เช้าตรู่วันต่อมา สายลมพัดแผ่วเบา
ลูกศิษย์และอาจารย์ทุกคนล้วนมารวมตัวกันที่ใจกลางสำนัก พวกเขาพร้อมใจกันสวมเสื้อคลุมสีดำทับชุดสีขาวของตนเอาไว้ มองดูแล้วช่างงดงามตระการตาเสียจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
เวลานี้ ผู้ตัดสินต่างก็นั่งประจำตำแหน่งของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตู๋ซูเฟิงแย้มรอยยิ้มพลางทอดสายตามองไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์เบื้องล่าง ตอนที่สายตาอ่อนโยนของเขาหยุดลงที่เฮ่อเหลียนเวยเวยและผองเพื่อน ความหมายอันลึกล้ำที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจก็ฉายวาบขึ้นในดวงตาคู่นั้น
คนที่นั่งอยู่ข้างเขานั้นไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นอาจารย์ตู๋เทียนผู้หายหน้าจากสำนักไป๋ไปเสียนานนั่นเอง เขายิ้มน้อยๆ พร้อมกับลูบเคราขาวใต้คางของตน จากนั้นจึงหัวเราะขึ้น “หึๆ ชวนให้นึกถึงความหลังเสียจริง สมัยที่ข้ายังหนุ่ม ข้ามารู้ตัวว่าเมื่อเทียบกับด้านพลังปราณแล้ว ตัวข้านั้นเหมาะสมกับการสร้างอาวุธมากกว่าก็ในช่วงการแข่งขันระหว่างหอนี่เอง มองพวกเขาในเวลานี้แล้วก็เหมือนได้มองดูตัวเองสมัยยังหนุ่มยังแน่น เวลาไม่เคยปรานีใครจริงๆ”
“จริงยิ่งนัก ข้ายังจำได้อยู่เลยว่าในเวลานั้นท่านเองก็อยู่หอชั้นเลิศ และลงแข่งพร้อมกับท่านปรมาจารย์ด้วย อีกทั้งข้ากับอวิ๋นซิวก็ยังถูกพวกท่านสองคนไล่ต้อนอย่างน่าอนาถอีกด้วย” อาจารย์ของหอชั้นเลิศนามว่าอาจารย์ไป๋ส่ายศีรษะพร้อมกับเอ่ยต่อ “ตอนนั้นพวกท่านสองคนอวดดียิ่งกว่าในยามนี้มากทีเดียว ซ้ำยังพูดเอาไว้อีกว่าต่อให้ท่านแก่แล้ว แต่ลูกศิษย์ของพวกข้าก็คงไม่สามารถเอาชนะลูกศิษย์ของท่านได้ ยังดีที่ท่านได้มู่หรงฉางเฟิงเป็นลูกศิษย์ แต่สุดท้ายท่านปรมาจารย์ผู้เย็นชาและช่างเลือกคนนั้นกลับลงเอยกับผู้ฝึกปราณระดับล่างที่ไม่เคยแตะต้องอาวุธเลยแม้แต่ชิ้นเดียวเสียได้ ข้าไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่”
ตู๋เทียนยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเพียงกล่าวว่า “ตอนนั้นพวกข้ายังเด็ก ลืมมันไปเสียเถิด ตอนนี้เรามาดูเด็กๆ พวกนี้กันดีกว่า ใครจะรู้เล่า บางทีพวกเราอาจจะได้เจอต้นกล้าดีๆ เข้าก็ได้”
“ที่หอชั้นเลิศนั้นมีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว” อาจารย์ไป๋หัวเราะเบาๆ “พวกเขาทั้งหมดนับว่าแข็งแกร่งดีทีเดียว ตู๋เทียน ทำไมท่านไม่ลองพิจารณาดูเล่า”
ตู๋เทียนตอบอีกครั้งว่า “ข้าเพียงหวังว่าจะมีโอกาสได้เห็นความแข็งแกร่งของหออื่นบ้าง หากมีคนมีฝีมือปรากฏตัวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายก็คงยอดเยี่ยมยิ่งนัก” หากเป็นเช่นนั้น การแข่งขันภายในสำนักคงจะน่าสนใจขึ้นมากทีเดียว
“หออื่นๆ รึ” อาจารย์ไป๋เลิกคิ้วขึ้น เขาจิบชาอย่างไม่ใส่ใจนัก สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความยโสโอหังอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว “นอกจากคุณชายจากตระกูลเฮยแล้ว จะยังมีคนอื่นที่มีฝีมืออยู่อีกหรือ ข้าตรวจสอบบรรดาศิษย์ใหม่จากหอชั้นเยี่ยม และหอชั้นดีทุกคนแล้ว ส่วนหอสามัญ ให้ตายเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะพูดเช่นนี้หรอกนะ ตู๋เทียน เจ้าเองก็คงจะรู้ว่าที่นั่นเป็นอย่างไร การจะมียอดฝีมือสักคนปรากฏตัวขึ้นมานั้นยากกว่าการขึ้นไปบนสวรรค์เสียอีก”
ตู๋เทียนวางถ้วยชาในมือลงพร้อมกับรอยยิ้ม “ได้ยินอาจารย์ไป๋กล่าวเช่นนี้แล้ว ท่านเจ้าสำนักไม่คิดที่จะกล่าวอะไรแทนลูกศิษย์จากหอของตนเองสักคำเลยหรือ”
“หือ” ตู๋ซูเฟิงที่กำลังมองเด็กทั้งสามอ้าปากหาวขึ้นมาอีกครั้งถึงกับรู้สึกจนปัญญากับท่าทาง ‘ไม่สนใจไยดีสิ่งใด’ ของพวกเขา แต่เมื่อได้ยินบทสนทนาที่คนทั้งสองลากเขาเข้าไปเอี่ยวด้วย เขาก็เพียงแค่แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใดให้มากความ รอดูผลลัพธ์เมื่อถึงเวลาก็แล้วกัน”
“ฟังดูเหมือนท่านเจ้าสำนักจะคิดว่าคนจากหอของท่านนั้นใช้การได้ทีเดียว” อาจารย์ไป๋ระเบิดหัวเราะลั่นออกมา น้ำเสียงเหยียดหยันอย่างชัดเจน “ท่านเจ้าสำนัก ข้ารู้ว่าท่านรักลูกศิษย์ทุกคนเท่ากัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านรับหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำหอด้วยตัวเอง ดังนั้นท่านจึงต้องการที่จะสร้างผลงานไม่มากก็น้อย แต่ไม่ว่าท่านจะนำท่อนไม้ผุพังมาแกะสลักเพียงใด มันก็คงไม่อาจกลายเป็นหยกล้ำค่าขึ้นมาได้”
ตู๋ซูเฟิงละสายตาจากพวกเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วอดใจไม่ไหวจึงตอบด้วยรอยยิ้มไปว่า “เรื่องนั้นอาจจะไม่เป็นความจริงเสมอไปก็ได้ การแข่งขันยังไม่ทันเริ่มเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างยังยากจะคาดเดา ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะไม่เป็นไปตามที่อาจารย์ไป๋คาดการณ์เอาไว้ก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเรามาตั้งใจชมการแข่งขันครั้งนี้กันดีกว่า”
พอพูดจบ เขาก็หันหน้ากลับไปโดยไม่สนใจว่าสีหน้าของไป๋จิ้งเหวินจะเป็นอย่างไร
ไป๋จิ้งเหวินส่งเสียงฮึ่มออกมาอย่างแรงครั้งหนึ่ง เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ภายในใจนั้นกลับคิดอย่างดูถูกว่า [ขยะไร้ค่าจากหอสามัญจะสร้างผลลัพธ์เหนือความคาดหมายอะไรได้ด้วยหรือ เจ้าพวกนั้นมาที่นี่เพียงเพื่อเติมที่ว่างให้ครบเท่านั้น พวกเขาอาจจะเอาชนะพวกหอชั้นดีก่อนการแข่งขันจบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ]
ถ้าจะให้เขาพูดแล้วล่ะก็ พวกเขาควรจะร่วมมือกันกำจัดหอสามัญให้สิ้นซากเสีย
สำนักไท่ไป๋มีประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายร้อยปี อย่าว่าแต่จักรวรรดิจ้านหลงเลย แม้แต่บนแผ่นดินนี้สำนักไท่ไป๋ก็มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย
เพราะที่แห่งนี้รวมอัจฉริยะทั้งหมดของจักรวรรดิจ้านหลงเอาไว้ด้วยกัน
แต่พวกสามัญชนจากหอสามัญกลับไม่รู้จักสำนึก และยังมาที่นี่เพื่อลดคุณภาพของสำนักให้ต่ำลง
ไป๋จิ้งเหวินก้มหน้าลงดื่มชาในถ้วยอึกใหญ่อีกครั้ง คราวนี้ หากหอสามัญยังไม่สามารถสร้างผลงานได้อีกล่ะก็ บรรดาผู้อาวุโสจากหลายตระกูลก็มีข้ออ้างเสนอให้ฮ่องเต้ยุบหอนี้ได้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเอนหลังพิงพนัก สองมือประสานกันตรงหน้า ท่าทางนั้นดูราวกับว่าเขากำลังรอดูว่าหอสามัญจะพ่ายแพ้อย่างไร
ลูกศิษย์ทั้งหลายย่อมไม่รู้ว่าบรรดาอาจารย์กำลังคิดอะไรอยู่ ลูกศิษย์จากแต่ละหอยืนเรียงแถวต่อกัน พร้อมกับฟังอาจารย์อีกท่านอธิบายกฎกติกาของการแข่งขัน
การแข่งขันจะเรียงจากลำดับต่ำไปสูง และการแข่งขันในวันนี้เป็นการแข่งขันระหว่างหอสามัญกับหอชั้นดี ส่วนอีกคู่เป็นการแข่งขันระหว่างหอชั้นเยี่ยมกับหอชั้นเลิศ
การแข่งขันถูกแบ่งออกเป็นสองรอบ ใครที่อยากดูการแข่งขันคู่ไหนก็สามารถไปดูการแข่งขันนั้นได้ตามลำดับ
รายละเอียดของการแข่งขันแต่ละครั้งจะถูกกำหนดโดยอาจารย์ผู้รับผิดชอบการแข่งขันของสาขานั้น
ในการแข่งขันสองรอบแรกจะได้รับการตัดสินจากบรรดาอาจารย์ แต่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะมีอาจารย์ และปรมาจารย์เป็นผู้ตัดสิน
คนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดเห็นจะเป็นอาจารย์ตู๋เทียน ลูกศิษย์ทุกคนต่างก็ต้องการใช้โอกาสนี้พูดคุยกับอาจารย์ตู๋เทียนเพื่อขออาวุธให้กับตัวเองสักชิ้น
แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่อาจารย์ตู๋เทียนนั่งอยู่ไกลเกินไป นอกจากเข้ารอบสุดท้ายเพื่อไปพบเขาแล้ว ลูกศิษย์ที่เหลือก็ทำได้เพียงแค่มองไปทางที่นั่งผู้ตัดสินจากระยะไกลเท่านั้น
ระบบการแข่งขันนับว่าดีมากทีเดียว ลูกศิษย์ทุกคนต่างเบนความสนใจของตัวเองไปยังลานประลองขนาดใหญ่ทั้งสองอย่างรวดเร็ว
ความสนใจของพวกเขาอยู่ที่การแข่งขันระหว่างหอชั้นเยี่ยมและหอชั้นเลิศ
ดังนั้นเวทีที่ใช้จัดการแข่งขันระหว่างหอสามัญและหอชั้นดีจึงไม่ค่อยครึกครื้นนัก
แต่กระนั้นก็ยังมีคนมาชมราวยี่สิบถึงสามสิบคนได้ คนส่วนใหญ่มาจากหอสามัญ และจากหอชั้นดีอีกไม่มากนัก เพราะพวกเขาย่อมไม่เห็นความสำคัญของการแข่งขันกับหอสามัญ จึงเลือกที่จะไปยังอีกเวทีหนึ่งเพื่อรับชมความแข็งแกร่งของหอชั้นเยี่ยมแทน เมื่อถึงเวลาพวกเขาจะได้นำข้อมูลที่เป็นประโยชน์พวกนั้นมามอบให้กับผู้เข้าแข่งขันของหอตัวเองได้!
“การแข่งขันลำดับที่หนึ่ง การประลองสาขาโหราศาสตร์ ให้เวลาสามสิบนาที!” น้ำเสียงทุ้มต่ำของอาจารย์สูงวัยท่านหนึ่งดังขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมกลับทำเพียงโน้มตัวลงนอนราบไปกับโต๊ะไม้เพื่อเตรียมตัวนอนกลางวัน ผมยาวหยักศกสีน้ำตาลของนางสยายออกอย่างไร้ระเบียบ นางดูเกียจคร้านและไม่เอาการเอางานยิ่งนัก
หนานกงเลี่ยกระตุกริมฝีปากอย่างชั่วร้าย ดวงตาหวานล้ำคู่งามมองไปยังบรรดาสาวๆ ที่นั่งชมการแข่งขันอยู่ ก่อนจะโค้งตัวให้กับพวกนาง บางครั้งก็จะขยิบตาข้างซ้ายไปด้วย ทำให้หญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนถึงกับใบหน้าขึ้นสี
เมื่อเทียบกับอีกสองคนแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นถือว่าปกติกว่ามากทีเดียว!
แต่…
เขาจะช่วยหยุดมองเก้าอี้ราวกับว่ามันไม่นุ่ม ไม่สะอาด ไม่หรูหรา หรืองดงามพอสักทีได้หรือเปล่า!
เมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้น อาจารย์ก็โมโหยิ่งนัก!
เขาขยำรายชื่อที่อยู่ในมือแน่น แล้วตะเบ็งเสียงขึ้นมาอีกครั้งว่า “การแข่งขันลำดับที่หนึ่ง การประลองสาขาโหราศาสตร์! ศิษย์ที่ยังไม่ขึ้นมาบนเวที ขอให้ขึ้นมาบนนี้ให้เร็วที่สุดด้วย!”
“ดวงตาของเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก หลังจากข้าแข่งเสร็จแล้ว เจ้าอยากไปเดินเล่นที่ย่านการค้ากับข้าหรือไม่ หืม” หนานกงเลี่ยเผยกลิ่นอายของชายเจ้าชู้ออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อาจเป็นเพราะยังหาความสำราญไม่พอ หรืออาจเป็นเพราะตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในฐานะของปุโรหิตอัจฉริยะ เขาจึงสามารถทำตัวไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้
คำพูดนั้นทำให้เด็กสาวที่นั่งชมการแข่งขันอยู่ใกล้เขาที่สุดก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย นางไม่กล้าสบตาเขาแม้แต่นิดเดียวในระหว่างที่นางเสียงเบาว่า “ตกลง”
แคว่ก!
รายชื่อที่อยู่ในมือของอาจารย์ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ!