เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่นึกว่าเขาจะทำเช่นนี้ นี่คือเหตุผลที่เขาสามารถทำให้บรรดาหญิงสาวทุกคนต่างมีอาการมึนงง เมื่อใบหน้าอันหล่อเหลานั้นขยับเข้ามาใกล้ และหัวใจของนางเองก็เต้นผิดไปครึ่งจังหวะเช่นกัน
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร และไม่ได้ถอยหนีไปแม้แต่น้อย ขาทั้งสองข้างของนางยังคงอยู่กับที่ และดวงตารูปหงส์ของนางก็มองตรงเข้าไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย รอยยิ้มของนางไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
ในทางตรงกันข้าม เหล่าศิษย์ที่กำลังรับประทานอาหารเย็นต่างก็หันมองพวกเขา และมีสีหน้าที่แตกต่างกันไป
“นายท่านขอรับ” เงาทมิฬที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างพูดเตือนอย่างอ่อนแรง และหวังเพียงว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงโกรธเคืองจนทำลายโรงอาหารของสำนักจนเป็นซาก
อย่างไรก็ตาม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้ม เขาค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้หูของเฮ่อเหลียนเวยเวย และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำและเย้ายวน “หากลูกค้าคนนั้นคือเจ้า ข้าก็อาจพิจารณาดู และจะขายแค่ร่างกายของข้า ไม่ใช่ขายความบันเทิง”
(หมายเหตุ คำพูดต้นฉบับของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มีหญิงสาว ‘ชนชั้นสูง’ ที่อยู่ในหอนางโลม และขายแค่ความบันเทิง เช่น การร้องเพลง หรือเล่นดนตรี แต่ไม่ได้ขายเรือนร่างของนาง)
ใบหูของเฮ่อเหลียนเวยเวยร้อนผ่าว และผลักเขาออกไป พร้อมกับมองชายหนุ่มผู้ร้ายกาจที่อยู่ตรงหน้า แล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อย่าพูดมากเลย อีกไม่นาน ท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว และการปล่อยให้คนอื่นรอ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”
“มีคนอื่นด้วยหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นสนุกกับผู้อื่นเช่นกัน ขณะที่เขาพับปกคอเสื้ออย่างผ่อนคลาย และมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างแปลกใจ คิ้วยาวของเขาขมวดเป็นปม
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบ ‘อืม’ หนึ่งครั้ง และเล่าเหตุการณ์ให้เขาฟัง “ข้าไม่แน่ใจว่าพลังปราณของเจ้าอยู่ในระดับใด แต่การเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะบังเอิญมีใครบางคนบอกว่าเขาสามารถช่วยสอนพวกเราได้”
“อ้อ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดอย่างเกียจคร้าน และมีท่าทีที่ดูสนใจ แต่คนที่รู้จักเขาต่างก็รู้ดีว่าสีหน้าเช่นนี้คือการแสดงเท่านั้น
เงาทมิฬที่เดินตามพวกเขาสองคนอ้าปากค้าง ไม่ควรมีผู้ใดในจักรวรรดิจ้านลงที่สามารถสอนฝ่าบาทได้…
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็รู้ว่าเขาไม่ได้กระตือรือร้นขนาดนั้น ก่อนจะยิ้มให้ “อาจารย์ของพวกเราคือห้วนหมิงเสียง”
นิ้วมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ โดยไม่ได้พูดอะไร
แต่เงาทมิฬนั้นอึ้งไปแล้ว ผู้อาวุโสห้วนเช่นนั้นหรือ
ถ้าอย่างนั้น ตัวตนของฝ่าบาทจะไม่ถูก…
“พวกเจ้ารู้จักผู้อาวุโสห้วนด้วยเช่นนั้นหรือ” สายตาอันเฉียบแหลมของเฮ่อเหลียนเวยเวยจับปฏิกิริยาของเงาทมิฬได้ แล้วดวงตารูปหงส์ของนางก็หรี่ลง
เงาทมิฬไม่สามารถโต้ตอบได้อยู่ครู่หนึ่ง นิ้วมือของเขาแข็งทื่อ ขณะที่กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อแก้ตัว เขากลัวว่าหากพูดผิดเพียงคำเดียว ก็จะทำลายแผนการของฝ่าบาท
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงมองเขาอย่างเรียบเฉยและสุขุมเหมือนกับแต่ก่อน “ในอดีต โชคชะตาเคยทำให้ข้าพบเจอกับเขาอยู่หลายครั้ง ผู้อาวุโสห้วนเคยเป็นรัฐบุรุษอาวุโสให้กับฮ่องเต้ถึงสามรุ่น ภายในจักรวรรดิจ้านหลงแห่งนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักเขา”
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเคยพบเขามาก่อน” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง “นั่นยิ่งดีเลย ไปทำให้เขาประหลาดใจกันเถอะ”
ในมุมหนึ่ง เงาทมิฬรู้สึกปวดหัวขณะที่ชื่นชมทักษะการแสดงของฝ่าบาท เขาคิดว่าการพบเจอกันครั้งนี้จะไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้อาวุโสห้วนอย่างแน่นอน แต่เป็นเหมือนกับฝันร้ายของอีกฝ่ายเสียมากกว่า
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ ยกริมฝีปากบางขึ้น พร้อมกับลดแขนลง “ข้าอยู่ที่สำนักไท่ไป๋มานานแล้ว แต่ยังไม่เคยเจอเขาเลย พวกเราน่าจะไปทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ”
เงาทมิฬตัวสั่นสะท้านเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนั้น
ฝ่าบาทกำลังคิดจะแก้แค้นผู้อาวุโสห้วนที่เคยหลอกเขาไว้เมื่อครั้งก่อนเช่นนั้นหรือ
จะต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน
“แต่ผู้อาวุโสห้วนไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาอยู่ที่สำนักไท่ไป๋” เฮ่อเหลียนเวยเวยยักไหล่และยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ดังนั้น เจ้าน่าจะเข้าใจใช่หรือไม่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโค้งริมฝีปากของตนเอง “ข้าเข้าใจ” ปรากฏว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ที่นี่นี่เอง หึ…
“ฮัดเช้ย!”
ณ มุมหนึ่งของย่านการค้า จู่ๆ ชายชราที่กำลังกวาดพื้นก็จามขึ้นมา เขาหันกลับมามอง หรือว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้านี้ ทำไมแผ่นหลังของเขาถึงรู้สึกเย็นวาบเช่นนี้…
ห้วนหมิงเสียงลูบแผ่นหลังของตนเองเล็กน้อย และตัดสินใจที่จะพักการกวาดพื้นเอาไว้ก่อน เขามองไปทางพระอาทิตย์ที่กำลังตก หญิงสาวคนนั้นน่าจะมาถึงในอีกสักครู่ เขายังเหลือเวลามากพอที่จะหาวิธีสอนพวกเขา
เฮ้อ ผู้ฝึกปราณธาตุดิน
ห้วนหมิงเสียงถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะส่ายศีรษะพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องสมุด
อีกฟากหนึ่ง เหล่าคนที่มีพรสวรรค์จากหอชั้นเลิศจำนวนมากต่างก็มุ่งความสนใจไปที่โถงหลักของตนเอง
ว่ากันว่าศิษย์ที่สามารถเข้าไปในโถงหลักแห่งนี้ได้ คืออัจฉริยะที่ได้รับคัดเลือกจากเหล่าอัจฉริยะนับพันคน
นอกจากหัวหน้าของแต่ละหอและเจ้าสำนักแล้ว อาจารย์บางคนก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะย่างเท้าเข้าไปในนั้น แม้เพียงครึ่งก้าวก็ตาม
ทั่วทั้งห้องโถงแห่งนี้มีเพียงเสาหินสีขาวที่ตั้งตระหง่านขึ้นไปบนฟ้าอยู่หนึ่งเสา ไข่มุกเรืองแสงที่ประดับประดาราวกับเป็นดวงดาวอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี ภายในโถงแห่งนี้ มีอาวุธต่างๆ แขวนไว้อยู่ทุกจุด พวกมันเปล่งแสงเป็นประกาย และทุกครั้งที่มีคนก้าวเข้าไปด้านใน ก็ราวกับพวกเขาตอบโต้กับอาวุธเหล่านั้น มันช่างดูลึกลับ และน่าทึ่งมาก
ภายใต้โดมนั้น มีหมอกปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปีและไม่เคยกระจัดกระจายออกไป มันคืออาณาเขตที่ผู้เชี่ยวชาญสร้างขึ้น มันดูนุ่มนวลแต่ก็ศักดิ์สิทธิ์ ราวกับแดนสวรรค์ที่ทำให้ผู้คนต้องอัศจรรย์ใจ
เมื่อมู่หรงฉางเฟิง เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ องค์ชายเจ็ด รวมถึงหยวนหลิงเซวียนเดินเข้ามา ต่างก็ตกใจอย่างอดไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะเกิดมาในตระกูลชนชั้นสูง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นอะไรแบบนี้ จึงแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
ว่ากันว่าที่นี่เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ชายคนที่เคยครอบครองดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ที่นี่จริงๆ
ต่อมาชายคนนั้นก็ถูกผนึก และสถานที่แห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้าง จนสุดท้าย เมื่อจักรวรรดิจ้านหลงได้เข้ามาจัดการดูแล สำนักไท่ไป๋จึงต้องรับผิดชอบเรื่องการบูรณะมันใหม่อีกครั้ง
วัดแห่งนี้อยู่มานับพันปีแล้ว จนถึงวันนี้ มันก็ยังคงหรูหราและฟุ้งเฟ้อจนไม่มีที่ใดเทียบเท่าได้ แม้แต่วังหลวงเองก็ยังไม่อลังการถึงขนาดนี้
“วันนี้ ข้าเรียกพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อจะบอกเรื่องบางอย่างกับพวกเจ้า” ผมสีดำของตู๋ซูเฟิงทิ้งตัวลงบนเสื้อสีขาว เขาค่อยๆ เดินเข้ามาและพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าเพิ่งได้รับแจ้งว่าเจ้าได้รับคัดเลือกจากหน่วยพิฆาตวิญญาณ” เขาพูดพลางกวาดตามองทั้งสี่คนตรงหน้าอย่างช้าๆ และในที่สุด สายตาของเขาก็หยุดที่ใบหน้าของเด็กชายหัวโล้นที่กำลังกินซาลาเปา และอดไม่ได้ที่จะแสดงความเอาใจใส่อย่างอ่อนโยน “พวกเจ้าทุกคนเกิดมาในตระกูลชนชั้นสูง และน่าจะเข้าใจคำว่า ‘หน่วยพิฆาตวิญญาณ’ ได้โดยที่ข้าไม่ต้องอธิบายอะไร นี่เป็นครั้งแรกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่พวกเขาคัดเลือกศิษย์ใหม่ พวกเจ้าโชคดีอย่างมากที่ได้รับการคัดเลือกทันทีที่มาถึง”
ไม่มีใครไม่รู้สึกตื่นเต้นหลังจากได้ยินข่าวนี้
หยวนหลิงเซวียนที่มักจะหยิ่งยโสอยู่เสมอ ในตอนนี้เขาก็เผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แทบรอไม่ไหวที่จะเอาข่าวนี้ไปป่าวประกาศเพื่อให้ทั่วทั้งสำนักไท่ไป๋รับรู้
มู่หรงฉางเฟิงเป็นคนที่สุขุมที่สุดในบรรดาสามคนที่เหลือ แต่เขาก็ยังกำหมัดไว้แน่นเช่นกัน เขารอช่วงเวลานี้มานานมาก อาจพูดได้ว่าเขาทุ่มเทไปไม่น้อยเพื่อที่จะได้รับเลือกให้เข้าสู่หน่วยพิฆาตวิญญาณให้ได้
“อย่างไรก็ตาม หน่วยพิฆาตวิญญาณเองก็มีเงื่อนไขด้วยเช่นกัน” ตู๋ซูเฟิงลดนิ้วมือของตนเอง เขาเผยรอยยิ้มออกมา “เพื่อที่จะเป็นสมาชิกที่แท้จริงของหน่วยพิฆาตวิญญาณ ในระหว่างการแข่งขันของสำนักไท่ไป๋ในครั้งนี้ พวกเจ้าจะต้องชนะทั้งสี่รอบ”
หยวนหลิงเซวียนยิ้มอย่างมั่นใจเต็มที่ “นี่เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เองก็ยกริมฝีปากสีแดงของตนเองขึ้น นางเองก็คิดว่ามันชัดเจนอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าหอชั้นเลิศจะส่งใครไปก็ตาม ก็จะต้องสามารถเอาชนะอีกสามหอที่เหลือได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาสี่คนที่ได้รับคัดเลือกจากหน่วยพิฆาตวิญญาณ ผลลัพธ์มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะพ่ายแพ้
แม้ว่ามู่หรงฉางเฟิงจะไม่ได้พูดอะไร แต่ประกายความเย่อหยิ่งที่ปรากฏในดวงตาของเขาก็แสดงความหมายเช่นเดียวกันออกมา
มีเพียงเด็กชายหัวโล้นหรือองค์ชายเจ็ดเท่านั้นที่แสดงสีหน้าเหมือนว่าเขายอมแพ้เสียดีกว่า…