เขารับปากแล้ว เฉินตันจูบอกไม่ถูกว่าภายในใจรู้สึกอย่างไร นางไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเรื่องถึงเวลานี้ อย่างน้อยนางต้องกอบกุมสิ่งที่ตนเองต้องการไว้ในมือ
“ข้ามีสิ่งที่ต้องการร้องขอสิ่งหนึ่ง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหัว “แน่นอน หลี่เหลียงไม่ได้ร้องขอเพียงอย่างเดียว คุณหนูตันจูร้องขอมากกว่านี้ย่อมได้”
ใช่ หนึ่งข้อขาดทุนเกินไป เฉินตันจูครุ่นคิด พยักหน้า “ได้ ข้ามีสิ่งที่ร้องขอหลายสิ่ง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กคิดภายในใจ หญิงสาวตรงหน้าไม่ได้คิดอะไรเสียจริง
“ข้อแรก ก่อนที่ข้าจะทำสำเร็จ พวกท่านไม่อาจรุกรานเข้าเมืองได้” เฉินตันจูพูด
แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้ อย่างมากให้เจ้า” เขาครุ่นคิด ยื่นมือออกมา “ห้าวัน”
เฉินตันจูไม่ได้คิดจะให้กองทัพหลายแสนรอคอยเพียงเพราะคำพูดคำเดียวของนาง แต่ห้าวันน้อยเกินไป “ข้าเดินทางก็ต้องใช้เวลาห้าวันแล้ว อย่างไรก็ต้องให้เวลาข้าสิบวัน”
เสียงหัวเราะของแม่ทัพหน้ากากเหล็กลอยออกมาจากด้านหลังหน้ากาก “ใช่ ข้าหมายถึงหลังจากที่คุณหนูตันจูกลับไปถึงเมืองอู๋แล้ว ข้าให้เวลาเจ้าอีกห้าวัน”
เขาเป็นคนมีอำนาจชี้ต้นตายชี้ปลายเป็น แต่ตัวเราเป็นเพียงเนื้อบนเขียง เฉินตันจูไม่สนใจการหยอกของอีกฝ่าย สิ่งที่นางจะพูดต่อจากนี้เป็นคำร้องที่ยากที่สุด มือที่วางอยู่บนหัวเข่ากำแน่น “หากข้าล้มเหลว ท่านแม่ทัพสามารถรุกรานเข้าเมืองผ่านแม่น้ำ แต่ขอให้ท่านแม่ทัพ…อย่าขุดเขื่อนออก”
นางพูดประโยคนี้จบแต่ไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย การทำสงครามระหว่างทั้งสองฝ่าย กลอุบายทั้งสามสิบหกล้วนใช้การได้ เป้าหมายของแม่ทัพแต่ละคนคือเสียสละส่วนน้อยเพื่อแลกกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ หากเกิดความเมตตากับศัตรูในเวลานี้เท่ากับโหดร้ายต่อตนเอง
ไม่เสียทหารแม้แต่คนเดียวหรือใช้เลือดเนื้อของทหารรุกรานเมืองอู๋ แม่ทัพที่มีสติล้วนเลือกสิ่งแรก
คำร้องของนางทั้งหมดแรงทั้งน่าขำ
“ท่านแม่ทัพ ถึงแม้ที่นี่จะเป็นพื้นที่ศักดินาของท่านอ๋องอู๋ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นดินของต้าเซี่ย ล้วนเป็นราษฎรของฮ่องเต้ พวกเขาไม่เคยคิดจะเป็นผู้ก่อกบฏ แต่เกาจู่เป็นคนแบ่งพวกเขาให้ท่านอ๋องอู๋ พวกเขาไม่มีความผิดอันใด”
นางไม่ได้เงยหน้าขึ้น ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก อีกทั้งไม่เห็นแววตากระจ่างที่อยู่ภายใต้หน้ากากของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนตัวของเฉินตันจูที่กำลังก้มหน้า…
เขาเงียบไปสักพัก เอ่ย “พวกข้าใช้กำลังต่อท่านอ๋องอู๋ เพราะเขาและท่านอ๋องโจว ท่านอ๋องฉีร่วมกันก่อกบฏ นี่คือโทษของท่านอ๋องอู๋ มิได้เป็นโทษของราษฎรเมืองอู๋…” ไม่ได้ตอบรับ เพียงแต่ถาม “ยังมีคำร้องอื่นอีกหรือไม่”
เฉินตันจูเงยหน้าขึ้นมองเขา “ข้าจะพาผู้ติดตามทั้งสองของหลี่เหลียงไปด้วย”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเอ่ย “ได้ แต่องครักษ์ที่ติดตามเจ้ากลับไป ต้องเป็นคนของข้า”
เฉินตันจูยิ้มให้แม่ทัพหน้ากากเหล็ก “เรื่องนี้ท่านแม่ทัพไม่ต้องพูด ข้าย่อมต้องพาคนของท่านแม่ทัพกลับไปอยู่แล้ว ท่านแม่ทัพต้องเตรียมคนไว้ให้ข้ามากเสียหน่อย ป้องกันมิให้ข้าตายก่อนออกเดินทาง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ซินแสหวัง เจ้านำคนคุ้มกันคุณหนูตันจูกลับเมืองอู๋ด้วยตนเอง”
ไต้ฟูที่ถูกเรียกว่าซินแสหวังโน้มตัวตอบรับ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กถามอีกครั้ง “คุณหนูตันจูยังมีสิ่งอื่นอีกหรือไม่”
เฉินตันจูงุนงันภายในใจ เฮ้อ นางไม่รู้จะร้องขอสิ่งใดอีกดี เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
“ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก” นางถาม “ที่เหลือข้าบอกวันหลังได้หรือไม่”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กยื่นมือกดหน้าผากที่ถูกหน้ากากครอบเอาไว้ “คุณหนูตันจู เจ้าเป็นบุตรของเฉินเลี่ยหู่ ถึงแม้เจ้าจะไม่น่ารักแต่เขาก็ยังคงรักเจ้าดุจดั่งสมบัติล้ำค่า แต่ข้าทำไม่ได้…ไม่ได้จริงๆ เจ้าไปเถิด มิเช่นนั้นชีวิตนี้ข้าคงไม่อยากจะมีบุตรสาวแล้ว”
เฉินตันจูถอนหายใจ “ขอให้ท่านแม่ทัพมีบุตรสาวที่น่ารักกว่าข้า ครานี้ถึงข้าจะเป็นบุตรของท่านพ่อ ท่านก็คงไม่รักข้าดุจดั่งสมบัติล้ำค่าอีกแล้ว”
ถึงแม้ทุกคนล้วนเป็นราษฎรต้าเซี่ย แต่สำหรับท่านพ่อแล้ว ท่านอ๋องอู๋มาก่อน เขาเคารพฮ่องเต้ แต่เคารพพระราชโองการการแบ่งศักดินาของเกาจู่มากกว่า จากมุมมองของเขา ฮ่องเต้คิดจะเรียกคืนพื้นที่ในเวลานี้คือการขัดพระราชโองการ คือความไม่ชอบธรรม คือการถูกขุนนางชั่วหลอกลวง เขายอมตายเพื่อปกป้องเมืองอู๋และท่านอ๋องอู๋
ถึงแม้ท่านอ๋องอู๋จะประหารท่านพ่ออย่างไม่แยกแยะถูกผิด แต่เวลานั้นท่านพ่อก็ไร้ความแค้นเคืองแต่อย่างใด
แต่นางกลับทรยศท่านอ๋องอู๋ ท่านไม่ไม่มีวันให้อภัยนาง
นางพูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของนาง พร้อมกับถอนหายใจออกมา เขาหันไปพูดกับซินแสหวัง “เด็กคนนี้น่าสงสาร”
ซินแสหวังหัวเราะขมขื่น “ท่านแม่ทัพอย่าพูดเล่นเลย น่าสงสารตรงใดกัน น่ากลัวเสียมากกว่า” ตั้งแต่นางเข้ามา หัวใจของเขาก็ขึ้นๆ ลงๆ คำพูดแต่ละคำล้วนเกินความคาดหมาย เขาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย
“ใต้เท้า ท่านว่าเฉินเลี่ยหู่เสียสติ หรือคุณหนูรองเฉินที่เสียสติ?”
เฉินเลี่ยหู่ยอมจำนนต่อราชสำนัก? อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ เหล่าท่านโหวท่านอ๋องมีอยู่เป็นเวลานานเกินไป ภายในสายตาเหล่าขุนนางภายใต้ท่านอ๋องโหวนั้นไม่มีฮ่องเต้ และราชสำนักนานแล้ว ในสายตาของพวกเขา ราชสำนักในเวลานี้คือความไม่ชอบธรรม โดยเฉพาะคนอย่างเฉินเลี่ยหู่
แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น เฮ้อ เขาเกือบจะคิดว่าตนเองเสียสติไปแล้ว
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเงียบไปสักพัก คิดถึงความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง “บางที พวกเราอาจคิดมากเกินไป เฉินเลี่ยหู่อาจไม่รู้เรื่องนี้”
สีหน้าของซินแสหวังยิ่งตกตะลึง “ใต้เท้า ท่านหมายความว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของคุณหนูรองเฉิน?”
เดินทางมาเพื่อสังหารหลี่เหลียง จากนั้นยอมจำนนต่อแม่ทัพหน้ากากเหล็ก? ล้วนเป็นฝีมือของคุณหนูรองเฉินเพียงคนเดียว? เฉินเลี่ยหู่ไม่รู้แม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีตราอาญาสิทธิ์…
“เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้” แม่ทัพหน้ากากเหล็กเคาะโต๊ะ นิ้วของเขาเรียวยาว แต่สีค่อนไปทางเหลืองเล็กน้อย ราวกับกิ่งไม้ที่ถูกน้อมสี มองสภาพเดิมของมันไม่ออก
“เจ้าลองคิดดูว่าเดิมทีหลี่เหลียงพูดว่าอย่างไร เขาบอกกับพวกเราว่าจะโน้มน้าวให้ภรรยาของตนลักตราอาญาสิทธิ์มาให้ ตราอาญาสิทธิ์นั้นถูกลักขโมยมา”
ซินแสหวังครุ่นคิดเล็กน้อยก็เริ่มกระจ่าง “ดังนั้นใต้เท้าหมายความว่า คุณหนูใหญ่เฉินลักขโมยตราอาญาสิทธิ์มาได้แล้ว แต่ถูกคุณหนูรองเฉินพบเข้าคุณหนูรองเฉินจึงลักมาจากพี่สาวหรือคุณหนูใหญ่เฉินอาจมาไม่ได้ จึงมอบหมายเรื่องนี้ให้คุณหนูรองเฉิน…ไม่ใช่ หากได้รับการมอบหมายจากคุณหนูใหญ่เฉิน เหตุใดคุณหนูรองเฉินจึงต้องสังหารหลี่เหลียง หากไม่ได้รับมอบหมายจากคุณหนูใหญ่เฉิน แสดงว่าคุณหนูรองเฉินมาเพื่อสังหารหลี่เหลียง แต่เหตุใดนางจึงยอมจำนนต่อท่านแม่ทัพอีกทั้งยังช่วยพวกเราในการรุกรานเมืองอู๋”
ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไร้เหตุผล หรือว่ามีแผนการซ่อนอยู่
การกระทำของคุณหนูรองเฉินยากต่อการหาเหตุผล นิ้วของแม่ทัพหน้ากากเหล็กหล่นลงบนพื้นที่แห่งหนึ่งในแผนที่ “เจ้าให้คนไปถามโจวฉี หลี่เหลียงให้เขาทำอันใด”
โจวฉีคือขุนศึกในค่ายทหารที่เฝ้าอยู่บริเวณปากน้ำ แต่เขาคือคนของหลี่เหลียง ไม่ใช่คนของพวกเขา
ซินแสหวังเอ่ย “หลี่เหลียงอาศัยว่าตนมีที่เพิ่งอื่น ไม่ฟังคำสั่งของพวกเรา อีกทั้งไม่บอกพวกเราว่าจะทำอันใด ข้าคิดว่าคนแซ่โจวผู้นั้นก็ไม่มีทางพูด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดอย่างเย็นชา “ใช้เครื่องทรมาน”
เครื่องทรมาน? ซินแสหวังผงะไป แต่ที่เพิ่งของหลี่เหลียงคือ…
“หลี่เหลียงตายแล้ว” แม่ทัพหน้ากากเหล็กเอนไปทางด้านหลัง ราวกับภูเขาที่ล้มลง “มีที่เพิ่งแล้วอย่างใดหรือ”
ก็จริง ซินแสหวังยิ้มหลี่เหลียงตายแล้ว เรื่องต่างๆ แตกต่างไปจากเดิน เขาตอบรับก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “ข้านำคนคุ้มกันคุณหนูตันจู?”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเอ่ย “นำองครักษ์เซียวเว่ย[1]ไปเถิด”
องครักษ์นี้เป็นกลุ่มกำลังที่เป็นความลับที่สุด อีกทั้งฝีมือดีที่สุด หนึ่งคนสามารถรับมือสิบคนได้ เป็นองครักษ์ที่ฮ่องเต้พระราชท่านให้ท่านแม่ทัพ ไม่เคยออกห่างจากตัวของแม่ทัพหน้ากากเหล็กแม้แต่น้อย ซินแสหวังผงะไปเล็กน้อย ใช้องครักษ์นี้มาคุ้มกันคุณหนูรองเฉิน?
“เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก มอบหมายให้คนอื่นข้าไม่ไว้ใจ” แม่ทัพหน้ากากเหล็กเอ่ย
ก็จริง นี่คือการรุกรานเมืองอู๋ เป็นเครื่องตัดสินการทำสงครามในครานี้รวมไปถึงเรื่องของการกำจัดเมืองศักดินา ซินแสหวังโน้มตัวตอบรับ ในขณะที่เขากำลังจะหันหลังเดินจากไปก็ถูกเรียกเอาไว้อีกครั้ง
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดอย่างเชื่องช้า “หากมีคนคิดจะสังหารคุณหนูตันจู พวกเจ้าต้องคุ้มกันชีวิตของนาง แต่หากคุณหนูตันจูหาหนทางตายด้วยตนเอง พวกเจ้าอย่าได้รั้งนาง”
คำว่าหาหนทางตายด้วยตนเองนั้นซินแสหวังกระจ่างใจ อาทิคุณหนูเฉินกลับคำทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมขึ้นมา เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าพวกเขาเย็นชา เขาตอบรับอีกครั้งจากนั้นรออยู่สักพัก เมื่อเห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่มีคำสั่งอื่นใด เขาจึงเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในกระโจมตกอยู่ในความเงียบสงัด แม่ทัพหน้ากากเหล็กครุ่นคิด ไม่อาจกลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าของบิดาได้อีก ความเจ็บปวดเช่นนี้ช่างน่ากลัว ไม่รู้ว่าคุณหนูรองเฉินจะข้ามผ่านมันไปได้หรือไม่
————————————————————-
[1]เซียวเว่ย คือ องครักษ์หลวงของราชสำนัก