…

‘ดี!’

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กัดฟันตอบกลับ

ไม่นานหลินสวินก็มองเห็นเงาร่างคุ้นเคยจำนวนหนึ่งอีกครั้ง

เช่นฮว่าซิงหลีจากเรือนมรรคเหล่ามาร ถังซูจากเผ่านักรบดาบคลั่ง หลิงเคอจื่อจากอารามโบราณยอดทักษิณ…

ฮว่าซิงหลีผมขาวดุจหิมะ ยาวลู่ระเอว ใบหน้างดงามมีเสน่ห์ บนแท่นสักการะแดนสามผนึกของแหล่งสถานคุนหลุนในปีนั้น ก็เคยสักการะอริยมรรค ชักนำลักษณ์ประหลาดน่าตกใจขึ้น

ถังซูจากเผ่านักรบดาบคลั่งกลับเป็นหญิงสาวที่อุปนิสัยใจกล้าถึงที่สุดคนหนึ่ง สวมชุดดำทั้งตัว เงาร่างอรชร ผิวพรรณเนียนขาวยิ่งกว่าหยกมันแพะ เจือประกายแวววาว

หลิงเคอจื่อจากอารามโบราณยอดทักษิณ เป็นภิกษุน้อยที่ผ่องแผ้วไร้เดียงสา ขอเพียงเห็นหลินสวินก็ออกอาการหัวหดหวาดกลัวยิ่งกว่าอะไรดี

นอกจากพวกเขา หลินสวินยังเห็นฉุนอวี๋เกอที่เคยมีวาสนาได้พบหน้ากันหนึ่งครั้งในแดนลับดอกท้อของแหล่งสถานคุนหลุนด้วย ว่ากันว่ามาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลฉุนอวี๋…

และยังมีเงาร่างคุ้นเคยจำนวนหนึ่ง ต่างก็เคยพบเจอในแหล่งสถานคุนหลุน แต่หลินสวินกลับไม่รู้จักชื่ออีกฝ่าย

แทบไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าใครที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคได้ ย่อมต้องไม่ใช่พวกธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน

 คนพวกนั้นก็คือพวกปีศาจที่มาจากโลกอื่นในฟ้าดารา! 

 เยอะมากจริงๆ มีห้าร้อยกว่าคนได้เลยกระมัง 

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ระลอกหนึ่งดังขึ้น เรียกความสนใจของหลินสวิน เพียงแต่ตอนที่สายตาเขามองไปทางปีศาจจากโลกอื่นๆ เหล่านั้น กลับไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว

นี่ปกติยิ่ง

ควรรู้ว่าทางเดินโบราณฟ้าดารากว้างใหญ่ไพศาลปานใด ลำพังแค่ในเขตแดนมหาดาราเก้าบน ก็มีโลกเล็กๆ ไม่รู้เท่าไหร่กระจายตัวอยู่

ตั้งแต่หลินสวินเข้าสู่ทางเดินโบราณฟ้าดาราจนบัดนี้ยังไม่ถึงสิบปีเต็ม ไม่มีทางเข้าใจเรื่องราวมากมายได้อย่างแน่นอน

แต่เขาเองก็รู้ดี พวกปีศาจจากโลกฟ้าดาราอื่นเหล่านี้ ในเมื่อมีคุณสมบัติเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคได้ เช่นนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

 หลิงหงจวงมาแล้ว 

ทันใดนั้นมีคนโพล่งขึ้นมา

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในลานแต่เดิมพลันหยุดลง ทุกสายตาต่างมองไปยังจุดเดียว

ไกลออกไปประกายแสงแดงเพลิงไหลเคลื่อน พลันกลายเป็นเงาร่างงามหยดย้อยน่าหลงใหลสายหนึ่ง นางสวมชุดสีดำทั้งตัว ผมสลวยดำขลับถักเป็นเปียห้อยระอยู่ด้านหลัง เผยใบหน้างามตะลึงเย็นชา

พร้อมๆ การมาถึงของนาง สีหน้าของคนไม่น้อยล้วนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

หลิงหงจวง!

ผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคโลกาสวรรค์ เวลาสั้นๆ ไม่ถึงร้อยปีก็ยึดครองอันดับสามในกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์อย่างเหนียวแน่น ทำให้ผู้กล้ามากมายต้องค้อมกายให้!

 หวงฝู่เซ่าหนง ข้ามาแล้ว เจ้ายังไม่โผล่หน้ามาอีกหรือ 

หลังจากหลิงหงจวงปรากฏตัวก็มองข้ามสายตาสังเกตมากมายในที่นั้นตรงๆ เอ่ยปากเนิบนาบ

 ฮ่าๆ ข้ามานานแล้ว เพียงแต่ในสายตาเจ้าหลิงหงจวงไม่มีข้าก็เท่านั้น 

เสียงหัวเราะสดใสสายหนึ่งดังขึ้น ตามมาติดๆ คือชายหนุ่มที่สวมชุดศึกสีเหลืองสว่าง มาดสบายๆ คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในลาน

เงาร่างของเขาตั้งตรงดุจหอก นัยน์ตาเจิดจ้า ทุกท่วงท่าอิริยาบถมีมาดโดดเด่นที่เหยียดแคลนภูผาธารา หัวเราะเยาะผู้คน

ในลานฮือฮาขึ้นมาอีกระลอกพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของเขา

หวงฝู่เซ่าหนง!

ผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคจักรวาล อันดับสองกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ ในช่วงที่หมีอู๋หยายังไม่ผงาด ก็มีเขาเป็นอันดับบหนึ่ง ครองอำนาจเหนือกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์!

ชั่วขณะเดียวสายตาทุกคู่ในลานแทบจะถูกหลิงหงจวงกับหวงฝู่เซ่าหนงดึงดูดไปสิ้น

นี่ก็คือบารมี!

เมื่อเทียบกันแล้ว ‘จินตู๋อี’ ที่หลินสวินปลอมตัวอยู่ ชื่อเสียงก็จำกัดอยู่แค่ในแคว้นเมฆาเท่านั้น

แต่หลิงหงจวงกับหวงฝู่เซ่าหนง ล้วนเป็นบุคคลสะดุดตาที่ชื่อเสียงสะท้านโลกใหญ่หงเหมิง ทั่วหล้าต่างรู้จัก

คนเดียวที่ข่มบารมีของพวกเขา บางทีอาจมีเพียงหมีอู๋หยาที่อยู่อันดับหนึ่งในกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์เท่านั้น

 สหายยุทธ์หมีอู๋หยาล่ะ เหตุใดไม่เห็นเขาปรากฏตัว 

มีคนถาม

สายตามากมายล้วนมองไปทางฝั่งที่เรือนมรรคยุทธจักรอยู่ เพราะหมีอู๋หยาก็คือผู้สืบทอดแกนหลักของเรือนมรรคยุทธจักร

 ศิษย์พี่หมีของพวกข้ากำลังเร่งเดินทางมา 

ผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคยุทธจักรคนหนึ่งเอ่ยปากเรียบๆ มีความภาคภูมิใจที่คล้ายมีแต่ไม่มีอย่างหนึ่ง

ศิษย์พี่หมีอู๋หยาไม่มา แต่ใครก็ไม่มองข้ามตัวตนของเขา!

เพราะเขาเป็นผู้อหังการที่เป็นตำนาน ครองอันดับหนึ่งในกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์มาหกร้อยปี จนตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้

ทันใดนั้นมีคนเอ่ยปาก  เฮอะ มาดของหมีอู๋หยานี่นับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ 

ประโยคเดียวทำเอาผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคยุทธจักรต่างอึ้งไป จากนั้นสีหน้าพลันมืดทะมึน ในสถานการณ์เช่นนี้ถึงกับมีคนกล้าพูดจาไม่เคารพศิษย์พี่หมีอู๋หยา!

คนอื่นๆ ในที่นั้นต่างก็ตกใจเช่นกัน

ไม่นานพวกเขาก็มองเห็นคนพูด เป็นชายหนุ่มเงาร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง อาภรณ์พลิ้วไสว เอามือไพล่หลัง

ตอนที่มองไปทางเขา ดวงตาคนมากมายล้วนเจ็บแปลบระลอกหนึ่ง คล้ายมองกระบี่เทพสะท้านโลกที่เสียบทะลุชั้นเมฆเล่มหนึ่ง คมประกายเจิดจ้า!

คนมากมายล้วนมึนงง คนผู้นี้เป็นใคร

มีเพียงนัยน์ตาของคนกลุ่มเล็กๆ ที่หดรัด เยวี่ยหรูหั่ว!

เขาถึงกับมาแล้วจริงๆ!

ตอนที่หลินสวินมองไปทางคนผู้นี้ก็เกิดความรู้สึกแปลกพิกลขึ้นมาในใจอย่างอดไม่ได้ กลิ่นอายกร้าวแกร่งยิ่งนัก เมื่อเทียบกับหลิงหงจวง หวงฝู่เซ่าหนงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย

 ไม่ใช่มาดเขานับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นพวกเราไม่เคยปรากฏตัวออกมานานเกินไปต่างหาก… 

เสียงอ่อนนุ่มสายหนึ่งดังขึ้น

จากนั้นไอมารสีดำแถบหนึ่งก็คละคลุ้งขึ้นดุจพยับหมอก เงาร่างสูงใหญ่สายหนึ่งเดินออกมาจากในนั้น อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ไม่เปื้อนราคี

ทั่วร่างเขามีกลิ่นอายสว่างไสว แต่ยามก้าวเดิน ใต้เท้ากลับปรากฏแผนภาพมรรคมารที่แปลกพิสดารน่าสะพรึงในทุกย่างก้าว!

 

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท