ฝนในปีนี้ตกลงมาบ่อยครั้งจนทำให้คนรำคาญใจ ก่วนเจียยืนมองท้องฟ้าอยู่หน้าประตู เรื่องราษฎร์เรื่องหลวงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนน่ารำคาญใจเช่นเดียวกัน
ขันทีของพระราชวังฝ่าฝนเดินทางมาทำให้เขาตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
“ได้รับพระราชโองการจากท่านอ๋องมาพบคุณหนูรอง” คำพูดของขันทีไม่ได้ทำให้ก่วนเจียผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย
เหตุใดท่านอ๋องจึงต้องการพบคุณหนูรอง ก่วนเจียนึกถึงเรื่องของคุณหนูใหญ่ในตอนนั้น คิดจะขับไล่ขันทีตรงหน้าให้จากไป
แต่เฉินตันจูนำคนออกมาแล้ว “ข้าเขียนสิ่งที่พบเจอในค่ายทหารอย่างละเอียดถวายให้ท่านอ๋อง แต่ตัวข้าไม่ได้ไปพบท่านอ๋อง” นางอธิบายต่อก่วนเจีย ก่อนจะหันกลับไปพูดกับคนข้างตัว “ไปเถิด”
ก่วนเจียถึงได้สังเกตเห็นว่าด้านหลังของคุณหนูรองนอกจากอาเถียนแล้ว ยังมีบ่าวชายอีกคน บ่าวชายก้มหน้าถือหนังสือม้วน หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฉินตันจู เขาจึงตอบรับและเดินไปทางขันที
ขันทีเหลือมองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะหลบไปด้านหลังสองก้าว จากนั้นหันหลังเดินขึ้นรถอย่างเร่งรีบ พูดเสียงแหลมราวกับไม่พอใจอย่างมาก “เจ้านั่งรถม้าอีกคัน”
ขันทีนำรถม้ามาสองคัน ความคิดของก่วนเจียเหม่อลอยออกไป ท่านอ๋องคิดจะให้คุณหนูเข้าวังหรือ ยังดีที่คุณหนูไม่ยอมไป ไปไม่ได้เด็ดขาด ถึงแม้จะถูกตำหนิว่าขัดขืนท่านอ๋อง แต่ยังมีท่านมหาราชครูอยู่
ก่วนเจียมองดูบ่าวชายคนนั้นขึ้นรถไป องครักษ์หลวงคุ้มกันรถทั้งสองเคลื่อนตัวไปท่ามกลางสายฝน
เฉินตันจูยืนส่งอยู่ด้านหน้าประตูไม่ขยับไปที่อื่นเป็นเวลานาน
จางเจี้ยนจวินเข้าพระราชวังอีกครั้ง เขาเดินทางมาถึงพระตำหนักของบุตรสาวจางเหม่ยเหรินอย่างไร้การขัดขวาง เมื่อมาถึงก็พบบุตรสาวกำลังนั่งมองปิ่นปักผมใหม่ที่นางในเลือกมาอยู่ด้านหน้าโต๊ะ
“ท่านอ๋องไปแล้วหรือ” จางเจี้ยนจวินถาม
จางเหม่ยเหรินพูดอย่างไม่พอใจ “ท่านอ๋องยังไม่ได้กลับมาหลังจากถูกท่านมหาราชครูเฉินเรียกไป”
จางเจี้ยนจวินตะลึง ท่านอ๋องบอกว่าเหน็ดเหนื่อยต้องการพักผ่อนไม่ใช่หรือ นอกจากมาพักผ่อนในพระตำหนักของเหม่ยเหรินแล้วยังจะไปที่ใดได้อีก เขายังตั้งใจรอครึ่งวันค่อยมาอีกครั้ง ท่านอ๋องไม่อยากพบจางเหม่ยเหรินหรือ เขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในพระราชตำหนัก เด็กหญิงตระกูลเฉินคนนั้น…
เมื่อจางเหม่ยเหรินเห็นสีหน้าที่ไม่ดีของบิดาจึงรีบถามว่าเกิดอันใดขึ้น จางเจี้ยนจวินเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง แต่จางเหม่ยเหรินกลับหัวเราะขึ้น “เด็กอายุสิบห้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ท่านพ่อไม่ต้องเป็นกังวล”
“เจ้าไม่เข้าใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องเด็กหญิง” จางเจี้ยนจวินรู้จิตใจของผู้เป็นชายอย่างดี “ตอนนั้นท่านอ๋องมีใจต่อคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉิน แต่ถูกท่านมหาราชครูเฉินปฏิเสธ หลังจากคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินแต่งงาน ท่านอ๋องก็ไม่เคยล้มเลิกความคิด อีกทั้งยัง…อย่างไรก็ตามคุณหนูใหญ่เฉินไม่เข้าวังอีก ตอนนี้หากคุณหนูรองเฉินมีใจ เกรงว่าท่านอ๋องจะชดเชยความผิดหวัง”
จางเหม่ยเหรินกระจ่างทันที นางให้คนไปสืบว่าตอนนี้ท่านอ๋องอู๋ทำอันใดอยู่ที่ใด ไม่นานนักเหล่านางในนำข่าวที่ท่านอ๋องอู๋ส่งคนไปหาคุณหนูรองเฉินกลับมา คุณหนูรองเฉินให้คนถวายสิ่งของให้ท่านอ๋องอู๋
จางเหม่ยเหรินตะลึง จางเจี้ยนจวินก่นด่าอย่างขุ่นเคืองในทันที “ท่านมหาราชครูเฉินไร้ยางอายเสียจริง”
จางเหม่ยเหรินอยู่ในพระราชวังเป็นเวลานาน นางตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ยิ้มขึ้น “ถึงแม้ท่านอ๋องจะชื่นชอบคุณหนูรองเฉิน ท่านพ่อก็ไม่ต้องเป็นกังวล นางอยู่ในพระราชวังไม่อาจก่อความวุ่นวายได้”
สีหน้าของจางเจี้ยนจวินเปลี่ยนไป “สงครามนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากยืดเยื้อต่อไป คงจะทำให้ท่านมหาราชครูเฉินกอบกุมอำนาจใหม่อีกครั้ง”
จางเหม่ยเหรินไม่สนใจต่อเรื่องในพระราชสำนัก อย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง “ท่านอ๋องก็ไม่คิดจะก่อสงคราม แต่ราชสำนักกล่าวหาว่าท่านอ๋องส่งมือสังหารคิดก่อกบฏจึงต้องการก่อสงคราม”
มือสังหารเป็นเพียงข้ออ้าง จางเจี้ยนจวินรู้แก่ใจดี ฮ่องเต้คิดจะทำให้อำนาจของท่านโหวท่านอ๋องอ่อนแอลง ตอนแรกที่จักรพรรดิเกาจู่สถาปนาเหล่าท่านโหวท่านอ๋องก็เพื่อทำให้ใต้หล้ามีความมั่นคง แต่หลังจากใต้หล้ามั่นคงแล้ว เหล่าท่านโหวท่านอ๋องนับวันยิ่งมีอำนาจมากขึ้น อำนาจของราชสำนักนับวันยิ่งอ่อนแอลง เมื่อเป็นเช่นนี้ในระยะยาว ฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าเซี่ยก็แทบจะถูกแทนที่ด้วยท่านโหวท่านอ๋องแล้ว
ท่านโหวท่านอ๋องบางคนต้องการที่จะขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ก็จริง แต่ท่านโหวท่านอ๋องเป็นฮ่องเต้ได้ไม่ง่าย อย่างน้อยท่านอ๋องอู๋ในตอนนี้ก็เป็นไม่ได้ บางทีบุตรหลานรุ่นหลังอาจโชคดี…แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาจางเจี้ยนจวิน หากเกิดสงครามขึ้นมา ชีวิตที่ดีของเขาคงสลายไป
ต้องให้ท่านอ๋องเจรจากับราชสำนักแล้ว จางเจี้ยนจวินครุ่นคิดภายในใจ นึกถึงเหล่าจารชนจากราชสำนักที่ตนเองควบคุมเอาไว้ ถึงเวลาเจรจากับพวกเขาแล้ว ดูว่าพวกเขามีเงื่อนไขอย่างไรถึงทำยินยอมให้ราชสำนักเจรจากับท่านอ๋องอู๋
…
ขันทีก้มหน้า ฟังเสียงฝีเท้าที่เดินอยู่ด้านหลัง ถึงแม้สองข้างจะมีองครักษ์หลวงที่ถือครองอาวุธ แต่เขาก็ยังคงหวาดกลัว หันหน้ากลับไปมองเป็นครั้งครา เห็นเพียงแต่ราชทูตจากราชสำนักท่าทางเรียบเฉย…
หลังจากสงครามห้าเมือง ราชสำนักติดต่อกับเหล่าท่านโหวท่านอ๋องน้อยลงยิ่งขึ้น ขุนนางและส่วยของเมืองโจวล้วนขึ้นอยู่กับแต่ละเมือง ไม่ต้องรายงานต่อราชสำนัก คราก่อนที่พบขุนนางจากราชสำนักคือตอนที่มาประกาศการลดพื้นที่ศักดินา
แต่ตอนนั้นท่านมหาราชครูขับไล่ขุนนางคนนั้นออกไป เมืองอื่นช้ากว่าเล็กน้อย สองสามปีหลังถึงคัดค้านขึ้นมา ท่านอ๋องโจวสังหารขุนนางของราชสำนัก…เวลานี้ราชสำนักส่งกองกำลังจู่โจมเมืองอู๋ หากท่านอ๋องอู๋สังหารราชทูตจากราชสำนักก็ไม่ได้เป็นการทำเกินเหตุ
ราชทูตคนนี้ถูกค้นตัวที่หน้าประตูพระราชวังแล้ว บนตัวของเขาไม่มีอาวุธ แม้แต่ปิ่นบนศีรษะก็ถูกถอดออก ผมของเขาถูกหมวกครอบเอาไว้ นี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋อง
เขาไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีอารมณ์พินิจพระราชวัง “พระราชวังอู๋ช่างสวยงามเสียจริง สมดังคำร่ำลือ”
ขันทีไม่สนใจเขา เพียงแต่เดินนำเขาไปถึงหน้าประตูพระตำหนักด้วยใจที่หวั่นเกรง “เอาเถิด ท่านเข้าไปเสีย”
ขันทีผลักประตูเข้าไป องครักษ์หลวงจำนวนมากภายในตำหนักปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า จำนวนมากเสียจนบดบังพระราชบัลลังก์เอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นท่านอ๋องอู๋ที่อยู่ด้านบน
หวังไต้ฟูจัดเสื้อผ้าและหมวกให้เรียบร้อย ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไป ก้มลงกราบพร้อมเอ่ยเสียงดัง “คารวะท่านอ๋องอู๋!”
ประตูตำหนักด้านหลังเขาปิดลง ปิดกั้นด้านในและด้านนอก
หลังจากเฉินตันจูส่งหวังไต้ฟูแล้วก็เดินทางไปที่ประตูเมือง เฝ้ารออยู่กับบิดาหนึ่งคืน เนื่องจากเรื่องของหลี่เหลียง ประตูเมืองทั้งสี่ด้านล้วนปิดสนิท มีเพียงหนึ่งด้านที่สามารถเข้าออกได้ แต่นางไม่เห็นหวังไต้ฟูออกมาเสียที อีกทั้งไม่เห็นองครักษ์หลวงล้อมรอบตระกูลเฉินเอาไว้
เรื่องเป็นอย่างไรแล้ว เฉินตันจูทั้งไม่สบายใจทั้งฉงนทั้งผ่อนคลาย นางพิงตัวอยู่ที่กำแพงเมือง มองดูไอน้ำยามเช้าที่ทำให้เมืองอู๋ราวกับตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก นางพยายามอย่างเต็มที่แล้ว หากยังคงต้องตายก็ตายเถิด
“อาจู” เสียงแหบพร่าของเฉินเลี่ยหู่ดังขึ้นจากด้านหลัง “เจ้าไม่ต้องมาเฝ้าอยู่ตรงนี้ กลับไปดูพี่สาวของเจ้า”
เฉินตันจูส่ายหัว “ท่านพี่มีเหล่าไต้ฟูดูอยู่ ข้าอยู่กับท่านพ่อดีกว่า”
เฉินตันเหยียนและหลี่เหลียงรักใคร่กันมาก หลี่เหลียงถูกเฉินตันจูสังหาร ให้เฉินตันจูไปเผชิญหน้ากับพี่สาวคงไม่เหมาะสม เฉินเลี่ยหู่ครุ่นคิด พูดปลอบ “ได้ เมื่อจัดการเรื่องของหลี่เหลียงเสร็จสิ้น พวกเราค่อยไปหาพี่สาวของเจ้า อาจู อย่ากลัว นี่เป็นเรื่องของข้า”
เฉินตันจูรู้ว่าบิดาของตนเองคิดมากไป นางไม่ได้ไม่กล้าพบเฉินตันเหยียนเพราะสังหารหลี่เหลียง แต่เมื่อได้ยินความห่วงใยของบิดาเช่นนี้ นางจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง มองพินิจใบหน้าของบิดา พบว่าบิดาของตนเองแก่ชรากว่าในความทรงจำอย่างมาก อีกทั้งยิ่งเหน็ดเหนื่อยหลังจากที่ไม่ได้หลับมาหนึ่งคืน
“เจ้าค่ะ” นางกอดแขนของเฉินเลี่ยหู่เอาไว้ “มีท่านพ่ออยู่ก็พอ”
เฉินเลี่ยหู่ลูบศีรษะของบุตรสาวคนเล็ก ทันใดนั้นได้ยินทหารยามด้านล่างประตูเมืองขึ้นมารายงาน“ตราคำสั่งพระราชวัง จะออกเมืองไปวัดถิงอวิ๋นเก็บน้ำค้าง”
เฉินตันจูกอดแขนของเฉินเลี่ยหู่แน่น นางมองลงไปด้านล่าง เห็นเพียงชายสามคนที่สวมชุดขันทีนั่งอยู่บนหลังม้า ก่อนจะเร่งเร้าอย่างหมดความอดทน “เร็วเข้า พระราชโองการของท่านอ๋องก็ไม่ฟังแล้วหรือ อีกประเดี๋ยวดวงอาทิตย์ออกมาน้ำค้างก็แห้งแล้ว”
เมืองอู๋มั่งคั่ง ท่านอ๋องฟุ่มเฟือยตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งที่กินดื่มใช้ล้วนแปลกประหลาด แต่เวลานี้…เฉินเลี่ยหู่ขมวดคิ้วคิดจะต่อว่า ก่อนจะถอนหายใจออกมา เขารับตราคำสั่งมาพินิจ หลังจากที่มั่นใจว่าไม่มีปัญหาจึงโบกมือไปมา เรื่องของท่านอ๋องเขาไม่สนใจแล้ว ทำเพียงรักษาเมืองอู๋เอาไว้ตามหน้าที่ของตนก็พอ
ประตูเมืองเปิดออก ทั้งสามคนขี่ม้าผ่านไป เฉินตันจูเดินตามไปดูที่อีกด้าน เห็นเพียงแผ่นหลังที่คุ้นเคยของคนหนึ่งบนหลังม้า เขาไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงแค่โบกมือไปมาอยู่ด้านหลัง…
เขาเจรจากับท่านอ๋องอู๋ได้แล้ว? เฉินตันจูใช้มือยันกำแพงเมืองมองส่งอีกฝ่าย ท่านอ๋องอู๋แม้แต่นางยังทำให้เขากลัวได้ ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายเป็นคนข้างตัวของท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็ก…
เวลานี้ก็แค่รอดูว่าท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นคนอย่างไรแล้ว
“อาจู?” เฉินเลี่ยหู่ถาม “มองอันใด”
เฉินตันจูมองไปยังไอหมอกห่างไกล “พี่เขย…ร่างของหลี่เหลียงมาถึงแล้ว”
สีหน้าเหน็ดเหนื่อของเฉินเลี่ยหู่หายไปทันที เขาตะโกนออกมาอย่างขุ่นเคือง “ตั้งเสา ตีกลอง ประจาน!”
ตามเสียงคำสั่งของเขา เสาไม้สูงใหญ่ตั้งขึ้นอย่างช้าๆ เสียงกลองรบที่ดังก้องขึ้นราวกับกำลังกระทบบนหัวใจของราษฎรในเมือง ความสงบในยามเช้าสลายไป ราษฎรจำนวนมากเดินออกมาจากภายในเรือน “เกิดอันใดขึ้น”
ขบวนทหารวิ่งไปมาบนถนน ตะโกนเสียงดัง “แม่ทัพหลี่เหลียงทรยศท่านอ๋อง ตัดหัวประจาน!”
ทุกคนล้วนรู้จักแม่ทัพใหญ่หลี่เหลียง เขาเป็นบุตรเขยของท่านมหาราชครูเฉิน ทรยศท่านอ๋อง? ตัดหัว? ทันใดนั้นคนจำนวนมากต่างหลั่งไหลมายังประตูเมือง
เฉินตันจูยืนมองฝูงคนที่หลั่งไหลมาราวน้ำหลากอยู่บนกำแพงเมือง สีหน้าซับซ้อน
“คุณหนู” อาเถียนเงยหน้าขึ้น ยื่นมือออกไปรับหยาดฝน “ฝนตกอีกแล้ว พวกเรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ”
เฉินตันจูส่ายหัว “ข้าขอดูต่ออีกสักพัก”
ดูร่างของหลี่เหลียงถูกแขวนประจานหรือ มีอันใดน่าดูกัน อาเถียนถอนหายใจ
…
ภายในค่ายทหารถังอี้ หวังไต้ฟูนำหนังสือม้วนวางลงบนโต๊ะ เผยเสียงหัวเราะดัง
“ท่านแม่ทัพ หนังสือยินยอมเจรจากับราชสำนักของท่านอ๋องอู๋ประกาศออกไป กองทัพอู๋ก็พังทลายแล้ว” เขาพูดอย่างยิ้มแย้ม มองดูหนังสือที่บันทึกการสอบสวนขุนศึกโจวถูกกางออก เขายอมรับแผนการที่
หลี่เหลียงจะจู่โจมเมืองอู๋ สิ่งที่โหดร้ายที่สุดไม่ใช่การสังหารภรรยา แต่เป็นการขุดเขื่อนให้น้ำหลั่งไหลเข้าไป เพียงพอต่อการสังหารราษฎรและกองทัพนับหมื่น…
มันเป็นวิธีการจู่โจมเมืองอู๋ที่รวดเร็วที่สุด แต่โหดเหี้ยมเกินไป เวลานี้ไม่ต้องใช้วิธีนี้ในการจู่โจมเมืองอู๋เป็นการดีที่สุดแล้ว
ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กถือหนังสือขอเข้าพบฮ่องเต้ของท่านอ๋องอู๋ขึ้นมาดู “เมืองแตกโดยไม่ต้องจู่โจมย่อมดีที่สุด”
หวังไต้ฟูลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นข้าจะประกาศในเมืองอู๋…ยึดครองค่ายถังอี้นี้ก่อน จากนั้นสั่งการให้กองทัพของพวกเราข้ามแม่น้ำลงไปทางใต้ของเมืองอู๋”
ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็ก “คุณหนูรองเฉินพูดอย่างไรกับท่านอ๋องอู๋”
หวังไต้ฟูผงะ เรื่องนี้สำคัญหรือ