บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 10 ร้องขอ

ตอนที่ 10 ร้องขอ

เขารับปากแล้ว เฉินตันจูบอกไม่ถูกว่าภายในใจรู้สึกอย่างไร นางไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเรื่องถึงเวลานี้ อย่างน้อยนางต้องกอบกุมสิ่งที่ตนเองต้องการไว้ในมือ 

“ข้ามีสิ่งที่ต้องการร้องขอสิ่งหนึ่ง” 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กหัว “แน่นอน หลี่เหลียงไม่ได้ร้องขอเพียงอย่างเดียว คุณหนูตันจูร้องขอมากกว่านี้ย่อมได้” 

ใช่ หนึ่งข้อขาดทุนเกินไป เฉินตันจูครุ่นคิด พยักหน้า “ได้ ข้ามีสิ่งที่ร้องขอหลายสิ่ง” 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กคิดภายในใจ หญิงสาวตรงหน้าไม่ได้คิดอะไรเสียจริง 

“ข้อแรก ก่อนที่ข้าจะทำสำเร็จ พวกท่านไม่อาจรุกรานเข้าเมืองได้” เฉินตันจูพูด 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้ อย่างมากให้เจ้า” เขาครุ่นคิด ยื่นมือออกมา “ห้าวัน” 

เฉินตันจูไม่ได้คิดจะให้กองทัพหลายแสนรอคอยเพียงเพราะคำพูดคำเดียวของนาง แต่ห้าวันน้อยเกินไป “ข้าเดินทางก็ต้องใช้เวลาห้าวันแล้ว อย่างไรก็ต้องให้เวลาข้าสิบวัน” 

เสียงหัวเราะของแม่ทัพหน้ากากเหล็กลอยออกมาจากด้านหลังหน้ากาก “ใช่ ข้าหมายถึงหลังจากที่คุณหนูตันจูกลับไปถึงเมืองอู๋แล้ว ข้าให้เวลาเจ้าอีกห้าวัน” 

เขาเป็นคนมีอำนาจชี้ต้นตายชี้ปลายเป็น แต่ตัวเราเป็นเพียงเนื้อบนเขียง เฉินตันจูไม่สนใจการหยอกของอีกฝ่าย สิ่งที่นางจะพูดต่อจากนี้เป็นคำร้องที่ยากที่สุด มือที่วางอยู่บนหัวเข่ากำแน่น “หากข้าล้มเหลว ท่านแม่ทัพสามารถรุกรานเข้าเมืองผ่านแม่น้ำ แต่ขอให้ท่านแม่ทัพ…อย่าขุดเขื่อนออก” 

นางพูดประโยคนี้จบแต่ไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย การทำสงครามระหว่างทั้งสองฝ่าย กลอุบายทั้งสามสิบหกล้วนใช้การได้ เป้าหมายของแม่ทัพแต่ละคนคือเสียสละส่วนน้อยเพื่อแลกกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ หากเกิดความเมตตากับศัตรูในเวลานี้เท่ากับโหดร้ายต่อตนเอง 

ไม่เสียทหารแม้แต่คนเดียวหรือใช้เลือดเนื้อของทหารรุกรานเมืองอู๋ แม่ทัพที่มีสติล้วนเลือกสิ่งแรก 

คำร้องของนางทั้งหมดแรงทั้งน่าขำ 

“ท่านแม่ทัพ ถึงแม้ที่นี่จะเป็นพื้นที่ศักดินาของท่านอ๋องอู๋ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นดินของต้าเซี่ย ล้วนเป็นราษฎรของฮ่องเต้ พวกเขาไม่เคยคิดจะเป็นผู้ก่อกบฏ แต่เกาจู่เป็นคนแบ่งพวกเขาให้ท่านอ๋องอู๋ พวกเขาไม่มีความผิดอันใด” 

นางไม่ได้เงยหน้าขึ้น ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก อีกทั้งไม่เห็นแววตากระจ่างที่อยู่ภายใต้หน้ากากของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนตัวของเฉินตันจูที่กำลังก้มหน้า… 

เขาเงียบไปสักพัก เอ่ย “พวกข้าใช้กำลังต่อท่านอ๋องอู๋ เพราะเขาและท่านอ๋องโจว ท่านอ๋องฉีร่วมกันก่อกบฏ นี่คือโทษของท่านอ๋องอู๋ มิได้เป็นโทษของราษฎรเมืองอู๋…” ไม่ได้ตอบรับ เพียงแต่ถาม “ยังมีคำร้องอื่นอีกหรือไม่” 

เฉินตันจูเงยหน้าขึ้นมองเขา “ข้าจะพาผู้ติดตามทั้งสองของหลี่เหลียงไปด้วย” 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กเอ่ย “ได้ แต่องครักษ์ที่ติดตามเจ้ากลับไป ต้องเป็นคนของข้า” 

เฉินตันจูยิ้มให้แม่ทัพหน้ากากเหล็ก “เรื่องนี้ท่านแม่ทัพไม่ต้องพูด ข้าย่อมต้องพาคนของท่านแม่ทัพกลับไปอยู่แล้ว ท่านแม่ทัพต้องเตรียมคนไว้ให้ข้ามากเสียหน่อย ป้องกันมิให้ข้าตายก่อนออกเดินทาง” 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ซินแสหวัง เจ้านำคนคุ้มกันคุณหนูตันจูกลับเมืองอู๋ด้วยตนเอง” 

ไต้ฟูที่ถูกเรียกว่าซินแสหวังโน้มตัวตอบรับ 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กถามอีกครั้ง “คุณหนูตันจูยังมีสิ่งอื่นอีกหรือไม่” 

เฉินตันจูงุนงันภายในใจ เฮ้อ นางไม่รู้จะร้องขอสิ่งใดอีกดี เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร 

“ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก” นางถาม “ที่เหลือข้าบอกวันหลังได้หรือไม่” 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กยื่นมือกดหน้าผากที่ถูกหน้ากากครอบเอาไว้ “คุณหนูตันจู เจ้าเป็นบุตรของเฉินเลี่ยหู่ ถึงแม้เจ้าจะไม่น่ารักแต่เขาก็ยังคงรักเจ้าดุจดั่งสมบัติล้ำค่า แต่ข้าทำไม่ได้…ไม่ได้จริงๆ เจ้าไปเถิด มิเช่นนั้นชีวิตนี้ข้าคงไม่อยากจะมีบุตรสาวแล้ว” 

เฉินตันจูถอนหายใจ “ขอให้ท่านแม่ทัพมีบุตรสาวที่น่ารักกว่าข้า ครานี้ถึงข้าจะเป็นบุตรของท่านพ่อ ท่านก็คงไม่รักข้าดุจดั่งสมบัติล้ำค่าอีกแล้ว” 

ถึงแม้ทุกคนล้วนเป็นราษฎรต้าเซี่ย แต่สำหรับท่านพ่อแล้ว ท่านอ๋องอู๋มาก่อน เขาเคารพฮ่องเต้ แต่เคารพพระราชโองการการแบ่งศักดินาของเกาจู่มากกว่า จากมุมมองของเขา ฮ่องเต้คิดจะเรียกคืนพื้นที่ในเวลานี้คือการขัดพระราชโองการ คือความไม่ชอบธรรม คือการถูกขุนนางชั่วหลอกลวง เขายอมตายเพื่อปกป้องเมืองอู๋และท่านอ๋องอู๋ 

ถึงแม้ท่านอ๋องอู๋จะประหารท่านพ่ออย่างไม่แยกแยะถูกผิด แต่เวลานั้นท่านพ่อก็ไร้ความแค้นเคืองแต่อย่างใด 

แต่นางกลับทรยศท่านอ๋องอู๋ ท่านไม่ไม่มีวันให้อภัยนาง 

นางพูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของนาง พร้อมกับถอนหายใจออกมา เขาหันไปพูดกับซินแสหวัง “เด็กคนนี้น่าสงสาร” 

ซินแสหวังหัวเราะขมขื่น “ท่านแม่ทัพอย่าพูดเล่นเลย น่าสงสารตรงใดกัน น่ากลัวเสียมากกว่า” ตั้งแต่นางเข้ามา หัวใจของเขาก็ขึ้นๆ ลงๆ คำพูดแต่ละคำล้วนเกินความคาดหมาย เขาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย 

“ใต้เท้า ท่านว่าเฉินเลี่ยหู่เสียสติ หรือคุณหนูรองเฉินที่เสียสติ?” 

เฉินเลี่ยหู่ยอมจำนนต่อราชสำนัก? อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ เหล่าท่านโหวท่านอ๋องมีอยู่เป็นเวลานานเกินไป ภายในสายตาเหล่าขุนนางภายใต้ท่านอ๋องโหวนั้นไม่มีฮ่องเต้ และราชสำนักนานแล้ว ในสายตาของพวกเขา ราชสำนักในเวลานี้คือความไม่ชอบธรรม โดยเฉพาะคนอย่างเฉินเลี่ยหู่ 

แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น เฮ้อ เขาเกือบจะคิดว่าตนเองเสียสติไปแล้ว 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กเงียบไปสักพัก คิดถึงความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง “บางที พวกเราอาจคิดมากเกินไป เฉินเลี่ยหู่อาจไม่รู้เรื่องนี้” 

สีหน้าของซินแสหวังยิ่งตกตะลึง “ใต้เท้า ท่านหมายความว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของคุณหนูรองเฉิน?” 

เดินทางมาเพื่อสังหารหลี่เหลียง จากนั้นยอมจำนนต่อแม่ทัพหน้ากากเหล็ก? ล้วนเป็นฝีมือของคุณหนูรองเฉินเพียงคนเดียว? เฉินเลี่ยหู่ไม่รู้แม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีตราอาญาสิทธิ์… 

“เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้” แม่ทัพหน้ากากเหล็กเคาะโต๊ะ นิ้วของเขาเรียวยาว แต่สีค่อนไปทางเหลืองเล็กน้อย ราวกับกิ่งไม้ที่ถูกน้อมสี มองสภาพเดิมของมันไม่ออก 

“เจ้าลองคิดดูว่าเดิมทีหลี่เหลียงพูดว่าอย่างไร เขาบอกกับพวกเราว่าจะโน้มน้าวให้ภรรยาของตนลักตราอาญาสิทธิ์มาให้ ตราอาญาสิทธิ์นั้นถูกลักขโมยมา” 

ซินแสหวังครุ่นคิดเล็กน้อยก็เริ่มกระจ่าง “ดังนั้นใต้เท้าหมายความว่า คุณหนูใหญ่เฉินลักขโมยตราอาญาสิทธิ์มาได้แล้ว แต่ถูกคุณหนูรองเฉินพบเข้าคุณหนูรองเฉินจึงลักมาจากพี่สาวหรือคุณหนูใหญ่เฉินอาจมาไม่ได้ จึงมอบหมายเรื่องนี้ให้คุณหนูรองเฉิน…ไม่ใช่ หากได้รับการมอบหมายจากคุณหนูใหญ่เฉิน เหตุใดคุณหนูรองเฉินจึงต้องสังหารหลี่เหลียง หากไม่ได้รับมอบหมายจากคุณหนูใหญ่เฉิน แสดงว่าคุณหนูรองเฉินมาเพื่อสังหารหลี่เหลียง แต่เหตุใดนางจึงยอมจำนนต่อท่านแม่ทัพอีกทั้งยังช่วยพวกเราในการรุกรานเมืองอู๋” 

ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไร้เหตุผล หรือว่ามีแผนการซ่อนอยู่ 

การกระทำของคุณหนูรองเฉินยากต่อการหาเหตุผล นิ้วของแม่ทัพหน้ากากเหล็กหล่นลงบนพื้นที่แห่งหนึ่งในแผนที่ “เจ้าให้คนไปถามโจวฉี หลี่เหลียงให้เขาทำอันใด” 

โจวฉีคือขุนศึกในค่ายทหารที่เฝ้าอยู่บริเวณปากน้ำ แต่เขาคือคนของหลี่เหลียง ไม่ใช่คนของพวกเขา 

ซินแสหวังเอ่ย “หลี่เหลียงอาศัยว่าตนมีที่เพิ่งอื่น ไม่ฟังคำสั่งของพวกเรา อีกทั้งไม่บอกพวกเราว่าจะทำอันใด ข้าคิดว่าคนแซ่โจวผู้นั้นก็ไม่มีทางพูด” 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดอย่างเย็นชา “ใช้เครื่องทรมาน” 

เครื่องทรมาน? ซินแสหวังผงะไป แต่ที่เพิ่งของหลี่เหลียงคือ… 

“หลี่เหลียงตายแล้ว” แม่ทัพหน้ากากเหล็กเอนไปทางด้านหลัง ราวกับภูเขาที่ล้มลง “มีที่เพิ่งแล้วอย่างใดหรือ” 

ก็จริง ซินแสหวังยิ้มหลี่เหลียงตายแล้ว เรื่องต่างๆ แตกต่างไปจากเดิน เขาตอบรับก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “ข้านำคนคุ้มกันคุณหนูตันจู?” 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กเอ่ย “นำองครักษ์เซียวเว่ย[1]ไปเถิด” 

องครักษ์นี้เป็นกลุ่มกำลังที่เป็นความลับที่สุด อีกทั้งฝีมือดีที่สุด หนึ่งคนสามารถรับมือสิบคนได้ เป็นองครักษ์ที่ฮ่องเต้พระราชท่านให้ท่านแม่ทัพ ไม่เคยออกห่างจากตัวของแม่ทัพหน้ากากเหล็กแม้แต่น้อย ซินแสหวังผงะไปเล็กน้อย ใช้องครักษ์นี้มาคุ้มกันคุณหนูรองเฉิน? 

“เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก มอบหมายให้คนอื่นข้าไม่ไว้ใจ” แม่ทัพหน้ากากเหล็กเอ่ย 

ก็จริง นี่คือการรุกรานเมืองอู๋ เป็นเครื่องตัดสินการทำสงครามในครานี้รวมไปถึงเรื่องของการกำจัดเมืองศักดินา ซินแสหวังโน้มตัวตอบรับ ในขณะที่เขากำลังจะหันหลังเดินจากไปก็ถูกเรียกเอาไว้อีกครั้ง 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดอย่างเชื่องช้า “หากมีคนคิดจะสังหารคุณหนูตันจู พวกเจ้าต้องคุ้มกันชีวิตของนาง แต่หากคุณหนูตันจูหาหนทางตายด้วยตนเอง พวกเจ้าอย่าได้รั้งนาง” 

คำว่าหาหนทางตายด้วยตนเองนั้นซินแสหวังกระจ่างใจ อาทิคุณหนูเฉินกลับคำทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมขึ้นมา เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าพวกเขาเย็นชา เขาตอบรับอีกครั้งจากนั้นรออยู่สักพัก เมื่อเห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่มีคำสั่งอื่นใด เขาจึงเดินออกไปอย่างรวดเร็ว 

ภายในกระโจมตกอยู่ในความเงียบสงัด แม่ทัพหน้ากากเหล็กครุ่นคิด ไม่อาจกลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าของบิดาได้อีก ความเจ็บปวดเช่นนี้ช่างน่ากลัว ไม่รู้ว่าคุณหนูรองเฉินจะข้ามผ่านมันไปได้หรือไม่ 

————————————————————- 

[1]เซียวเว่ย คือ องครักษ์หลวงของราชสำนัก 

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท