บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 31 สิ่งที่คิด

ตอนที่ 31 สิ่งที่คิด

ตระกูลเฉินยามค่ำคืนเงียบสงบ ทางบ้านใหญ่ที่เดิมทีมีคนน้อยยิ่งหดหู่ 

 

 

ภายในห้องตำราสว่างไสวด้วยแสงไฟ เฉินเลี่ยหู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ด้านหน้ามีชามยาที่ส่งกลิ่นรุนแรงวางอยู่ 

 

 

เฉินเลี่ยหู่กระแอมไอหลายครั้ง เขาใช้มือปิดปาก เอ่ยถาม “พวกเขายังมาอีกหรือ? พวกเขาพูดอะไร” 

 

 

เวลากลางวันนายน้อยรองหยางพาคนกลุ่มหนึ่งมายังตระกูลเฉิน บอกว่าขอเข้าพบเฉินเลี่ยหู่ แต่ถูก 

 

 

ก่วนเจียใช้ข้ออ้างถูกพระราชโองการคุมขังไว้ปฏิเสธไป แต่คนเหล่านี้ยังคงยืนกรานจะพบเฉินเลี่ยหู่ บอกว่าเมืองอู๋ถึงเวลาแห่งความเป็นความตาย 

 

 

เฉินเลี่ยหู่ไม่ได้พบ ก่วนเจียนั่งกับพวกเขาครึ่งวัน 

 

 

ก่วนเจียถอนหายใจ เล่าเรื่องที่ฮ่องเต้ขับไล่ท่านอ๋องอู๋ออกจากพระราชวังออกมาอย่างระมัดระวัง 

 

 

“เวลานี้ประตูพระราชวังปิดแน่น กองกำลังสามร้อยของฝ่าบาทเฝ้าไม่ให้คนเข้าใกล้” เขาพูด “ด้านนอกล้วนตกใจ” 

 

 

ตอนที่เขาได้ยินข่าวนี้ก็ตกใจมากเหมือนกัน ช่างเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยคิดมาก่อน ก่อนหน้านี้เขาเคยติดตามเฉินเลี่ยหู่พบเห็นเหล่าท่านอ๋องล้อมรอบพระราชวังหลวงเอาไว้ ฮ่องเต้ตกใจจนไม่กล้าออกมา 

 

 

ตั้งแต่เมื่อใดที่ เหล่าท่านอ๋องและฮ่องเต้ล้วนเปลี่ยนไป 

 

 

หลังจากสงครามห้าเมือง ฮ่องเต้ที่ประสบความลำบากกับเหล่าท่านอ๋องที่ได้ใจล้วนเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ฝ่ายหนึ่งทุ่มเทกำลังสร้างเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ฝ่ายหนึ่งท่านอ๋ององค์เก่าตายไปท่านอ๋ององค์ใหม่ไม่รู้ความลำบากของราษฎร…เฉินเลี่ยหู่ไม่พูด 

 

 

ทุกคนยังคงคิดว่าฮ่องเต้เกรงกลัวเหล่าท่านอ๋อง เหล่าท่านอ๋องมีกองทัพแข็งแกร่งทำให้ราชสำนักไม่กล้ารุกราน แต่อันที่จริงมันได้เปลี่ยนไปแล้ว 

 

 

“พวกเขาบอกว่าท่านอ๋องทำเช่นนี้ต่อท่านมหาราชครูเพราะความกลัว ตอนนั้นคุณหนูรองใช้อาวุธบังคับท่านอ๋องภายในพระราชวัง ทำให้ท่านอ๋องต้องยอมรับปากเข้าพบฮ่องเต้” 

 

 

อาวุธ? เรื่องนี้เฉินเลี่ยหู่ไม่เคยรู้มาก่อน สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไป ตันจูหรือ เฮ้อ นางกล้าสังหาร 

 

 

หลี่เหลียง หากจะใช้อาวุธต่อท่านอ๋องก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้… 

 

 

หากเป็นเช่นนั้น… 

 

 

“ท่านอ๋องไม่เชื่อว่าคุณหนูตันจูจะทำเรื่องนี้ด้วยตนเอง คิดว่าท่านมหาราชครูสั่งการอยู่เบื้องหลัง ท่านมหาราชครูยอมจำนนต่อราชสำนักแล้ว” ก่วนเจียบอกเล่าคำพูดของคุณชายเหล่านั้น “แม้แต่ท่านมหาราชครูยังทรยศท่านอ๋องแล้ว ท่านอ๋องทั้งเสียใจทั้งหวาดกลัว จึงต้องเชิญฮ่องเต้เข้ามา สุดท้ายก็อดโกรธเคืองไม่ได้ อาศัยช่วงที่ท่านมหาราชครูก่อกวนกักขังท่านเอาไว้” 

 

 

หากเป็นเช่นนี้ ท่านอ๋องกักขังเขาเอาไว้ก็ไม่ผิด เฉินเลี่ยหู่ยกชามยาขึ้น “พวกเขาต้องการอะไร” 

 

 

คำพูดก่อนหน้านี้สามารถปลอบประโลมใจของนายท่านที่ถูกท่านอ๋องทำร้าย แต่คำพูดต่อจากนี้ 

 

 

ก่วนเจียไม่อยากพูด เขาเงียบไปด้วยความลังเล 

 

 

เฉินเลี่ยหู่ถลึงตา “พูด!” 

 

 

“คุณชายหยางอยากให้นายท่านไปตำหนิฮ่องเต้” ก่วนเจียทำได้เพียงพูดอย่างระอา “นอกจากจะทำให้ท่านอ๋องเห็นเจตนาของท่าน ไขความเข้าใจผิด วิกฤตก็สามารถถูกกำจัดได้” 

 

 

เขาพูดจบก็เดินขึ้นหน้า 

 

 

“นายท่าน ท่านไปไม่ได้นะขอรับ ตอนนี้ท่านไม่มีตราอาญาสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ทางกองทัพ ตระกูลเรามีองครักษ์เพียงไม่กี่สิบคน แต่ทางฮ่องเต้มีสามร้อย หากฮ่องเต้ต้องการสังหารท่าน ไม่มีผู้ใดรั้งได้…” 

 

 

เฉินเลี่ยหู่หัวเราะออกมา ยกยาขึ้นดื่มจนหมดแล้วลุกขึ้นยืน 

 

 

“กองกำลังสามร้อยแล้วอย่างไร เขาเป็นฮ่องเต้ แต่ข้าเป็นมหาราชครูที่จักรพรรดิเกาจู่ยกให้ท่านอ๋อง เขาอยากสังหารข้า ไม่ง่ายเพียงนั้น!” 

 

 

 

 

 

แสงไฟพลิ้วไหว เฉินตันจูนั่งมองใบหน้าภายในกระจกอยู่หน้าโต๊ะ คิ้วบางดุจเขาห่างไกล ผิวขาวดุจหิมะ ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกตา เหมือนเรื่องและคนในตอนนี้ นางราวกับเข้าใจแต่ก็ราวกับไม่เข้าใจ 

 

 

อาเถียนถือถ้วยชาเดินเข้ามาอย่างเบามือ นางมองเฉินตันจูอย่างเป็นกังวล หลังจากฟังข่าวที่ชายหนุ่มนั้นสืบมา คุณหนูรองก็เหม่อลอยอยู่เช่นนี้ 

 

 

“คุณชายหยางไปหานายท่านทำไมกัน” นางอดถามไม่ได้ 

 

 

เหล่าหยางจิ้งอยู่ภายในหอสุรา ถึงแม้ห้องจะปิดมิดชิด แต่อย่างไรก็เป็นสถานที่คนพลุกพล่าน องครักษ์สามารถสืบว่าพวกเขาพูดอะไรได้อย่างง่ายดาย แต่หลังจากที่พวกเขาไปถึงจวนท่านมหาราชครูก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรบ้างแล้ว 

 

 

“ยังจะพูดอะไรได้อีก ท่านอ๋องถูกขับไล่ออกจากพระราชวัง พวกเขาต้องการคนขับไล่ฮ่องเต้ออกมา” เฉินตันจูมองกระจกพูดอย่างเฉื่อยช้า 

 

 

อาเถียนกระจ่าง ก่อนจะพูดขึ้น “แต่คนข้างตัวของท่านอ๋องมีมากมาย เหตุใดจึงให้นายท่านไป” 

 

 

“คนข้างตัวของท่านอ๋องสูงส่ง” เฉินตันจูพูด “มีเพียงแซ่เฉินที่ต่ำต้อย สมควรตาย” 

 

 

ให้ท่านพ่อไปหาฮ่องเต้ คนโง่ก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น 

 

 

ท่านพ่อคัดค้านฮ่องเต้เข้าเมืองอู๋ แต่ฮ่องเต้ตัดสินใจดับเมืองอู๋อย่างแน่วแน่ หากทั้งสองเผชิญหน้ากัน ย่อมต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย 

 

 

ฝ่ายที่ตายย่อมต้องเป็นท่านพ่อ 

 

 

ถึงแม้ฮ่องเต้จะมีกองกำลังเพียงสามร้อย แต่เขาคือโอรสสวรรค์ ส่วนท่านพ่อ ถึงแม้จะยืนอยู่บนพื้นที่เมืองอู๋ แต่หากถึงเวลาต้องสู้จนตัวตาย เขาก็มีเพียงตัวคนเดียว 

 

 

ท่านอ๋องและเหล่าขุนนางรอคอยเพียงเขาทำให้ฮ่องเต้ตกใจ ส่วนเขาจะเป็นหรือตายล้วนไม่สนใจ 

 

 

“อาเถียน” นางหันหน้าไปมองอาเถียน “ข้ากลายเป็นคนบาปในสายตาของคนเมืองอู๋แล้ว ในสายตาของทุกคน ข้าและท่านพ่อสมควรตายถึงจะสมใจท่านอ๋องอู๋และเมืองอู๋ใช่หรือไม่” 

 

 

ตั้งแต่ที่นางสังหารหลี่เหลียง นางก็กลายเป็นหลี่เหลียงภายในสายตาของคนอู๋เมื่อชาติก่อน 

 

 

อาเถียนเรียกขานคุณหนู “ไม่ใช่เจ้าค่ะ พวกเขาไม่กล้าไปยั่วยุ ฮ่องเต้ ทำได้เพียงรังแกคุณหนูและนายท่าน” 

 

 

ท่านอ๋องอู๋ได้รับการเหยียดหยามเพียงนี้ เหล่าขุนนางชั้นสูงจำนวนมากนั้นล้วนสมควรไปซักถามฮ่องเต้ที่พระราชวัง ไปถกเถียงความจริงเท็จเหตุผลกับฮ่องเต้ เป็นบุรุษดีที่แม้จะเลือดสาดต่อหน้าประตูพระราชวัง 

 

 

แต่พวกเขาไม่ทำ บ้างปิดประตูแน่นสนิท บ้างหารืออย่างโกรธเคืองด้านนอก แต่สิ่งที่หารือคือการหาคนผิด ให้คนอื่นมาทำเรื่องนี้ 

 

 

“คุณหนู พวกเราอย่าสนใจพวกเขาเลยเจ้าค่ะ” อาเถียนกอดแขนของเฉินตันจูเอาไว้ พูดทั้งน้ำตา “พวกเราไม่ไปพระราชวัง พวกเราไปเกลี้ยกล่อมนายท่าน…” 

 

 

เฉินตันจูยื่นมือออกมาเช็ดน้ำตาของอาเถียน พลางส่ายหัว “ไม่ ข้าไม่เกลี้ยกล่อมท่านพ่อ” 

 

 

ไม่อันตรายอย่างมากหรือ หากนายท่านพบคุณหนู ต้องสังหารคุณหนูอย่างแน่นอน โดยเฉพาะหากเห็นคุณหนูยืนอยู่ข้างฮ่องเต้ อาเถียนมองเฉินตันจู คุณหนูคงไม่ย่อท้อใจคิดจะเดินทางไปตายใช่หรือไม่ 

 

 

เฉินตันจูหัวเราะ ยื่นมือลูบปลายจมูกของนาง “ข้ามีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ไม่มีทางไปตายอย่างง่ายดาย ครานี้ หากต้องตายก็ให้คนอื่นไปตาย พวกเราต้องมีชีวิตอยู่” 

 

 

อาเถียนยิ่งฉงน อะไรคือมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ให้คนอื่นไปตายหมายความว่าอย่างไร อีกทั้งเหตุใดคุณหนูจึงลูบจมูกของนาง นางโตกว่าคุณหนูหนึ่งปีนะ… 

 

 

“ไป ถามองครักษ์คนนั้น ให้คนที่ตัดสินใจได้ของพวกเขาเข้ามา ข้ามีเรื่องต้องคุยกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก” เฉินตันจูผลักนางออกไป “ไปเตรียมรถม้าเอาไว้ พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางแต่เช้า” 

 

 

ถึงแม้อาเถียนจะฉงน แต่ก็ยังคงทำตามอย่างเชื่อฟังคำสั่งของเฉินตันจู นางเดินออกมาไม่รู้จะเรียกคนอย่างไร ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการอารักขา แต่อันที่จริงก็คือการเฝ้าจับตา นี่มันเรื่องอะไรกัน อาเถียนยืนอยู่บนทางเดินเลียนแบบคำพูดของเฉินตันจู “ใครก็ได้ออกมาที” 

 

 

ท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับมีร่างคนเคลื่อนไหว ไม่มีคนเดินออกมาทันที ผ่านไปสักพักมีคนหนึ่งเดินออกมา คนนี้สามารถตัดสินใจได้หรือ อาเถียนบอกให้เขาเข้าห้อง “คุณหนูมีรับสั่ง” 

 

 

องครักษ์คนนั้นเดินเข้าไป อาเถียนครุ่นคิด ในเมื่อคุณหนูใช้คนเหล่านี้ได้ นางก็จะไม่เกรงใจ ดังนั้นจึงเรียกคนออกมาอีกครั้ง 

 

 

ทันใดนั้นมีองครักษ์อีกคนเดินออกมา 

 

 

อาเถียนไม่เกรงใจ “ไปจ้างรถมา คุณหนูจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า” 

 

 

องครักษ์ตอบรับ ในขณะที่กำลังจะจากไป อาเถียนเสริมขึ้นอีกครั้ง “ไปซื้อเอ็นกวางตุ๋นที่หอซิ่งฮวาทางตะวันตกมาด้วย เอาไว้ให้คุณหนูกินกับข้าว” 

 

 

ใช้หนึ่งครั้งคือใช้ สองครั้งก็ใช้เช่นเดียวกัน เอ็นกวางตุ๋นของหอซิ่งฮวาซื้อได้ไม่ง่าย ตอนที่อยู่จวนนางต้องตื่นแต่เช้าไปถึงจะแย่งชิงมาได้ 

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท