ที่ถนนใหญ่
รถม้าคันสูงที่มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ทั้งด้านหน้าด้านหลังห้อมล้อมไปด้วยทหารม้าในชุดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน บรรยากาศอันสูงส่งของพวกเขาดูข่มขู่คุกคาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนตัวกลับ แผ่นหลังของนางแนบชิดติดผนัง พลางหันหน้าไปบุ้ยใบ้กับเจ้าแมวขาว นางตั้งใจจะบอกให้มันเข้าไปในมิติสวรรค์
นางเอี้ยวตัวไปด้านข้าง หันหน้าไปยังทิศที่รถม้ากำลังมา แล้วลอบมองมันพร้อมกับแผ่นหลังที่สั่นสะท้านเล็กน้อย
ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไรองค์ชายสามผู้นี้ก็ยังยืนกรานว่าจะต้องจับตัวนางให้ได้
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาด้วยตัวเองเช่นนี้!
“แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไรกันดี” นานทีปีหนหยวนหมิงถึงจะหรี่ตาลงสักครั้ง เขาก็รู้สึกเช่นกันว่าองค์ชายสามผู้นี้ยากที่จะรับมือเป็นอย่างยิ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยวิเคราะห์สถานการณ์ “เราจะปะทะกับเขาซึ่งๆ หน้าไม่ได้”
“ซ้ายขวาหน้าหลัง ทุกทางต่างก็มีปฏิกิริยาของพลังปราณ แม่นาง เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร” หยวนหมิงเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงของเขาเย็นชาขึ้นอีก “มันหมายความว่าพวกเราถูกล้อมเอาไว้แล้ว เขารู้ว่าเจ้าอยู่ใกล้ๆ นี้”
“ถอยก่อน” นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยกำแน่น ก่อนร่างของนางจะผลุบหายเข้าไปในตรอกข้างๆ ด้วยท่วงท่าอันงดงาม
หยวนหมิงมองตรอกที่คล้ายถูกปิดตายเอาไว้ แล้วผิวปากหวือทีหนึ่ง “ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางให้หนีได้แล้ว” ผู้ชายคนนั้นโหดเหี้ยมจริงๆ แม้แต่ตรอกเล็กๆ แค่นี้ ก็ยังไม่ยอมเปิดโอกาสให้พวกเขาใช้หลบหนีได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลุบตาลง แต่ในตอนที่นางยกมือขึ้น และกำลังจะใช้พลังปราณของตนนั่นเอง จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงไอเบาๆ ที่ถูกกลั้นเอาไว้ดังขึ้นเสียก่อน
“ลุงเหลียง เกิดอะไรขึ้นข้างนอกหรือ” เสียงนั้นฟังดูคล้ายกับเสียงน้ำที่ก้องกังวานอยู่ท่ามกลางท้องถนนอันวุ่นวาย และน่าประหลาดใจที่มันดูเหมือนจะสามารถทำให้ทุกความวุ่นวายนั้นสงบลงได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหูผึ่ง จากนั้นจึงดึงหยวนหมิงหลบไปข้างๆ พลางมองรถม้าที่หยุดอยู่บริเวณปากทางเข้าตรอก ในดวงตาของนางมีประกายสว่างสดใสแล่นผ่าน
ภายนอกของรถม้าคันนั้นไม่ได้ดูสวยงามแต่อย่างใด มันเป็นสีขาวบริสุทธิ์ทั้งคัน ไร้ซึ่งการตกแต่งที่ไม่จำเป็น หน้าตาจึงออกมาธรรมดาเสียไม่มี รถม้าลักษณะนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในเมืองหลวง
พ่อค้าที่มีเงินสักหน่อยก็คงพอหาซื้อรถม้าแบบนี้ได้ ไม่เหมือนกับรถม้าของคุณชายผู้ร่ำรวยอย่างเฮยเจ๋อ หลังคารถม้าของเขาทาด้วยสีทองสุดแสนจะหรูหราอลังการ
แต่สิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยสนใจคือเจ้าม้าสีดำตัวพ่วงพีที่ลากรถอยู่ต่างหาก
แม้ว่ามันจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อหุบปีกของตนเอาไว้ และผู้เป็นนายจะอุตส่าห์หาอานม้าชนิดพิเศษมาให้มันใส่แล้วก็ตาม
แต่ของพวกนั้นก็ไม่อาจหลอกสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ ม้าตัวนั้นไม่ใช่ม้าธรรมดา
“นั่นมันม้าลมทมิฬนี่!” แม้แต่ตอนที่หยวนหมิงเห็นรถม้าคันนั้น ใบหน้าของเขาก็ยังเผยความประหลาดใจออกมาเล็กน้อย เป็นที่รู้กันดีว่าปกติแล้วมันควรจะซ่อนตัวอยู่ในป่าวิญญาณ แต่มันกลับยินยอมถูกมนุษย์ควบคุมเอาไว้เช่นนี้ได้อย่างไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากบางขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายและมองหยวนหมิง
ในชั่วพริบตา ร่างของนางก็หายไปจากตำแหน่งเดิมที่เคยอยู่
ที่ด้านหน้าของรถม้าคันนั้น บ่าวรับใช้วัยกลางคนผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากที่บังคับรถ ใบหน้าใจดีของเขาหันไปทางผ้าม่านของรถม้า แล้วโค้งคำนับด้วยความเคารพนอบน้อม “คุณชาย พวกเขาเป็นองครักษ์ของคนในราชวงศ์ขอรับ ดูเหมือนกำลังหาใครคนหนึ่งอยู่…”
“องครักษ์ของคนในราชวงศ์หรือ” มือผอมซีด แต่กลับเต็มไปด้วยพละกำลังอย่างอธิบายไม่ถูกคู่หนึ่งยื่นออกมาจากด้านในของรถม้า ก่อนจะเลิกม่านขึ้น เสื้อคลุมสีขาวราวงาช้างแกว่งไปมาเล็กน้อยในอากาศ เสียงไอดังขึ้นเบาๆ “ตอบคำถามพวกเขาให้สุภาพก็พอ อย่าก่อเรื่องให้ผิดใจกันล่ะ”
บ่าวรับใช้วัยกลางคนค้อมศีรษะลง แล้วเอ่ยตอบ ความเคารพนอบน้อมนั้นไม่ได้หายไปแม้แต่นิดเดียว “ขอรับ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ยกให้ข้าจัดการเถิด คุณชายวางใจได้เลยขอรับ”
“ฝากด้วย” น้ำเสียงที่ลื่นไหลราวสายน้ำหยุดไป ตามด้วยม่านของรถม้าที่ปิดลง
ชายหนุ่มคนนั้นหันหน้ากลับมา เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ซ่อนอยู่ในรถม้าจึงมีโอกาสได้เห็นหน้าตาของเขาชัดๆ
ใบหน้าด้านข้างของเขางดงามราวกับภาพวาดในบทกวีที่ปกคลุมไปด้วยชั้นแสงบางๆ ส่องประกาย ริมฝีปากสวยได้รูปดูซีดจางเนื่องจากอาการป่วยที่รุมเร้ามานานหลายปี แต่กระนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ของเขาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นการเพิ่มความอ่อนโยนให้กับเขาแทน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขานั้นไร้ที่ติ ตอนที่ยิ้ม ดวงตาเรียวแคบคู่นั้นจะโค้งขึ้นครึ่งหนึ่ง รูปโฉมของเขานั้นเหมือนดังสายลมสดชื่นภายใต้ดวงจันทร์อันเยือกเย็น ดูดีจนไม่น่าเชื่อ เสื้อคลุมสีขาวธรรมดาๆ ที่สวมอยู่ก็เข้ากับเขาเป็นอย่างดี ทำให้เขาดูราวกับคนที่เพิ่งก้าวเท้าออกมาจากดวงจันทร์
“เจ้า…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเห็นดวงตาอันสงบนิ่งไร้ซึ่งความหวั่นไหวของเขามีแสงเล็กๆ วาบผ่านอย่างชัดเจน
“ชู่” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจเรื่องระยะห่างระหว่างชายหญิง มือข้างขวาของนางปิดปากเขาเอาไว้ในทันที แล้วยิ้มออกมาจางๆ “ข้ามิใช่คนที่นิยมความรุนแรง ดังนั้นคงต้องขอให้คุณชายให้ความร่วมมือกับข้าสักหน่อย”
ชายหนุ่มชำเลืองมองมีดสั้นที่จ่อเข้ามาใกล้คอของตน สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ขณะเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าคือคนที่องค์ชายสามกำลังหาตัวอยู่”
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ลงเพราะความเฉลียวฉลาดของชายหนุ่ม…
ในระหว่างนั้นก็มีรถม้าอีกคันขับเข้ามาจอดเทียบ แม้ว่าระหว่างพวกนางจะมีม่านของรถม้าขวางเอาไว้ก็ตาม แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกกดดันอันรุนแรงได้
มีดสั้นในมือถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยกำแน่น นางกำลังจะคิดหาแผนการอื่น
แต่แล้วในระหว่างที่ชายคนนั้นไอออกมาเบาๆ เขาก็พูดขึ้นเพียงสองคำว่า “หมอบลง”
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกายขณะมองชายหนุ่มด้วยสายตาลึกล้ำ จากนั้นจึงก้มตัวลงอย่างรวดเร็ว
และในเวลานั้นเอง
ม่านรถม้าก็พลันถูกสายลมอันเย็นเยียบสายหนึ่งพัดจนเปิดออก
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่หมอบติดพื้นเห็นแสงอาทิตย์รำไรลอดเข้ามา นางจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง
ไกลออกไปนั้น นางเห็นเพียงแค่ว่ามีคนคนหนึ่งกำลังสาวเท้าเดินมาทางนี้ทีละก้าว
ทุกย่างก้าวของเขาราวกับถูกคำนวณเอาไว้เป็นอย่างดี ขาทั้งสองข้างนั้นราวกับกำลังเดินอยู่บนก้อนเมฆ ทุกก้าวล้วนเต็มไปด้วยความชั่วร้ายรุนแรง ท่าทางนั้นเย็นชาไม่แยแส แต่ก็ยังสง่างามจนไม่มีผู้ใดกล้าที่จะหยุดเขาเอาไว้
เฮ่อเหลียนเวยเวยคล้ายกับได้ยินเสียงล้อรถลั่น
ทั่วทั้งตรอกดูราวกับหยุดเคลื่อนไหว
แทบทุกคนล้วนแต่จ้องมองไปยังคนที่เดินลงมาจากรถม้าคันนั้น ชายหนุ่มเหมือนเทพที่มาปรากฏกายในโลกมนุษย์ แม้แต่ลมหายใจของคนที่เห็นก็ราวกับถูกกักเอาไว้ในลำคอ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผลอหมอบลงต่ำกว่าเดิม จนกระทั่งอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้น…
ใกล้มากเสียจนระหว่างพวกนางเหลือแค่ผนังบางแสนบางของรถม้ากั้นเอาไว้
เขามีกลิ่นอายสูงศักดิ์บริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครคนไหนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยเจอ ระหว่างที่เคลื่อนไหวผ่านร่มเงาและแสงแดดที่สาดส่องลงมา ก็แผ่อำนาจที่ทำให้หัวใจของใครต่อใครสั่นไหวไปพร้อมกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบกลั้นหายใจทันที
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันมามองทางนี้ ในดวงตาลึกล้ำยากจะหยั่งถึงของเขามองดูทุกอย่างอย่างไม่แยแส ราวกับว่าต่อให้ถนนทั้งสายจะเกิดความโกลาหลขึ้นเพราะเขา แต่เรื่องนั้นก็หาได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาไม่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเข้าไปในรถม้า จากนั้นสายตาของเขาจึงหยุดอยู่ที่ร่างของชายหนุ่มที่ยิ้มบางๆ พร้อมกับไอออกมาเล็กน้อยคนนั้น
ชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้ลงมาจากรถม้า แต่ทำเพียงค้อมศีรษะอย่างสุภาพด้วยท่วงท่างดงามราวกับหินหยก “กระหม่อมคารวะฝ่าบาท ไม่คิดว่าจะได้พบพระองค์ที่นี่ “
“คุณชาย…” ลุงเหลียงนึกอยากจะเดินเข้าไป แต่ก็ถูกสายตาของชายหนุ่มคนนั้นทำให้ต้องหยุดยืนอยู่ตรงจุดที่ไกลออกไป
สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา “กิจวัตรประจำวันน่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังหมอบอยู่ใต้เบาะนั่งในรถม้าจนผมเผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นถึงกับส่งเสียงร้อง ‘โอ้โห’ กับตัวเอง กิจวัตรประจำวันหรือ องค์ชายช่างเป็นคนที่หน้าเนื้อใจเสือจนน่ากลัวเลยจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเขาก็แค่เล่นสนุก และพลิกทุกอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือเพียงเพื่อที่จะจับตัวนาง กระนั้นพอออกจากปากของเขากลับกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน เรื่องนี้คงทำให้คนจากสี่ตระกูลใหญ่ที่ต้องการเข้าพบอดีตฮ่องเต้เพื่อหาเรื่องตำหนิเขาถึงกับไม่สามารถสรรหาคำใดไปยื่นคำร้องได้เลยกระมัง
“ผ่านได้” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังขึ้นอีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยสาบานว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่นางรู้สึกว่าเสียงขององค์ชายสามช่างไพเราะเสนาะหูนางเท่าครั้งนี้มาก่อน
แต่ว่า!
ในตอนที่นางกำลังจะยันตัวลุกขึ้น
นางก็ได้ยินไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดขึ้นอีกครั้งว่า “เดี๋ยวก่อน…”