บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 21 พระราชโองการ

ตอนที่ 21 พระราชโองการ

เฉินเลี่ยหู่นั่งอยู่บนรถม้า จามออกมาด้วยความคันจมูกอย่างไร้สาเหตุ 

“ใต้เท้า” รองแม่ทัพข้างตัวถามด้วยความห่วงใย “ลมตรงนี้แรง กลับค่ายเถิด” 

เฉินเลี่ยหู่ตะโกนให้อีกฝ่ายถอยไปอย่างไม่พอใจ 

“ลมแรงอันใดกัน ข้าไม่ใช่หญิงสาวอ่อนแอ” เขาพูดพลางมองหน้ามองหลัง พื้นที่นี้เป็นแนวป้องกันแรกนอกเมือง หากเฝ้าระวังอย่างดี กองทัพนับหมื่นก็บุกเข้ามาไม่ได้ “เฝ้าไว้ให้ดี จากนี้ไปเฝ้าอย่างเข้มงวดทั้งในและนอก แมลงวันสักตัวก็…” 

“ใต้เท้า!” 

เขายังพูดไม่ทันจบ ทหารคนหนึ่งสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนำกระดาษแผ่นหนึ่งมอบให้ 

“ทหารสังเกตการณ์อยู่ด้านหน้าพบสิ่งเหล่านี้ถูกทิ้งไว้ระหว่างทาง ด้านบนบอกว่าท่านอ๋องขอเจรจากับฮ่องเต้ อีกทั้งยังบอกว่าฮ่องเต้จะมาพบท่านอ๋องแล้ว” 

อันที่จริงพวกเขาในฐานะทหาร ตอนที่รับส่งข่าวทางด้านหน้านั้นก็เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อน แต่พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นเรื่องจริง เวลานี้ทางเมืองหลวงเองก็มีเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้…ข่าวลือกลายเป็นข่าวจริง เหล่าทหารทางนี้จึงเกิดความตื่นตระหนกเล็กน้อย 

“เป็นเรื่องจริงหรือ” 

“ท่านอ๋องจะเจรจากับฮ่องเต้แล้ว?” 

“พวกเราทำสงครามกับกองทัพราชสำนักกลายเป็นการขัดขืนพระราชโองการ?” 

สาเหตุที่พวกเขากล้าขัดขืนต่อกองทัพราชสำนัก เพราะฮ่องเต้คิดจะแย่งชิงพื้นที่ศักดินาของท่านอ๋องอู๋ อีกทั้งใส่ร้ายท่านอ๋องอู๋ว่าก่อกบฏ ส่งกองกำลังมาเพื่อสังหารท่านอ๋องอู๋ ท่านอ๋องอู๋เป็นท่านอ๋องที่ได้รับการสถานปนาจากจักรพรรดิเกาจู่ ฮ่องเต้ไม่อาจลงโทษได้ตามใจ มันคือการกระทำที่ไร้คุณธรรม เหล่าท่านโหวท่านอ๋องเพียงแค่ออกคำสั่งก็สามารถเผชิญหน้าด้วยกองทัพได้ 

แต่หากท่านอ๋องอู๋ ต้องการเชิญฮ่องเต้เข้าเมืองอู๋ แล้วพวกเขาลงมือต่อกองทัพราชสำนัก มันคือการก่อกบฏ 

ทันใดนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น 

เฉินเลี่ยหู่ยื่นมืออกไปรับ ก่อนจะฉีกทิ้งอย่างไม่แม้แต่จะดู “มันคือข่าวลือ หลอกลวงกองทัพและราษฎร!” เขาลุกขึ้นยืน ดาบยาวชี้ไปด้านหน้า “ราชสำนักมีกลอุบายร้ายกาจมากมาย หากกองกำลังเหยียบย่ำเข้ามาในเมืองอู๋ก็คือเจตนาที่ไม่ดี มีข้าเฉินเลี่ยหู่อยู่ อย่าคิดจะทำสำเร็จ! ทหารทุกคนกล้าเผชิญหน้ากับศัตรูพร้อมข้าหรือไม่!” 

มีท่านมหาราชครูเฉินอยู่ด้านหน้า พวกเขาก็ไร้ความหวาดกลัว ทหารข้างตัวยกดาบขึ้นพร้อมพูดอย่างพร้อมเพรียง “เผชิญศัตรู!” 

“ใต้เท้า! ใต้เท้า!” ท่ามกลางเสียงฮึกเหิม มีทหารส่งข่าวขี่ม้าเร็วเดินทางมา เขาตะโกนเสียงดัง “ท่านอ๋องมีคำสั่ง ส่งราชทูตไปต้อนรับฮ่องเต้เข้าเมือง” 

เสียงโห่ร้องอย่างฮึกเหิมหยุดลงทันที สีหน้าของทุกคนผงะด้วยความตกตะลึง เฉินเลี่ยหู่ลุกขึ้นยืนบนรถที่รายล้อมไปด้วยทหาร เขาหัวเราะเสียงเย็นอย่างไม่ใส่ใจ “ผู้ใดเกลี้ยมกล่อมท่านอ๋องอีกแล้วหรือ รอข้าไปพบท่านอ๋อง…” 

เขายังพูดไม่ทันจบก็ชะงักลง เพราะเห็นขบวนที่เดินมาจากด้านหน้า เป็นองครักษ์หลวงที่คุ้มกันขันทีคนหนึ่ง น่าแปลก เหตุใดข้างตัวของขันทียังมีหญิงสาวอีกคน หญิงสาวคนนี้ยังคุ้นตาอย่างยิ่ง 

“อาจู” เขาตะโกนออกมา “เจ้ามาหาข้า?” 

เฉินตันจูสวมเสื้อคลุมขี่อยู่บนหลังม้า ไม่ว่าจะไม่อยากเพียงใด แต่นางก็ยังคงเดินมาด้านหน้าของบิดา ก้มหน้ารับคำ “เจ้าค่ะ” 

เฉินเลี่ยหู่พูดอย่างระอา “ข้าให้เจ้าอยู่ในจวน เอาเถิด เจ้าอยากมาก็มาเถิด” เขายิ้มพร้อมแนะนำอีกฝ่ายให้เหล่าทหาร “พวกเจ้าจำได้ใช่หรือไม่ นางคือบุตรสาวคนเล็กของข้า นางเป็นคนสังหารหลี่เหลียง” 

เหล่าทหารคุ้นเคยกับเฉินตันจู ตอนเฉินตันจูยังเล็กนางมักจะติดตามเฉินตันหยางมาเล่นในค่ายทหาร ขี่ม้ายิงธนู เพียงแต่ตอนนั้นไม่มีผู้ใดใส่ใจ เพราะนางเป็นเพียงเด็กผู้หญิง ขี่ม้ายิงธนูเป็นเพียงความสนุก ตระกูลเฉินมีนายน้อยใหญ่เฉินตันหยาง ไม่คิดว่าเฉินตันหยางจะตายกะทันหัน เด็กหญิงคนนี้เดินทางไปแนวหน้าสังหารหลี่เหลียงด้วยตัวเอง 

บิดาเป็นเสือ ไม่มีทางที่บุตรจะเป็นสุนัข! ทุกคนต่างขานเรียกคุณหนูรอง เฉินเลี่ยหู่เผยยิ้มออกมาอย่างหาได้ยาก หลังจากที่เฉินตันหยางตายไป ถึงแม้เขาจะไม่เคยแสดงความโศกเศร้าต่อหน้าคนนอก แต่เขาก็แทบไม่เคยยิ้ม 

เฉินตันจูไม่อาจมองหน้าของบิดาได้ คำพูดต่อจากนี้ของนางเป็นเหมือนมีดเล่มหนึ่งกำลังทิ่มแทงเข้าที่หัวของบิดา 

“ท่านพ่อ” นางก้มหน้าต่ำ พูดอย่างยากลำบาก “ข้ารับพระราชโองการของท่านอ๋องให้ไปรับฝ่าบาท” 

บริเวณรอบด้านเงียบสงบลง สีหน้าของเหล่าทหารตะลึงงันไปอีกครั้ง 

เฉินเลี่ยหู่รู้สึกหูอื้อ เหมือนได้ยินเสียงไม่ชัดเจน เขาได้ยินคำพูดแปลกประหลาดอะไรกัน 

“เจ้ากำลังพูดอะไร” เขาขมวดคิ้ว “ในเมื่อเจ้ากังวล ไม่อยากอยู่บ้านก็ตามข้ามาเถิด เข้ามา” 

เฉินตันจูส่ายหัว “ท่านพ่อ รายละเอียดของเรื่องนี้ข้าจะบอกท่านภายหลัง เวลานี้คับขัน ข้าต้องเร่งเดินทาง…” 

เฉินเลี่ยหู่พูดเสียงดังขึ้น “เฉินตันจู ข้าบอกให้มานี่!” ดาบที่อยู่ในมือขวางไว้ด้านหน้า “เจ้าคิดจะขัดขืนคำสั่งของข้าหรือ” 

นางรู้จิตใจของบิดาในเวลานี้ แต่นางเดินไปไม่ได้ ถึงแม้ท่านพ่อจะไม่ใช้ดาบฟันนางจนตายด้วยความโกรธ แต่เขาต้องจับนางเอาไว้อย่างแน่นอน ตอนนั้นท่านพี่ก็ถูกท่านพ่อจับกุมส่งเข้าคุกหลวง จากนั้นถูกท่านอ๋องโยนไปประหารที่หน้าประตูเมือง เหล่าคนที่คิดจะช่วยไม่มีแม้แต่โอกาสช่วยเหลือ… 

นางไม่เคยเกรงกลัวความตาย เพียงแต่ตอนนี้นางยังตายไม่ได้ 

เฉินตันจูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที เงยหน้าพร้อมยกพระราชโองการขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านจะขัดขืนพระราชโองการหรือ” 

ท่านพ่อยอมตายเพื่อท่านอ๋องอู๋ แม้จะไม่ได้รับความเป็นธรรม แค่เพียงท่านอ๋องอู๋ต้องการให้เขาตาย เขาก็ตายได้อย่างไม่ลังเล เมื่อเป็นเช่นนี้ หากท่านอ๋องอู๋ไม่ให้เขาตายล่ะ? เขายังคิดจะขัดขืนพระราชโองการไปตายหรือ 

เฉินตันจูกำพระราชโองการเอาไว้ มองสีหน้าตกตะลึงเศร้าโศกเจ็บปวดและผิดหวังของบิดา หัวใจของนางบีบแน่น…ท่านพ่อ ไม่ใช่ข้าขัดขวางความจงรักภักดีของท่านที่มีต่อท่านอ๋องอู๋ แต่ท่านอ๋องอู๋ไม่ต้องการความจงรักภักดีของท่าน 

“ท่านอ๋องมีพระราชโองการ ให้พวกข้าไปรอรับฝ่าบาท” เฉินตันจูพูดเสียงดัง มองดูทหารที่เฝ้าอยู่ทางนี้ให้หลีกออกไป “พวกเจ้าคิดจะขัดขืนพระราชโองการ?” 

พูดจบจึงเร่งม้า 

“เดินหน้า!” 

เหล่าทหารไม่กล้าขัดขวาง หรือบางทีอาจยังตกอยู่ในความตะลึงงัน พวกเขามองดูเฉินตันจูนำองครักษ์หลวงและขันทีที่จากไป 

เฉินเลี่ยหู่ถือดาบยืนอยู่บนรถทหาร มือและร่างกายของเขากำลังสั่นเทาอย่างรุนแรง เขาคิดไม่ตกว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น บุตรสาวของเขา เหตุใดจึง… 

เป็นไปไม่ได้ เขาต้องไปถามให้กระจ่าง เขาก้าวเท้าไปด้านหน้า ก่อนจะที่เหยียบพลาดล้มลงไปกับพื้น 

“ท่านมหาราชครู!” 

เหล่าทหารร้องเสียงหลงออกมา ส่วนก่วนเจียที่เดินทางมาถึงในเวลานี้ก็ตะโกนเรียกนายท่านด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขาพยุงเฉินเลี่ยหู่บนพื้นขึ้นมา ก่อนจะมองเฉินตันจูที่จากไปไกล 

เขากระจ่างแล้วว่าเหตุใดคุณหนูรองจึงเรียกเขามาอย่างเร่งรีบ อีกทั้งยังพาไต้ฟูมาด้วย สวรรค์เอ๋ย นายท่านคงจะเจ็บปวดอย่างมาก 

ด้านหลังเต็มไปด้วยฝุ่นควัน เสียงตะโกนร้องดังขึ้น สีหน้าของเฉินตันจูซีดเผือด แต่นางไม่ได้หันหน้ากลับไป 

“คุณหนู” อาเถียนตามติดนาง เสียงสั่นเทา “นายท่าน จะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” 

เฉินตันจูพูด “ก่วนเจียจะดูแลเขา” 

ตอนนี้ร่างกายของท่านพ่อไม่เป็นอันใด เพียงแต่เสียใจ…ครั้งก่อนท่านพ่อหัวใจตายไปร่างกายก็ตายไปเช่นเดียวกัน ครานี้หัวใจของเขาตายก่อนแต่ร่างกายยังไม่ตาย ไม่ว่าร่างกายจะตายหรือไม่ ยังต้องดูว่าสิ่งที่นางจะทำต่อไปนี้สำเร็จหรือไม่ 

ด้านหน้าของนางยังมีด่านยากอีกหนึ่งด่าน ต้องไม่ให้ฮ่องเต้นำกองกำลังเข้าเมืองอู๋ 

เดินทางหลายวันหลายคืน เฉินตันจูก็มาถึงค่ายถังอี้อีกครั้ง ภายในค่ายใหญ่ไม่มีหลี่เหลียงต้อนรับนางอีกแล้ว แต่ก็ยังคงมีคนคุ้นเคย 

หวังไต้ฟูสวมชุดราชทูต คารวะนางด้วยรอยยิ้มกว้าง “คุณหนูรองเฉิน ดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง” 

เฉินตันจูคารวะเขากลับ “ท่านอ๋องของข้ารับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เชิญฝ่าบาทเข้าเมืองอู๋สืบเรื่องมือสังหาร” 

หวังไต้ฟูพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทเตรียมข้ามแม่น้ำแล้ว คุณหนูรองเฉินเดินทางร่วมกับฝ่าบาทเถิด” 

เฉินตันจูพูดว่าช้าก่อน “ฝ่าบาทเข้าพื้นที่เมืองอู๋ ไม่อาจนำกำลังทหารเข้าไปได้ นี่ถึงจะเป็นหนทางแห่งการเข้าพบ” 

รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังไต้ฟูหายไปทันที 

“คุณหนูรองเฉิน! เจ้ารู้ว่ากำลังพูดอันใดหรือไม่” สีหน้าของเขาตะลึงงัน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหัวเราะ เขาเข้าใกล้เฉินตันจูกระซิบเสียงเบา “เจ้าควรจะรู้ดีที่สุด เวลานี้กองกำลังของราชสำนักเดิมทีควรจะเข้ามาในเมืองอู๋ ใช้มีดดาบในการถกเถียงเรื่องหนทางแห่งราชาและขุนนางกับท่านอ๋องอู๋” 

เขามองเฉินตันจูด้วยใบหน้าเย็นชา 

“เจ้าเสียสติไปแล้ว หรือท่านอ๋องอู๋ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว” 

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท