มีตราอาญาสิทธิ์อยู่ในมือ การเคลื่อนไหวของเฉินตันจูไม่ได้ถูกขัดขวาง
“พี่รองไม่อยู่แล้ว พี่ใหญ่ตั้งครรภ์” นางพูดกับเหล่าองครักษ์ “ท่านพ่อให้ข้าไปพบพี่เขย”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง สีหน้าของเหล่าองครักษ์ต่างเผยให้เห็นถึงความโศกเศร้า หลายสิบปีนี้ไม่สงบยิ่งนัก ท่านมหาราชครูเฉินสวมชุดเกราะออกสนามรบ อายุมากแล้วถึงแต่งงาน แต่ตอนนี้กลับต้องมาพิการ อีกทั้งยังถูกท่านอ๋องเฉยชาใส่ อำนาจทางการทหารกระจายออกไป
โชคดีที่บุตรแต่ละคนมีความสามารถ
บุตรสาวคนโตแต่งงานกับนายพลที่มีชาติกำเนิดธรรมดา นายพลมีความกล้าหาญคล้ายกับเฉินเลี่ยหู่ในสมัยก่อน บุตรชายฝึกฝนอยู่ในกองทัพตั้งแต่สิบห้า เวลานี้สามารถนำทัพทหารได้ มีผู้สืบทอด เหล่าทหารภายใต้เฉินเลี่ยหู่ต่างกระตือรือร้น ไม่คิดว่าเพิ่งเผชิญหน้ากับกองทัพจากราชสำนัก เฉินตันหยางกลับต้องเสียสละชีวิตไปเพียงเพราะความเข้าใจผิด
ตอนนี้ตระกูลเฉินไร้บุตรชาย มีเพียงบุตรสาวที่สามารถเข้าสู่สนามรบ เหล่าองครักษ์ต่างโศกเศร้า อีกทั้งยังสาบานกับตนว่าต้องคุ้มกันให้คุณหนูถึงด่านหน้าอย่างรวดเร็ว
เฉินตันจูทิ้งรถแล้วเปลี่ยนเป็นม้าทันทีที่ออกจากเมือง ฝนตกกระหน่ำไม่หยุด บ้างตกหนักบ้างตกเบา ระหว่างทางเต็มไปด้วยหลุมบ่อดินโคลน แต่ภายในสายฝนที่ร่วงหล่นลงมาอย่างไม่ขาดสายนี้ยังคงพบเห็นเหล่ากลุ่มผู้ประสบภัยที่กำลังอพยพมุ่งหน้าไปทางเมืองหลวง แต่ละครอบครัวต่างมีคนชราและเด็ก
เหล่าองครักษ์ต่างตกใจ เมืองอู๋มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ไม่เคยประสบภัยพิบัติอันใด เหตุใดจึงมีผู้ประสบภัยจำนวนมากเพียงนี้ ทั้งที่ภายในเมืองยังคงเจริญรุ่งเรืองเหมือนอย่างเคย
“คุณหนูรอง” ตอนที่พักผ่อนอยู่ริมทาง องครักษ์เฉินลี่เดินมาพูดกับนางด้วยเสียงต่ำ “ข้าไปสืบมาแล้ว ยังมีผู้อพยพมาจากเมืองเจียงโจวอีกด้วย”
หมายความว่าทางเมืองเจียงโจวก็เกิดสงครามขึ้นมาแล้วหรือ เหล่าองครักษ์ต่างเผยสีหน้าตื่นตระหนก เป็นไปได้อย่างไร พวกเขาไม่เคยได้ยินข่าวนี้มาก่อน บอกเพียงว่าราชสำนักส่งกองทัพแสนห้าไปยังทางเหนือ แต่กองทัพเมืองอู๋มีสองแสน อีกทั้งยังมีการกีดขวางจากแม่น้ำ ไม่จำเป็นต้องเกรงกลังแต่อย่างใด
แต่หากทางเมืองเจียงโจวเกิดสงครามขึ้นมา สถานการณ์คงจะไม่สู้ดีนักแล้ว…กองทัพของราชสำนักต้องแยกย้ายไปรับมือเมืองอู๋ เมืองโจวและเมืองฉี แต่พวกเขายังสามารถวางกำลังไว้ทางใต้ได้อีกด้วย
เฉินตันจูถือเปี๊ยะชิ้นหนึ่งขึ้นมากินโดยไม่พูดอะไร
“คุณหนูรอง” องครักษ์อีกนายเดินเข้ามา ก่อนจะหยิบกระดาษที่ถูกขยำจนยับออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ท่ามกลางผู้อพยพมีคนกำลังส่งสิ่งนี้”
เหล่าองครักษ์ล้อมเข้ามาดู ลายมือนั้นถูกน้ำทำให้เลือนราง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งที่เขียนไว้อยู่บนกระดาษคือโทษทั้งยี่สิบของท่านอ๋องอู๋…
สีหน้าของพวกเขาต่างซีดเผือด สิ่งที่ผิดครรลองคลองธรรมเช่นนี้เผยแพร่อยู่ในเมืองได้อย่างไรกัน
เนื่องจากเมืองอู๋ในเวลานี้เต็มไปด้วยเส้นสายของราชสำนัก กองทัพก็ไม่ได้อยู่เพียงทางเหนือเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วตั้งแต่ทะเลทางตะวันออกจนกระทั่งเมืองปาซู่ เรือทหารราชวงศ์ต้าเซี่ยล้วนเข้ายึดครองและรายล้อมเมืองอู๋เอาไว้แล้ว
ทุกคนในเมืองอู๋ต่างบอกว่าเมืองอู๋ปลอดภัยมั่นคงด้วยธรรมชาติ แต่พวกเขาไม่เคยคิดว่าหลายสิบปีนี้ สงครามที่เกิดขึ้นล้วนเป็นตระกูลเฉินที่นำทัพเผชิญหน้า ก่อให้เกิดอำนาจที่แข็งแกร่งแก่เมืองอู่ ทำให้คนอื่นไม่กล้าดูถูก ถึงได้ก่อเกิดความมั่นคงในเมืองอู๋
หากมิเช่นนั้น เมืองอู๋คงถูกแบ่งพื้นที่เหมือนดั่งเมืองเยียนและเมืองหลูไปนานแล้ว
อาศัยเพียงธรรมชาติ? เฮอะ…เพียงแค่ท่านอ๋องอู๋กระจายอำนาจทางการหารของท่านพ่อ ผ่านมายังไม่ถึงสิบปี เมืองอู๋ก็รั่วไหลราวกับตะแกรง
เมื่อเทียบกับท่านอ๋องอู๋องค์ใหม่ที่ถึงแม้จะสืบทอดอำนาจของท่านพ่อ แต่มัวหลงใหลกับการดื่มด่ำอยู่ในความสุขนั้น จักรพรรดิองค์ใหม่ที่ขึ้นครองราชย์ในอายุสิบห้านี้กลับมีความเฉลียวฉลาดและความกล้าหาญไม่น้อยไปกว่าเกาจู่ หลังจากผ่านสงครามห้าเมือง อีกทั้งพักฟื้นกำลังเป็นระยะเวลายี่สิบปี ทำให้ราชสำนักไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นฮ่องเต้จึงกล้าที่จะผลักดันระบบการแบ่งพื้นที่ศักดินาตามผลงาน อีกทั้งกล้าที่จะใช้กำลังทหารต่อเหล่าท่านโหวและท่านอ๋อง
อีกทั้งในยี่สิบปีนี้ เหล่าท่านโหวและท่านอ๋องต่างแก่ชราลงภายใต้การจมปลักกับอดีต ส่วนท่านโหวและท่านอ๋องรุ่นใหม่รู้เพียงแค่การดื่มด่ำกับความสุขสบาย
เฉินตันจูใจจดจ่อกับการกินอาหารโดยไม่พูดอะไร
องครักษ์เฉินลี่ลังเลเล็กน้อย “คุณหนูรอง สถานการณ์ด้านนอกต้องส่งข่าวบอกใต้เท้าหรือไม่ขอรับ”
สายตาของเฉินตันจูมองตรงไปยังถนนดินโคลน หยาดฝนที่หยุดตกไปไม่นานร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง ฝนในครานี้ตกติดต่อกันสิบวัน ทำให้น้ำในแม่น้ำขึ้นสูง หากขุดออก คนที่ได้รับความเดือดร้อนก่อนคือราษฎรนอกเมือง เหล่าผู้อพยพนี้ล้วนหนีมาจากเมืองอื่น เดิมทีต้องการเพียงการร้องขอทางรอด แต่ไม่คิดว่าจะเดินขึ้นบนเส้นทางหวงเฉวียน
“ไม่ต้องแจ้ง ไม่มีประโยชน์” เฉินตันจูพูด “ข่าวนี้ในเมืองไม่ใช่ไม่รู้ เพียงแต่ไม่ต้องการให้ทุกคนรู้”
การเคลื่อนไหวเหล่านี้ท่านพ่อรายงานต่อราชสำนักอู๋นานแล้ว แต่ราชสำนักอู๋ไม่เพียงไม่หาวิธีการรับมือ นอกจากเหล่าขุนนางถกเถียงกันไม่หยุดแล้ว ท่านอ๋องอู๋ยังไม่ใส่ใจ คิดว่ากองทัพของราชสำนักไม่มีทางรุกรานเข้ามาได้ แน่นอนว่าเขาไม่อยากจะเป็นฝ่ายไปรุกรานราชสำนักก่อน มัวแต่รอคอยท่านอ๋องโจวและท่านอ๋องฉีออกแรง…เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบการบวงสรวงใหญ่ในแต่ละปีของเขา
ในพิธีบวงสรวงเขามักจะขอพรให้ฮ่องเต้ที่ขัดต่อคำสั่งบรรพบุรุษให้ตายเร็ว จากนั้นเขาจะเลือกพระราชโอรสที่เหมาะสมในการขึ้นครองราชย์…เหมือนที่ท่านพ่อของเขาเคยทำ เฮ้อ ท่านพ่อของเขาสายตาไม่ดี ถึงได้เลือกฮ่องเต้ที่ไร้คุณธรรมเช่นนี้ เมื่อถึงเวลานั้นเขาไม่มีทางทำผิดเช่นนี้อย่างแน่นอน เขาต้องเลือกพระราชโอรสที่ดีที่สุด
หากคิดจะคัดเลือกพระราชโอรสที่เหมาะสมย่อมต้องมีความสามารถที่เพียงพอ นี่คือความคิดของท่านอ๋องอู๋ นอกจากนี้เขายังพูดออกมาในงานเลี้ยง เหล่าขุนนางคนสนิทต่างชื่นชมความรอบคอบของท่านอ๋อง มีเพียงท่านมหาราชครูเฉินที่โมโหจนเป็นลมไป สุดท้ายถูกหามกลับมา
เฮ้อ ท่านพ่อที่ได้ข่าวการตายของพี่ชายตันหยางยังไม่เคยเป็นลมล้มลงไป เฉินตันจูกินเปี๊ยะคำสุดท้ายจนหมด จากนั้นดื่มน้ำเย็นอึกหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ออกเดินทางเถิด”
เหล่าองครักษ์สบตากัน เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องใหญ่เหล่านี้ก็ปล่อยให้เหล่าใต้เท้าตัดสินใจ ทหารผู้น้อยอย่างพวกเขาไม่ควรจะพูดอะไร พวกเขาคุ้มกันเฉินตันจูเดินทางอย่างไม่หยุดพัก ในขณะที่สีหน้าของเฉินตันจูซีดเผือดนั้น พวกเขาก็เดินทางมาถึงสถานที่ที่หลี่เหลียงอยู่
เวลานี้ท้องฟ้าเข้าใกล้ยามเย็น
เฉินตันจูไม่ได้เดินทางไปค่ายทหารทันที นางหยุดลงที่หน้าเมือง จากนั้นส่งตราอาญาสิทธิ์ให้แก้เฉินลี่ “เจ้านำห้าคนไปกองทัพปีกซ้าย เจ้ามีคนรู้จักทางนั้นหรือไม่”
กองทัพปีกซ้ายปักหลักเฝ้าอยู่บริเวณปากแม่น้ำผู่หนาน ป้องกันควบคุมทางน้ำ มีลำเรือรบนับร้อย ตอนนั้นพี่ชายเฉินตันหยางเป็นแม่ทัพในกองทัพนี้
เฉินลี่พยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ท่านขุนศึกโจวอยู่ที่นั่น พวกข้าเป็นสหายกัน” เขามองดูตราอาญาสิทธิ์ในมือด้วยความสงสัย “ท่านใต้เท้ามีคำสั่งอันใดขอรับ”
ตราอาญาสิทธิ์ไม่ได้ไปออกคำสั่งแก่หลี่เหลียงหรือ เหตุใดคุณหนูถึงมอบให้เขา
เฉินตันจูพูด “คำสั่งคือ หากไม่มีคำสั่งของท่านใต้เท้า กองทัพปีกซ้ายไม่อาจเคลื่อนย้ายไปที่อื่นได้”
เฉินลี่ตอบรับ ก่อนจะเลือกคนมาอีกสี่คน ออกมาครานี้เดิมทีคิดว่าเป็นการคุ้มกันคุณหนูเดินทางไปยังภูเขาดอกท้อนอกเมือง จึงมีคนติดตามเพียงสิบคน ไม่คิดว่าสิบคนนี้จะออกเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ ตอนเลือกคนนั้นเฉินลี่เหลือคนที่มีฝีมือดีที่สุดห้าคนเอาไว้
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าตนเองเป็นกังวลมากเกินไป แต่ออกมาข้างนอกทำตามสัญชาตญาณจะดีกว่า
เฉินลี่พาคนจากไป เฉินตันจูไม่ได้เดินทางต่อ เพียงแต่ให้คนเข้าเมืองไปซื้อยา
“คุณหนูไม่สบายหรือขอรับ”
เหล่าองครักษ์ที่เหลืออยู่ถามอย่างเป็นกังวล พวกเขามองดูใบหน้าที่ไร้สีเลือดและซูบเซียวไปของเฉินตันจู ก่อนจะสังเกตเห็นร่างกายของนางสั่นเทา ตลอดทางนี้ฝนตกแทบจะตลอดเวลา ถึงแม้จะมีชุดฟางและหมวก อีกทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ส่วนใหญ่เสื้อผ้าบนตัวของพวกเขาล้วนเปียกชื้น แม้แต่พวกเขายังรู้สึกทนไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณหนูรองที่เป็นเพียงเด็กหญิงอายุสิบห้า
เฉินตันจูไม่ได้ปฏิเสธ ยังดีที่ทางนี้ถึงแม้จะมีกองทัพปักหลัก บรรยากาศตึงเครียดว่าที่อื่น แต่การใช้ชีวิตภายในเมืองยังคงเหมือนเดิม เฮ้อ ราษฎรของเมืองอู๋ต่างคุ้นชินกับการมีแม่น้ำเป็นเขตป้องกัน ถึงแม้กองทัพของราชสำนักจะปักหลักอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ทุกคนในเมืองอู๋ต่างไม่ใส่ใจ ราษฎรยิ่งไร้ความหวาดกลัว
ราชสำนักจะโจมตีเหล่าท่านโหวท่านอ๋องได้อย่างไรกัน เหล่าท่านโหวท่านอ๋องล้วนเป็นเชื้อสายของฮ่องเต้ เป็นผู้ที่ช่วยฮ่องเต้รักษาพื้นแผ่นดิน
สำนักแพทย์ในเมืองไม่ใหญ่มาก มีไต้ฟูอยู่เพียงคนเดียวซึ่งดูไม่น่าเชื่อถือมาก เฉินตันจูไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่ให้เขาตรวจดูและให้ยา หลังจากรับยาตามคำสั่งของไต้ฟูแล้ว นางยังคงขอซื้อยาอีกหลายชนิด
“คุณหนูเอายาเหล่านี้ไปทำอันใด” ไต้ฟูถามอย่างลังเล ก่อนจะพูดขึ้นอย่างระแวง “ยาเหล่านี้ขัดกับยาที่ข้าให้ท่านกิน หากท่านกินเองแล้วเกิดปัญหาขึ้น จะมาโทษข้าไม่ได้”
คุณหนูท่านนี้สีหน้าเหน็ดเหนื่อย แต่ท่าทางกริยาไม่ธรรมดา ด้านหลังยังมีองครักษ์ห้าคน แต่ละคนล้วนถืออาวุธ คนแบบนี้เขาไม่อาจมีปัญหาด้วยได้
เฉินตันจูยิ้มให้เขา “อย่ากังวล ข้าจะกินเพียงยาที่ท่านให้” ก่อนจะชี้ไปยังยาอีกหลายชนิดที่ไต้ฟูหยิบมา “เหล่านี้ให้คนอื่น”
หมายความอย่างไร ในจวนยังมีคนป่วยหรือ ไต้ฟูกำลังจะถาม ด้านนอกมีเสียงเกือกม้าเร่งรีบและเสียงคนโหวกเหวกดังขึ้น
“คุณหนูรอง!” เสียงเกือกม้าหยุดอยู่นอกประตูสำนักแพทย์ ทหารหลายสิบคนที่สวมชุดเกราะลงจากม้า พร้อมกับตะโกนบอกเฉินตันจูที่อยู่ด้านใน “ท่านแม่ทัพให้พวกข้ามารับท่านแล้ว”
เฉินตันจูมองดูทหารที่อยู่ด้านหน้า ครุ่นคิดอยู่สักพักถึงได้เรียกชื่อของเขาออกมา อีกฝ่ายคือฉางซาน ทหารคนสนิทของหลี่เหลี่ยง
“ข้ากำลังจะหาไปพี่เขยพอดี” นางพูด ก่อนจะยกมือปิดจมูกจาม เสียงขึ้นจมูกอย่างมาก “พี่เขยรู้แล้วหรือ”
เมื่อเข้ามาในอาณาเขตของหลี่เหลียง ย่อมหลบหลีกสายตาของเขาไม่ได้ ฉางซาน ทหารคนสนิทมองเฉินตันจูอย่างเป็นห่วง “คุณหนูรอง ท่านไม่สบายหรือขอรับ ให้ไต้ฟูของท่านแม่ทัพดูให้เถิดขอรับ”
เฉินตันจูตอบรับก่อนจะตามพวกเขาขึ้นม้า เดินทางจากไปพร้อมกับเหล่าทหาร
ค่ายทหารปักหลักกินพื้นที่กว้างขวาง เฉินตันจูเดินทางอย่างไร้อุปสรรค ก่อนจะพบกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้ากระโจมภายในค่ายทหารอย่างรวดเร็ว
เฉินตันจูเหม่อลอยเล็กน้อย หลี่เหลียงในเวลานี้อายุเพียงยี่สิบหก รูปร่างค่อนข้างผอม นำกองทัพอยู่ด้านนอกอย่างยากลำบาก ไม่เหมือนสิบปีหลังจากนี้ เขาไม่ได้สวมชุดเกราะ บนตัวเขามีเพียงชุดยาวสีฟ้าและสายคาดเอวหยก ใบหน้าคมคล้ำเล็กน้อย สายตาจ้องมองมายังเด็กหญิงที่กำลังลงจากหลังม้า มุมปากเผยรอยยิ้มบางเบา
“อาจู” เขาเรียก “ไม่ได้พบกันนาน เจ้าสูงขึ้นอีกแล้ว”
อันที่จริงหลายวันก่อนเพิ่งพบกัน เฉินตันจูคิดในใจ นางข่มความรู้สึกซับซ้อนภายในใจลง เอ่ยเรียกอีกฝ่าย “พี่เขย”