“แล้วเจ้าคิดว่าเป็นเพราะเหตุใดล่ะ” นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงัก เขามองนางอย่างเย็นชา น้ำเสียงของเขายังคงไม่แยแสเช่นเดียวกันกับก่อนหน้านี้
คิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกขึ้น ก็เพราะนางไม่รู้น่ะสิ ถึงได้ถามออกไป
“ถ้าในสมองของเจ้าไม่ได้มีแต่ฟางข้าว ก็คงมีแต่เต้าหู้เหม็น” ในน้ำเสียงเหน็บแนมของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นมีความเย้ายวนแฝงอยู่เล็กน้อย “ต้องเป็นเพราะว่าสีผิวของเจ้าสร้างความประทับใจให้กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดีน่ะสิ หากไม่ใช่เช่นนั้น แล้วจะมีเหตุผลอื่นใดอีกหรือ กระทั่งบุรุษก็ยังไม่ตัวดำเท่าเจ้าเลย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องเขาเขม็ง องค์ชายสามคนนี้ช่างไม่น่ารักเอามากๆ เลย!
นางแค่ถามเพิ่มหน่อยเดียว เขาถึงขนาดต้องพูดจาทำร้ายถึงตัวบุคคลเชียวหรือ หลังจากล้อเลียนเรื่องสติปัญญาของนางไปแล้ว เขาก็ยังล้อเลียนเรื่องสีผิวของนางด้วย…
เมื่อเห็นศีรษะเล็กๆ นั้นก้มลง มุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เผลอกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายเย็นชา “แต่ก็น่าสนใจดี”
น่าสนใจหรือ
เหอะๆ
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก เขาคิดว่าตัวเองกำลังเลือกตัวนำโชคอยู่หรืออย่างไร
“ในเมื่อเจ้าเป็นคนเสนอความคิดนี้ขึ้นมาเอง เช่นนั้นเจ้าก็ต้องทำตามข้อตกลงนี้ให้ได้” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่ชอบคนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ หลังจากกลับไปถึงเมืองหลวง เจ้าจะต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมดให้กับการแข่งขันประลองยุทธ์ เสด็จปู่เป็นคนฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเสียงเบา “ขอองค์ชายอย่าได้เป็นกังวล ในเมื่อข้าตกลงให้ความร่วมมือในฐานะชายาขององค์ชายสามแล้ว ข้าย่อมไม่ทำให้ท่านเสียหน้าอย่างแน่นอน”
“อย่าประเมินตัวเองต่ำนัก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดเบาๆ เพราะระหว่างนางกับเขามีระยะห่างเพียงนิดเดียวเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นลมหายใจของเขาจึงรดลงมาที่หลังใบหูของนางอย่างแผ่วเบา อาการชาหนึบจนแทบทำให้หมดสิ้นเรี่ยวแรงแล่นเข้าจู่โจมนางในทันใด “เป็นตัวของตัวเองก็พอ ไม่มีอะไรให้ข้าต้องรู้สึกเสียหน้าหรอก”
เอ๋?
เฮ่อเหลียนเวยเวยช้อนสายตาขึ้นอย่างช้าๆ คำพูดเหล่านั้นเป็นแค่คำง่ายๆ เพียงไม่กี่คำ แต่พวกมันกลับทำให้ภายในใจของนางเกิดความผิดปกติขึ้นมาเล็กน้อย
“แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอ”
จากคำพูดนี้เพียงประโยคเดียว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ตัดสินใจได้ว่าในอนาคตนางจะพยายามอยู่ร่วมกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างสันติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อย่างไรนางก็ยังคงมีแผนสำรองเผื่อเอาไว้ นางจะใช้แผนนั้นก็ต่อเมื่อหมดสิ้นหนทางแล้วเท่านั้น
“เข้าใจหรือไม่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มลงมองนาง ขนตาหนาทิ้งตัวเกิดเป็นเงาชวนมอง ตอนที่นางเงยหน้าขึ้น สายตาของนางก็พบเข้ากับริมฝีปากบางของเขา มันงดงามแต่ก็น่าเกรงขามมิใช่น้อย “ในเมื่อเจ้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว เช่นนั้นก็ออกเดินทางกันเสียที”
“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ” คิ้วได้รูปของเฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกขึ้น นางยังไม่ทันได้ไปเก็บเงินเลยด้วยซ้ำ “ไปไม่ได้ ข้ายังมีเรื่องต้องทำอยู่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลดความเร็วฝีเท้าลง “เรื่องอะไร”
“เรื่องส่วนตัวนิดหน่อย” แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่คิดที่จะเปิดเผยข้อมูลให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้ทั้งหมด ไม่ใช่เพราะนางต้องระวังเขา แต่เป็นเพราะนางกับเฮยเจ๋อตกลงกันเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะให้ใครรู้เรื่องที่นางกับเขาเปิดร้านร่วมกันไม่ได้ต่างหาก สาเหตุหลักที่นางมาถึงเมืองอู่ซิวก็เพื่อพบกับเฮยเจ๋อ ต่อให้นางอยากจะกลับไป ก็ยังจำต้องรอจนกว่านางจะสะสางเรื่องธุรกิจให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองนาง แล้วเสียงของเขาก็ดังขึ้นว่า “หนึ่งวัน ข้าจะให้เวลาเจ้าแค่หนึ่งวันเท่านั้น”
“ท่านก็จะอยู่ต่อเหมือนกันหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าการทำเช่นนั้นมันอันตรายเกินไปหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงออกจากตัว “ไม่มีเรื่องใดที่เป็นอันตราย”
“แต่ดูจากท่าทางของเจ้าอันธพาลตัวน้อยนั่น ดูเหมือนว่าระหว่างพวกท่านทั้งสองจะมีเรื่องบาดหมางกันอยู่นะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดอ้อมๆ อันที่จริงนั้นนางอยากจะบอกว่า ‘สายตาที่เขาใช้มองท่านเหมือนกับกำลังจะบอกว่าเขาคันไม้คันมืออยากสังหารท่านจนใจจะขาดอยู่แล้ว’
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียง ‘อืม’ ออกมาครั้งหนึ่ง “เรื่องสมัยพวกข้ายังเป็นเด็กน่ะ ไม่มีอะไรมาก ข้าก็แค่อยากให้เขาแต่งชุดผู้หญิง แต่เขาไม่ยอมใส่ ดังนั้นข้าก็เลยเป็นคนเอาไปใส่ให้เขาด้วยตัวเองก็แค่นั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวย “….”
องค์ชาย ท่านหยุดพูดเรื่องวิตถารพรรค์นั้นออกมาด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนเช่นนี้ได้ไหม
บังคับให้เด็กหนุ่มแต่งชุดผู้หญิงหรือ
ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่นี้ ทุกครั้งที่เจ้าอันธพาลตัวน้อยนั่นมองท่าน เขาถึงได้ทำหน้าเหมือนอยากสับท่านเป็นชิ้นๆ ให้ตายในไม่กี่นาที!
มีเด็กหนุ่มที่ไหนอยากแต่งชุดผู้หญิงด้วยหรือ!
“ถ้าเกิดเจ้าอันธพาลตัวน้อยนั่นไปรวบรวมกำลังมาเพิ่มจะทำอย่างไรล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นางไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าอันธพาลตัวน้อยนั่นจะกลืนความเคียดแค้นนี้ได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดแขนเสื้อของตนด้วยท่าทางสบายๆ ไม่เร่งร้อน และตอบว่า “ข้าไม่เปิดโอกาสให้เขาทำเช่นนั้นได้แน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกมาตลอดว่าวันนี้องค์ชายสามดูหงุดหงิดกว่าทุกวัน ทันใดนั้นนางก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าเขาจะจัดการกับเจ้าอันธพาลตัวน้อยนั่นอย่างไร
แต่สิ่งแรกที่นางควรทำคือการสวดภาวนาให้กับเจ้าอันธพาลตัวน้อยนั่นเงียบๆ ไปก่อน อมิตาพุทธ ขอให้พระพุทธองค์ทรงปกปักรักษาเจ้าด้วย
เพื่อที่จะจัดการเรื่องธุรกิจให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงไม่ได้กลับไปพร้อมกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แต่ก็เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ไม่มีผิด ตอนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มรูปงามคนนั้น เขาก็ไม่ได้อ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริง เมื่อกิเลนอัคคีเห็นว่าผู้เป็นนายกลับมาแล้ว มันก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ใบหน้าของเด็กหนุ่มรูปงามคนนั้นบึ้งตึงอย่างที่สุด “ท่านพี่ หากท่านมีความสามารถจริง เช่นนั้นก็เลิกให้กิเลนอัคคีกักข้าเอาไว้ แล้วเรามาสู้กันตัวต่อตัวดีกว่า”
“กับเจ้าหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลืมตาขึ้น พลางปรายตาไปมองเขา
เด็กหนุ่มรูปงามคนนั้นยืดอกเล็กๆ ของตนทันที แล้วทำท่าทางราวกับกำลังพูดว่า ‘ท่านปู่ ข้าพร้อมที่จะออกรบได้ทุกเมื่อขอรับ’
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยต่ออย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่สนใจ”
โทสะของเด็กหนุ่มรูปงามคนนั้นปะทุขึ้นในทันที เขาเริ่มกัดฟันกรอด “เช่นนั้นก็ปล่อยข้าไปสิ! ข้าง่วง!”
“วันนี้เจ้าก็นอนที่นี่กับข้าสิ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเชิดคางขึ้น ทำท่าเหมือนไม่เห็นเปลวไฟแห่งความโกรธที่อยู่ภายในดวงตาของเด็กหนุ่มรูปงาม
เด็กหนุ่มรูปงามยิ้มเยาะเย้ย “ท่านกลัวว่าข้าจะไปพาทหารมาหรือไง ช่างเถอะ อย่างไรเสียท่านก็ยังเป็นพี่ชายของข้า ครั้งนี้ถึงไม่เต็มใจ แต่ข้าก็จะปล่อยท่านไป แล้วก็จะนอนที่นี่ด้วย แต่ตอนกลางคืนท่านห้ามนอนกัดฟัน แล้วก็ห้ามกรนนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะนอนไม่หลับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้วเป็นปม แล้วมองสีหน้าของอีกฝ่ายด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนบ้า “ใครบอกเจ้าว่าข้าจะให้เจ้านอนบนเตียง”
เด็กหนุ่มรูปงามถึงกับสับสนไปครู่หนึ่ง “อะไรนะ”
“นอนบนพื้น” คำสามคำถูกกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส จากนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หันไปทางม้านั่งและเดินไปทางนั้นทันที
เด็กหนุ่มรูปงามมองแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวและเย็นชาของเขาพร้อมกับพองลมที่แก้มจนหน้ากลายเป็นซาลาเปา ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกท่านพี่กลั่นแกล้งอยู่เลยนะ
ทำไมล่ะ
เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
เด็กหนุ่มรูปงามดูเหมือนเพิ่งจะคิดอะไรออก ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาในทันที “ท่านพี่คงสนใจหุ้นส่วนของข้ามากทีเดียว”
มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังถอดเสื้อของตนอยู่เคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย แต่จากมุมที่เด็กหนุ่มรูปงามนั่งอยู่นั้นไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้
เมื่อเด็กหนุ่มรูปงามเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ตั้งใจจะใช้ยาแรงกับเขา “อันที่จริง ข้าได้ยินมาว่าหุ้นส่วนของข้าไม่ชอบท่านพี่เลยแม้แต่นิดเดียว และเพื่อที่จะปฏิเสธการเลือกพระชายาของท่านพี่ นางก็เลยหนีมาจนถึงเมืองอู่ซิวนี่”
เช่นเดิม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงไม่ใส่ใจเขา และทำเพียงยื่นมือโยนชุดของตนลงบนเก้าอี้ไม้ จากนั้นจึงค่อยๆ หยิบถ้วยชากระเบื้องเคลือบที่วางอยู่บนโต๊ะไม้
เด็กหนุ่มรูปงามขมวดคิ้ว หรือเขาจะเดาผิด
จริงๆ แล้วท่านพี่ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยคนนั้นเลยหรือ
เพียงเพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยเสียมารยาทต่อเขา เขาก็เลยมาลากตัวนางออกไปเหมือนเมื่อครู่หรือ
เด็กหนุ่มรูปงามไม่ยอมแพ้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะยั่วโมโหอีกฝ่ายไม่ได้!
ดวงตาสุกใสเป็นประกายเหลียวมองอีกฝ่าย ปากก็ยังพูดต่อว่า “ข้าไม่นึกไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าจะมีวันที่ท่านพี่ถูกปฏิเสธกับเขาเหมือนกัน แต่พอมาลองคิดดูให้ดีแล้วก็นับว่าสมเหตุสมผลทีเดียว อย่างไรเสียเวลาที่ผู้หญิงเขามีคนในดวงใจแล้ว ต่อให้จะมีชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบเพียงใดมายืนอยู่ต่อหน้า นางก็คงไม่หวั่นไหว ท่านพี่อาจจะยังไม่รู้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นส่วนของข้ากับคุณชายรองของตระกูลเฮยนั้นไม่ได้เป็นแค่ศิษย์ร่วมสำนักแน่นอน…” กับข้าหรือ”
นางอยากจะถามคำถามนี้มาตลอด นางอาจจะเคยทำให้เขาขุ่นเคืองใจมาก่อนก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่นางออกมาจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ นางก็ไม่เคยเจอเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หากพูดตามหลักของเหตุผลแล้ว เขาก็น่าจะลืมนางไปตั้งนานแล้ว
แต่ทำไมจู่ๆ ตอนนั้น เขาถึงมอบดอกไม้ให้กับนางเล่า…