เฉินตันจูออกจากจวนตระกูลเฉิน อาเถียนเดินตามนางอยู่ด้านหลัง ทั้งกังวลทั้งไม่เข้าใจ นายท่านคิดจะฆ่าคุณหนูรอง ยังดีที่มีคุณหนูใหญ่รั้งเอาไว้ แต่คุณหนูรองก็ยังถูกขับไล่ออกจากตระกูล เพียงแต่ท่าทางของคุณหนูรองไร้ซึ่งความเกรงกลัวและความกังวล
เฉินตันจู เดินอยู่บนถนนอย่างมีความสุข อีกทั้งยังอดฮัมเพลงออกมาไม่ได้ หลังจากที่ฮัมเพลงออกมาถึงได้นึกขึ้นได้ว่าเป็นเพลงที่ตนเองชื่นชอบที่สุดในตอนเด็ก นางไม่ได้ร้องมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว
หลี่เหลียงถูกสังหาร ท่านพ่อท่านพี่และคนในตระกูลยังมีชีวิตอยู่ ภูเขาที่แบกอยู่บนหลังนางมาสิบปีถูกยกลงมาแล้ว
อาเถียนมองดูท่าทางดีใจของเฉินตันจู ถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนูรอง ต่อจากนี้พวกเราจะไปที่ใด”
เฉินตันจูชะงักฝีเท้าลง ทุกหนแห่งบนถนนล้วนเต็มไปด้วยความคึกคัก ฮ่องเต้เข้าไปในพระราชวังของท่านอ๋องอู๋แล้ว แต่เหล่าราษฎรยังไม่สลายตัวไป พวกเขากำลังถกเถียงเรื่องของฮ่องเต้ ทุกคนล้วนพบฮ่องเต้เป็นครั้งแรก
ฮ่องเต้ไม่เคยออกห่างจากเมืองหลวง ตามหลักแล้วเหล่าท่านอ๋องควรต้องเข้าพบทุกปี แต่สำหรับราษฎรในพื้นที่เมืองอู๋ปัจจุบัน ในความทรงจำของพวกเขาท่านอ๋องไม่เคยไปเข้าพบฮ่องเต้ ก่อนหน้านี้มีขุนนางจากราชสำนักเดินทางมาบ้าง แต่หลายปีนี้ขุนนางจากราชสำนักไม่อาจเข้ามาได้
คนจำนวนมากหลั่งไหลไปยังพระราชวัง
เฉินตันจูยืนอยู่บนถนน เมืองหลวงในชาติก่อนไม่ได้คึกคักเช่นนี้ หลังจากเกิดภัยน้ำหลากทำให้คนจมน้ำตายเกลื่อน อีกทั้งหลี่เหลียงยังกวาดล้างคนในเมืองจำนวนมาก เมื่อรอฮ่องเต้เข้ามา เมืองหลวงอู๋ที่เจริญรุ่งเรืองก็ราวกับเมืองแห่งความตายไปแล้ว
เฉินตันจูมองไปยังนอกเมือง “พวกเรากลับอารามดอกท้อเถิด”
อาเถียนดีใจขี้นมาทันที จริงสิ คุณหนูรองถูกขับไล่ออกจากตระกูล แต่ไม่มีใครบอกว่าไปอารามดอกท้อไม่ได้
นางพูดอย่างดีใจ “ สิ่งของของพวกเรายังอยู่ในอารามดอกท้อ” ก่อนจะหันไปมองรอบด้าน “คุณหนู ข้าจะไปจ้างรถ”
จากตัวเมืองเดินทางขึ้นเขาต้องเดินไกลมาก
เฉินตันจูตอบรับ นางมองดูถนนที่ไม่คุ้นตาตรงหน้า อย่างไรก็มีสิบปีที่ไม่เคยมา อาเถียนหาร้านค้าเช่ารถม้าอย่างคุ้นชิน จ้างรถคันหนึ่งก่อนที่นายบ่าวสองคนจะเดินทางไปยังอารามดอกท้อด้านนอกเมือง
เฉินตันจูดูทิวทัศน์ด้านนอกตลอดทาง เกิดใหม่กลับมาครั้งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีอารมณ์มองดูลักษณะรอบด้าน ทำให้อาเถียนไม่เข้าใจอย่างมาก เมืองหลวงอู๋สวยงามมาก แต่ดูมานานหลายปีก็ไม่มีสิ่งแปลกใหม่แล้ว
เฮ้อ หากนางกลับมาจากสิบปีต่อมา นางคงไม่มีทางคิดเช่นนี้ เฉินตันจูมองอาเถียนที่หวีผมทรงบ่าวรับใช้และความอ่อนเยาว์บริเวณหางตา จิ้งซินก็ถูกกักขังในอารามดอกท้อสิบปีเช่นเดียวกัน
อารามดอกท้อไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรภายในสิบปี เฉินตันจูเดินทางมาถึงด้านล่างของภูเขา นางเงยหน้าขึ้นมอง เหล่าบ่าวรับใช้ที่อยู่ในอารามดอกท้อวิ่งออกมาต้อนรับ อาเถียนให้พวกนางหยิบเงินจ่ายค่ารถม้า ก่อนจะกำชับทุกคน “คุณหนูเหนื่อยแล้ว เตรียมอาหารและน้ำร้อน”
คนที่นี่ต่างรู้สิ่งที่เฉินตันจูทำในหลายวันนี้ เวลานี้เห็นเฉินตันจูกลับมา นอกจากสีหน้าที่ตกตะลึงแล้วก็ไม่กล้าถาม
เฉินตันจูกินอาหารทั้งโต๊ะจนอิ่ม อาเถียนนั่งกินอยู่ที่โต๊ะตัวเล็กด้านข้าง เหล่าสาวใช้ต่างมองอย่างตกตะลึง
“พวกข้าหิวมานานแล้ว” อาเถียนพูดกับพวกนาง “หลายวันนี้ข้ากับคุณหนูไม่ได้กินข้าวอย่างจริงจังสักมื้อ หิวจนข้าลืมว่าหิวคืออะไรแล้ว”
ทั้งสองคนกินเสร็จ น้ำร้อนก็เตรียมเสร็จแล้วเช่นเดียวกัน เฉินตันจูแช่น้ำล้างตัวชำระเรื่องเก่าออกไป เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด ก่อนจะห่มผ้าข่มตาหลับไป นางไม่ได้นอนอย่างเต็มอิ่มมานานมากแล้ว…
ยามค่ำคืนปกคลุมภูเขาดอกท้อ อารามดอกท้อสว่างไสวด้วยแสงไฟ ราวกับดวงไฟที่แขวนอยู่กลางอากาศ คนภายใต้แสงเงายามค่ำคืนภายใต้ภูเขามองมาทางนี้อีกครั้ง ก่อนจะเร่งม้าจากไป
ภายในพระราชวังของท่านอ๋องอู๋กำลังจัดงานเลี้ยงฉลอง นอกจากท่านมหาราชครูเฉินที่ถูกกักขังเอาไว้ รวมไปถึงผู้คนที่มองออกว่าท่านอ๋องอู๋กำลังจะสูญเสียอำนาจจึงปฏิเสธการเข้าร่วมงานเลี้ยงแล้ว ขุนนางแทบทั้งหมดของเมืองล้วนเดินทางมา ฮ่องเต้และท่านอ๋องอู๋นั่งเสมอกัน พูดคุยหัวเราะกับเหล่าตระกูลชั้นสูงในเมืองอู๋
สุรารสเลิศถวายขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย หญิงงามกำลังเต้นระบำอยู่ตรงกลาง นักกวีสะบัดหมึกแสดงความสามารถของตนเอง มีเพียงท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ยังคงสวมชุดเกราะและหน้ากากเหล็กที่ไม่เข้ากับบรรยากาศ เหล่าหญิงงามไม่กล้าอยู่ข้างตัวเขานาน อีกทั้งไม่มีขุนนางคนใดคิดจะพูดคุยกับเขา…หรือต้องถกเถียงกับเขาว่าสังหารคนอย่างไร
สงครามห้าเมืองในตอนนั้น เมืองเยียนถูกเมืองฉี เมืองโจวและเมืองอู๋ร่วมมือกันตีแตก กองกำลังของราชสำนักบุกรุกเข้าเมือง ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กลงมือประหารท่านอ๋องเยียน เหล่าตระกูลชั้นสูงของท่านอ๋องเยียนล้วนถูกประหารทั้งตระกูล
นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กดึงดูดความสนใจของเหล่าท่านอ๋องได้ จากนั้นคือการกวาดล้างท่านอ๋องหลู จากนั้นอีกยี่สิบกว่าปี ทุกคนมักได้ยินชื่อเสียงของเขาอย่างไม่ขาดสาย
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่สนใจที่ถูกละเลย เขาสวมหน้ากากไม่ดื่มสุรา เพียงแค่มองไปยังการแสดงตรงกลาง มือของเขาเคาะอยู่บนโต๊ะตามจังหวะแผ่วเบา ทหารคนหนึ่งเดินผ่านกลุ่มคนมากระซิบที่ด้านหลังเขา หลังจากที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กฟังจบจึงพยักหน้า ทหารรายนั้นจึงถอยออกไปอยู่ด้านข้าง แม่ทัพหน้ากากเหล็กลุกขึ้นเดินไปทางที่นั่งของท่านอ๋อง
องครักษ์หลวงและขันทีบริเวณรอบด้านที่นั่งไม่กล้ารั้งเขา ทำได้เพียงมองแม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินมาด้านข้างฮ่องเต้
“ฝ่าบาท” เขาพูด “เมื่อทุกคนยังอยู่ พูดเรื่องที่น่ายินดีนั้นเสียเถิด”
ท่านอ๋องอู๋ได้ยิน จึงถามขึ้นอย่างดีใจ “เรื่องอันใด”
ฮ่องเต้ยิ้ม ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง ท่านอ๋องอู๋รีบให้ขันทีสั่งหยุดการแสดง ก่อนจะได้ยินฮ่องเต้พูด “ตอนนี้ข้ากระจ่างแล้ว ท่านอ๋องอู๋ไม่ได้ส่งมือสังหารมาลอบสังหารข้า ข้าอยู่ในเมืองอู๋อย่างสบายใจ ดังนั้นจึงคิดจะอยู่ต่ออีกหลายวัน”
เหล่าขุนนางภายในตำหนักต่างดื่มจนได้ที่แล้ว บ้างดวงตามัวเมา บ้างนอนกอดหญิงงาม บ้างยกแก้วด้วยความดีใจ “ดี!”
ท่านอ๋องอู๋มองไปยังฮ่องเต้อีกครั้ง “หากฝ่าบาทไม่รังเกียจ…”
ฮ่องเต้พูดขัดเขา “พระราชวังของท่านอ๋องอู๋ไม่เลว เพียงแต่เล็กไป”
ท่านอ๋องอู๋ไม่พอใจเล็กน้อย เขาเคยไปเมืองหลวง พระราชวังหลวงไม่ได้ใหญ่กว่าพระราชวังของท่านอ๋องอู๋มากมายนัก “พระราชวังทรุดโทรม ฝ่าบาทให้อภัย…”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กยืนอยู่ด้านหน้าของท่านอ๋องอู๋ หน้ากากเหล็กเย็นยะเยือกจ้องมองเขา “ท่านอ๋องย้ายออกไป พระราชวังก็กว้างขวางเพียงพอต่อฝ่าบาทแล้ว”
ไม่รู้ว่าตกใจกับใบหน้าของเขา หรือว่าคำพูดของเขา ท่านอ๋องอู๋นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “อันใด”
ฮ่องเต้มือถือแก้วสุรา พูดขึ้นอย่างเชื่องช้า “ข้าบอกว่า ให้เจ้าออกจากพระราชวังไป!”
ท่านอ๋องอู๋ได้ยินชัดในที่สุด เขาตกตะลึง ก่อนจะร้องเสียงดัง “ใคร…”
“ฮ่องเต้อยู่ตรงนี้!” แม่ทัพหน้ากากเหล็กมือถือดาบยืนอยู่ด้านหน้าที่นั่งของฮ่องเต้ เสียงของเขาแหบพร่าราวกับถูกฟ้าผ่า “ผู้ใดกล้า!”
เหล่าขันทีหวาดกลัวจนถอยหลังไป เหล่าองครักษ์ต่างชักอาวุธออกมา แต่ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเท้าขึ้นหน้า คนที่มึนเมาในตำหนักต่างตื่นขึ้น พวกเขาพลางกรีดร้องพลางวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนที่นั่ง มองดูแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่อยู่ด้านข้าง หัวเราะเสียงดัง “เจ้าพูดถูก ข้าเห็นสภาพของท่านอ๋องในตอนนี้เองถึงจะสนุก”