“มีเรื่องหนึ่งที่เจ้ายังไม่รู้” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่ได้คุยเรื่องอาวุธต่อ นางกลัวว่าหากนางพูดมากกว่านี้ น้องสาวที่ขี้อิจฉาของนางจะรู้สึกอึดอัด ดังนั้น นางจะบอกข่าวเรื่องเฮ่อเหลียนเวยเวยแทน “เฮ่อเหลียนเวยเวยจะเข้าร่วมการแข่งขัน และเป็นตัวแทนของหอสามัญ”
เป็นไปตามคาด ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเหมยแข็งเกร็ง “เป็นไปได้อย่างไรกัน” ข้อบังคับของสำนักไท่ไป๋กำหนดให้มีตัวแทนได้เพียงสามคนเท่านั้น และการทดสอบครั้งล่าสุด นางก็ทำได้แย่มาก จนถูกอาจารย์ประจำหอชั้นเยี่ยมปัดตกไป แล้วนังแพศยาคนนั้นจะโชคดีขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จิบชาหนึ่งคำ “ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เหล่าศิษย์จากหอสามัญล้วนแล้วแต่อยู่ธาตุดินเท่านั้น ไม่ว่านางจะผ่านทั้งสามด่านไปได้หรือไม่ หากนางอยู่ในหออื่น ก็มีความเป็นไปได้มากว่านางจะอยู่ที่โหล่เท่านั้น”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เฮ่อเหลียนเหมยก็รู้สึกเห็นด้วย นางกลอกตา ก่อนจะพูดต่อว่า “ข้าได้ยินมาว่าทั้งสามคนเลือกคนละสาขากัน แต่ก็ยังไม่รู้ว่านังแพศยานั่นจะเลือกสาขาใด”“ไม่ว่านางจะเลือกสาขาใด นางก็สอบไม่ผ่านอยู่ดี ข้าคิดว่าก่อนที่นางจะได้ประลองกับพวกเจ้าที่หอชั้นเยี่ยม พวกหอสามัญก็คงจะถูกปัดตกไปแล้ว
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย นางวางถ้วยชาที่อยู่ในมือลง ขณะเดียวกันก็ยิ้มออกมาอย่างเหยียดหยาม “ยิ่งไปกว่านี้ แม้ว่านังแพศยาจะชนะ แต่อีกสองคนในกลุ่มของนางก็คงจะไม่ผ่านอยู่ดี การแข่งขันครั้งนี้ระบุว่าจะต้องชนะแบบสองในสามเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเหมยหัวเราะตามไปด้วย “พี่รองพูดถูก ไอ้พวกขยะจากหอสามัญจะต้องตกรอบ โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย จริงๆ แล้ว คุณชายคนนั้นก็น่าสงสารยิ่งนัก” เมื่อพูดถึงจุดนี้ เฮ่อเหลียนเมยก็เผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา นางก้มหน้าลงพร้อมกับใบหน้าที่ร้อนฉ่าจนกลายเป็นสีแดงเข้ม
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ย่นหัวคิ้วเรียวสวย “คุณชายคนนั้นคือใครกัน”
“เขาเป็นคนจากหอสามัญที่เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์” ยิ่งเฮ่อเหลียนเหมยพูดมากเท่าไหร่ นางก็มีท่าทีเขินอายมากขึ้นเท่านั้น “เขาไม่ใช่พวกขยะไร้ค่าอย่างแน่นอน นอกจากเรื่องที่เขาเกิดมายากจนแล้ว เขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ เลย และการสอบครั้งสุดท้าย เขายังทำได้ดีที่สุดอีกด้วย”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่เชื่อ “คนแบบนั้นจะอยู่ในหอสามัญได้อย่างไรกัน” ยิ่งไปกว่านั้น โหราศาสตร์ถือเป็นความเชี่ยวชาญพิเศษ ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถศึกษาได้ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะมีพรสวรรค์สูงมาก มิเช่นนั้น ก็จะไม่มีใครเลือกสาขาโหราศาสตร์ได้เลย
“อาจเพราะตระกูลของเขาไม่มีอิทธิพลก็เป็นได้” เฮ่อเหลียนเหมยถอนหายใจ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางก็รู้สึกกระวนกระวายใจ คุณชายเลี่ยคนนั้นมีดีทุกอย่าง แต่มีเรื่องนี้เท่านั้นที่นางหามาไม่ได้ นางเคยส่งคนไปสอบถามแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถสืบหาได้ว่าภูมิหลังของเขาเป็นเช่นไร เห็นได้ชัดว่าบ้านเกิดของเขาจะต้องอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเกินไป และไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน เขาอาจจะเป็นลูกนอกสมรสของผู้นำหมู่บ้านในชนบท และเขาก็ต้องดิ้นรนเข้ามาในสำนักไท่ไป๋ด้วยตัวเอง ดังนั้น ผู้ชายคนนั้นถึงได้มักจะอยู่กับนังแพศยาเฮ่อเหลียนเวยเวย น่าเสียดายที่เขาทำตัวราวกับเป็นพวกไร้รสนิยม นางจึงยังรู้สึกลังเลในการเข้าหาเขา
ในที่สุด เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เข้าใจน้องสาวของตนเอง และกล่าวเตือนอีกฝ่าย “หากเขาไม่มีอำนาจอะไรก็ตัดใจเสียเถอะ ท่านพ่อไม่มีทางให้เจ้าแต่งงานกับเขาหรอก”
“ข้ารู้” เฮ่อเหลียนเหมยกำมือแน่น ทันใดนั้น นางก็เลิกคิ้วขึ้นราวกับนึกเรื่องอะไรบางอย่างออก “พี่รอง ข้าขอพูดอะไรหน่อย ในเมื่อนังแพศยานั้นชอบสร้างปัญหานัก พวกเราก็ให้ท่านพ่อจับนางแต่งงานกับคนที่สามารถควบคุมนางได้ จะไม่ดีกว่าหรือ”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พ่นลมออกอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าท่านพ่อไม่อยากทำเช่นนั้นหรือ แต่เจ้าอย่าลืมว่านางเกิดมาในตระกูลชนชั้นสูงและยังมีสายเลือดของตระกูลเฮ่อเหลียนอีกด้วย หากเขาจับนางแต่งงานอย่างน่าเกลียด ก็จะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน”
“พี่รองจะกลัวอะไรเล่า นางยังเป็นทายาทที่แท้จริงของตระกูลเฮ่อเหลียนได้อย่างไรกัน” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเหมยเป็นประกาย “แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็จำนางไม่ได้แล้ว แล้วใครจะยังคิดว่านางคือทายาทอีกเล่า นางเป็นแค่ขยะไร้ค่าเท่านั้น การที่ท่านพ่อจับนางแต่งงานก็ถือว่าเป็นเกียรติสำหรับนางมากแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุมปากของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เผยให้เห็นรอยยิ้ม “ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้นะ เจ้าพูดถูก ตอนนี้ นางไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นทายาทอีกแล้ว อีกสักครู่ ข้าจะเขียนจดหมายไปหาท่านพ่อและให้เขารีบกำจัดนังคนชั้นต่ำคนนั้นออกไปโดยเร็ว พวกเราจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดที่เห็นนางอีก”
“ยังคงเป็นพี่รองที่มีไหวพริบอยู่เสมอ” เฮ่อเหลียนเหมยเกลียดชังเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะนังแพศยาคนนั้น แล้วชีวิตของนางจะตกต่ำขนาดนี้ได้อย่างไรกัน นางต้องคอยระวังอารมณ์ของผู้อื่น ต่างจากตอนที่อยู่ในคฤหาสน์ผู้พิทักษ์อย่างสิ้นเชิง แม้แต่การแต่งงาน นางก็ไม่สามารถเป็นฝ่ายเลือกคู่ครองได้ ตอนนี้คนอื่นต้องเป็นฝ่ายเลือกนางแทนด้วยซ้ำ นางจะต้องทำให้นังคนชั้นต่ำนั้นลิ้มรสชาติของการสูญเสียอิสรภาพว่ามันรู้สึกเช่นไร และจะดีที่สุดหากท่านพ่อจัดการให้นางเป็นอนุภรรยาของผู้เฒ่าสักคน
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเหมยและเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พูดคุยกันเสร็จ พวกนางก็รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างมาก จนแม้แต่พวกศิษย์จากหอสามัญที่ไม่น่าชื่นชมอะไรในวันปกติธรรมดา ก็กลับกลายเป็นคนที่ไม่น่าสมเพชนักในวันนี้
เมื่อนางพบพวกเขาที่ย่านการค้า นางยังถึงกับหยุดพูดคุยกับคนเหล่านั้นเล็กน้อยเลยด้วยซ้ำ
เมื่อต้องมาจากเมืองชายขอบ พวกเขาก็เห็นแก่ตัวยิ่งนัก และเห็นได้ชัดว่าต้องการเอาอกเอาใจนางอย่างมาก จนไม่รู้ว่าจะซ่อนอาการอย่างไร
เฮ่อเหลียนเหมยรู้สึกรังเกียจพวกเขา แต่ในขณะเดียวกัน ก็ชอบความรู้สึกเช่นนี้อย่างมาก นางถือพัดแล้วพัดให้ตัวเองขณะเดิน “ข้าได้ยินมาว่ารายชื่อผู้เข้าแข่งขันที่เป็นตัวแทนของพวกเจ้าออกมาแล้ว พวกเขาเป็นใครหรือ”
กลุ่มหญิงสาวที่กำลังสรวลเสเฮฮาอยู่ตรงหน้าต่างก็เงียบลงทันที หลังจากนั้น ริมฝีปากบางของพวกนางก็เบะออก “มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่าเฮ่อเหลียนเวยเวย ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าสำนักถึงเลือกคนไร้ค่าคนนั้น ความสามารถในการใช้อาวุธของนางก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าน้องหงเย่ด้วยซ้ำ ทำไมน้องหงเย่ไม่พูดอะไรสักคำเล่า”
คนที่ถูกเรียกว่าน้องหงเย่นั้นเงยศีรษะขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน และดวงตาก็ดูง่วงนอน หากเปรียบเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆ นางดูเย่อหยิ่งมากกว่า “มีอะไรให้พูดอีกเล่า ในเมื่อเจ้าสำนักเลือกนาง ก็พิสูจน์แล้วว่านางจะต้องเก่งกว่าข้า”
“แต่ด้วยความสามารถของเจ้า เห็นได้ชัดว่าเจ้าสามารถเข้าสู่หอชั้นเยี่ยมได้ หากไม่ใช่เพราะคุณชายเฮยไม่อยากอยู่หอเดียวกันกับเจ้า เจ้าก็คง…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เด็กสาวคนนั้นก็รู้สึกตัวว่าตนเองพลั้งปากไป จึงรีบยกมือขึ้นปิดปาก ก่อนจะยิ้มให้อย่างกระอักกระอ่วน “น้องหงเย่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
น่าหลานหงเย่มองอีกฝ่าย แล้วเหยียดร่างกายของตนเอง “ไม่เป็นไร ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็พูดเรื่องจริง ข้าขอตัวก่อน อีกสักพักข้าก็ต้องไปเรียนวิชาอาวุธต่อ”
“ทำไมนางถึงทำตัวแปลกแยกเช่นนี้” เฮ่อเหลียนเหมยมองดูหญิงสาวที่เดินจากไป แล้วส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ สุดท้ายแล้ว ตัวตนของน่าหลานหงเย่ก็ยังคงโดดเด่นอยู่เช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางมาจากตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงเลยด้วยซ้ำ แต่นางยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับคนของตระกูลเฮยอีกด้วย “ว่าแต่พวกเจ้าพูดว่าอะไรนะ นังแพศยานั่น ข้าหมายถึง พี่ใหญ่ของข้าเลือกสาขาอาวุธเช่นนั้นหรือ”
เด็กสาวตอบรับเพื่อยืนยัน “วันนี้ ระหว่างเรียนวิชาอาวุธอยู่ นางยังหลับเลย พออาจารย์เรียกถามคำถามนางสองสามข้อ นางก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงให้นางออกไปยืนหน้าห้อง คนแบบนี้จะเลือกสาขาอาวุธเป็นสาขาเฉพาะทางของตัวเอง นางคิดว่าหอสามัญของพวกเรายังไม่น่าอับอายพออีกหรืออย่างไรกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเหมยก็ขมวดคิ้วเรียวยาวของตนเอง หลังจากการแข่งขันระหว่างนางกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเมื่อครั้งก่อน นางก็คิดว่านังแพศยาคนนี้จะเลือกสาขาพลังปราณ แต่คาดไม่ถึงเลยว่านางจะเลือกการประกอบและแยกชิ้นส่วนอาวุธ นางรู้ไหมว่ามันเป็นอย่างไร
“ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่คุณชายสองคนนั้นเลือกสาขาเฉพาะทางเสร็จแล้ว ก็เหลือแค่สาขาอาวุธเท่านั้น ดังนั้น เจ้าสำนักจึงให้นังคนไร้ค่าคนนั้นอยู่ในสาขาอาวุธ แต่ไม่ว่านางจะแข่งขันในสาขาเฉพาะทางใดก็ตาม นางก็จะต้องพ่ายแพ้อยู่ดี”