คนที่น่ากลัวไม่ใช่เจ้า แต่เป็นเจ้าแห่งนรกที่ยืนอยู่ข้างหลังต่างหากเล่า
คุณชายทั้งสี่คนไม่กล้าพูดอะไร ขณะเดียวกัน ก็ค่อยๆ ขยับตัวเข้าหากัน พวกเขาคิดในใจว่า จะมีใครบ้างที่สามารถเอาชนะคนที่ดูเรียบเฉยและไร้อันตรายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา แต่จริงๆ แล้ว กลับจัดการพวกเขาได้ราวกับกำจัดวัชพืชเช่นนี้เล่า
ประเด็นสำคัญคือ พวกเขามองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเขาเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่ชายหนุ่มทำร้ายพวกเขาเสร็จ เขายังแสดงท่าทีราวกับว่า ‘ข้าถูกคนอื่นรังแก ได้โปรดเข้ามาปกป้องข้าด้วย’ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนที่ก่อปัญหานี้ขึ้นมาเอง
พวกเราคือคนที่ถูกทำร้ายต่างหาก เจ้ารู้บ้างไหมเล่า
“เจ้าคิดว่าพวกเขามีท่าทีแปลกๆ หรือไม่” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มจางๆ และหันหน้าไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปัดฝุ่นที่ไม่ได้มีอยู่บนร่างกายของตนเอง พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย “แปลกหรือ”
สีหน้าของคนกลุ่มนั้นเปลี่ยนไปพร้อมกัน และส่งเสียงร้อง “แปลกหรือ พวกเราไม่ได้ทำตัวแปลกๆ เลย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่ามันช่างตลกยิ่งนัก จากนั้น จึงยกริมฝีปากขึ้น “คนพวกนี้ถามและตอบคำถามของตัวเองด้วย”
เหล่าลูกชายจากตระกูลผู้ร่ำรวยทั้งสี่คนต่างก็อยากจะร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตา [พวกเราไม่อยากจะทำแบบนั้นเช่นกัน แต่เจ้าควรดูคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าให้ดีด้วย ดูเหมือนว่าหากพวกเราพูดอะไรผิดไปเพียงคำเดียว สายตาเยือกเย็นของเขาก็พร้อมที่จะพรากชีวิตของพวกเราทันที โอ้ สวรรค์]
“เอาล่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนวดขมับของตนเอง ราวกับว่าเขาไม่สามารถทนความเจ็บปวดตรงแก้มของตนเองได้อีก “ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียง ‘อืม’ พร้อมกับโยนคนที่อยู่ในมือไปทางด้านข้าง และมองดูพวกขี้แพ้เหล่านั้นหลบหนีไป จากนั้นจึงมองใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง “เจ็บมากหรือไม่”
“นิดหน่อย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบอย่างใจเย็น “ข้าไม่มีทางสู้ชนะชายทั้งสี่คนด้วยตัวคนเดียวได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น กลุ่มคนที่กำลังวิ่งหนีอยู่ไกลๆ ก็ลื่นล้มไปทีละคน โกหก ผู้ชายคนนั้นกำลังโกหก คนๆ นั้นเสแสร้งอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาจัดการพวกเขาอย่างทารุณ จนท่านพ่อท่านแม่แทบจะจำพวกเขาไม่ได้อยู่แล้ว
“เราต้องไปหายาทาเพื่อลดอาการบวมลง” นิ้วมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยแตะไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มพร้อมกับขยับซ้ายขวาโดยปราศจากความประหม่าแตกต่างจากเด็กสาวขี้อายทั่วไป นางเอียงศีรษะของตนเองพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย “แรงที่เขาชกเจ้านี่มันอย่างไรกันนะ ดูเหมือนว่าทิศทางของแรงชกนั้นจะมีบางอย่างผิดปกติ”
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผยประกายบางอย่าง ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจผลักมือนางออกหรือไม่ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยท่าทีร้ายกาจและน้ำเสียงไร้อารมณ์ “อะไรกัน ผู้สนับสนุนทางการเงินรู้สึกสงสัยข้าหรือ”
“หืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มพร้อมกับตอบอย่างหยอกล้อว่า “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็อยู่ภายใต้การดูแลของข้า รอให้แผลของเจ้าหายดีก่อนเถอะ แล้วพวกเราค่อยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียง ‘อืม’ อย่างแผ่วเบา พร้อมกับฉวยโอกาสตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนตัว โยนผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ตนเองเพิ่งใช้เช็ดมือลงในถังขยะข้างๆ ใบหน้าของเขานั้นดูสูงส่ง จนเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกไม่คุ้นเคย
นี่คือตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่ม มีข่าวลือว่าเขาปลีกตัวออกจากสังคมมากว่าสิบปีแล้ว องค์ชายสามผู้ไม่แยแสอะไรที่ก้าวเท้าออกจากวังเก้าชั้นมาเป็นครั้งคราว และจะพูดจาสองสามคำเป็นบางโอกาส
โชคดีที่ในสำนักไท่ไป๋ มีหมอคนหนึ่งที่สามารถรักษาผู้คนได้ โดยปกติแล้ว หมอคนนั้นไม่เคยเห็นศิษย์ใหม่ที่หล่อเหลาเท่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมาก่อน จนมือเหี่ยวๆ ของเขาสั่นไม่หยุด
เฮ่อเหลียนเวยเวยพิงตู้ยาไม้ และมองดูยาชนิดต่างๆ เมื่อนางเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มค่อยๆ หดลง ขณะที่หมอกำลังทายาสมานแผลให้ โดยไม่มีท่าทีผิดปกติเลยแม้แต่น้อย นางก็ชุบน้ำที่ผ้าเช็ดหน้าสีขาวตรงมุมหนึ่ง และเอนตัวไปทายาที่ใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แสงแดดอันอบอุ่นแผ่กระจายอยู่ทั่วร่างของนาง มีรัศมีสีทองอร่ามปกคลุมตัวนางเอาไว้
หากผู้หญิงคนอื่นทำเช่นนี้ ก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความรู้สึกคลุมเครือได้ แต่ร่างกายของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่เผยความรู้สึกเช่นนั้นเลย นางรักษาระยะห่างกับเขาได้อย่างเหมาะสม ไม่ใกล้หรือไกลเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น รอยยิ้มของนางก็ยังเผยให้เห็นความเฉื่อยชาของนางอีกด้วย ราวกับว่านางกำลังทำเรื่องปกติอย่างมาก
“เสร็จแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยดึงผ้าเช็ดหน้ากลับ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ห้ามนางที่ปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น เขาคุ้นเคยกับการที่มีผู้คนคอยรับใช้ตนเองอยู่แล้ว และเมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาผ้าเช็ดหน้าออก ดวงตาสีเข้มของเขาก็มองขึ้นไปเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเก็บของทุกอย่างคืนให้หมอโดยยังคงยิ้มให้เหมือนเมื่อครู่ “พวกเราใช้ยาสมานแผลไปเพียงเล็กน้อย จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน”
คุณหมอรับของต่างๆ คืนมาด้วยความรู้สึกมึนงง จนกระทั่งทั้งสองคนจากไป ถึงได้สติกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก [ใครบอกว่าไม่จำเป็นเล่า]
“คนที่ต้องการจะทำร้ายเจ้า คือพวกคุณชายจากหอชั้นเลิศเช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบพูดเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม “เพราะการแข่งขันในครั้งนี้เช่นนั้นหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบ ‘อืม’ อย่างไร้อารมณ์ และพับแขนเสื้ออย่างไม่เร่งรีบ ท่าทีและสีหน้าของเขานั้นช่างดูไร้ที่ติ ก่อนจะเดินไปท่ามกลางผู้คน ราวกับเป็นภาพเขียนสีน้ำมันอันล้ำค่า จนผู้คนต่างก็หันศีรษะมามองเขาอยู่บ่อยครั้ง และมันก็ไม่ใช่การพูดจาเกินจริงเลย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าจริงๆ แล้ว สภาพแวดล้อมเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะพูดคุยอย่างจริงจังนัก จึงหันหน้าไปพร้อมกับถอนหายใจ “คราวหน้า หากเจ้าออกไปข้างนอก เจ้าควรสวมหน้ากากไว้เหมือนกับองค์ชายสาม”
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินคำว่า ‘หน้ากาก’ นิ้วมือของเขาก็ชะงัก และเมื่อเห็นว่าแววตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีความหมายอื่น เขาก็พูดอย่างสุขุม “สำนักไท่ไป๋มีกฎระบุไว้อย่างชัดเจนว่าลูกศิษย์ไม่สามารถสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว “เจ้ายังสนใจกฎของสำนักไท่ไป๋อยู่อีกหรือ” อยากรู้นักว่าใครกันที่ทำตัวอวดดีต่อหน้าเหล่าคณะอาจารย์ในวันแรกที่เขามายังสำนักไท่ไป๋
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม “แน่นอน”
“เจ้าสำนักบอกว่าพวกเราต้องรอสมาชิกคนที่สามมาก่อน” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีปากขึ้น “ดูเหมือนว่าเจ้าจะสนิทกับสมาชิกคนที่สามของพวกเรา เจ้าน่าจะบอกข้ารับใช้ที่อยู่ข้างเจ้าให้ช่วยเร่งเขาหน่อยดีไหมเล่า”
“ข้าเร่งเขาไปแล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้น และมองดูทางเดินที่อยู่ไม่ไกลจากหอสามัญ “เขามาถึงแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองตามเขาไป และเห็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจกำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของหญิงสาวสามสี่คน เขาพูดคุยอย่างยิ้มแย้ม และไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าเขาจะเอาใจใส่ผู้หญิงทุกคน โดยไม่ได้สนใจดอกไม้นับพันที่อยู่ในสวนแม้แต่ดอกเดียว
เมื่อสังเกตได้ถึงสายตาของพวกเขา หนานกงเลี่ยก็หันไปหาหญิงสาวสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา ก่อนจะยิ้มให้อย่างงดงาม “เพื่อนของข้ามาแล้ว รบกวนพวกเจ้าหลีกทางให้สักหน่อยได้หรือไม่”
ถึงแม้ว่าหญิงสาวเหล่านั้นจะรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย แต่พวกนางก็ไม่มีท่าทีขัดขืนต่อคำขอร้องของเขา ขณะเดียวกัน พวกนางก็มองดูเขาด้วยความรู้สึกขมขื่นที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับสาวใช้ของตนเอง
เมื่อพวกนางเดินผ่านเฮ่อเหลียนเวยเวย ท่าทีของพวกนางก็ดูเย่อหยิ่งราวกับเป็นนกยูงรำแพนหาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้สนใจพวกนางนัก นางเพียงหาที่นั่งอย่างเกียจคร้านเท่านั้น
ในทางกลับกัน เมื่อหนานกงเลี่ยเห็นว่าทั้งสองคนมาพร้อมกัน ดวงตาเรียวยาวของเขาก็เต็มไปด้วยความทะเล้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“ได้ยินมาว่ามีสาวงามคนหนึ่งช่วยวีรบุรุษผู้นี้เอาไว้เช่นนั้นหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “แหล่งข่าวของเจ้าช่างรวดเร็วยิ่งนัก”
หนานกงเลี่ยยิ้มอย่างชั่วร้าย แล้วพาดแขนไปบนไหล่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “แล้ววีรบุรุษผู้นี้รู้สึกเช่นไรบ้างที่ได้รับการช่วยเหลือจากสาวงามแบบนี้ล่ะ”
“พวกนางบอกเจ้าเมื่อครู่นี้หรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาอย่างสุขุม
สายตาคู่นั้นช่างเยือกเย็นเหลือเกิน
หนังศีรษะของหนานกงเลี่ยชาวาบ ก่อนจะตอบกลับตามสัญชาตญาณว่า ‘อืม’ เพียงหนึ่งคำ
แต่เมื่อหนานกงเลี่ยได้ยินน้ำเสียงอันเยือกเย็นและน่ากลัวของอีกฝ่าย เขาก็ไม่อาจตอบโต้ใดๆ ได้ “แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรกับการใช้หน้าตาอันเย้ายวนของตนเองเพื่อรับข่าวจากพวกผู้หญิงล่ะ”