เฉินตันจูกลับมาถึงค่ายทหารเมืองอู๋ ขันทีที่รอคอยถามอย่างรีบร้อน บอกว่า…เขาถูกท่านอ๋องอู๋ส่งมา แต่ไม่กล้าไปค่ายทหารของราชสำนัก
“ราชทูตฮ่องเต้บอกว่า ฝ่าบาทกำลังเตรียมข้ามแม่น้ำมา แต่ข้าขอไม่ให้กองกำลังของราชสำนักข้ามมาด้วย ฮ่องเต้ต้องเดินทางเข้าเมืองอู๋ด้วยตนเอง” เฉินตันจูพูด “ราชทูตบอกว่าจะกลับไปทูลฝ่าบาท จากนั้นจะกลับมาให้คำตอบพวกเรา”
นางพูดตรงไปจริงหรือ ขันทีตระหนกอย่างมาก คำพูดนี้อย่าว่าแต่พูดกับฮ่องเต้ แต่พูดกับท่านอ๋องโจวหรือท่านอ๋องฉี พวกเขาคงไม่มีทางยอม!
“คุณหนูรอง” เขาพูดด้วยคิ้วขมวด “หากทำให้ฮ่องเต้กริ้วแล้วส่งกองกำลังจู่โจมเข้ามา ท่านจะกลายเป็นคนบาป”
เฉินตันจูหัวเราะเสียงเย็นภายในใจ ฮ่องเต้จู่โจมเข้ามาไม่ใช่เพราะนาง
“กงกงวางใจ” นางพูด “หากจู่โจมเข้ามาจริง พวกเราตอบแทนท่านอ๋องด้วยความตาย”
เจ้าจะตาย เขาไม่อยากตาย ขันทีทั้งโกรธทั้งกลัว ภายในใจคิดจะให้ทหารที่นี่ส่งเขากลับเมืองหลวงไปทันที
เฉินตันจูไม่สนใจเขา มองดูเหล่าแม่ทัพที่มาต้อนรับ เหล่าแม่ทัพมองนางด้วยสายตาตกตะลึง ในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนคุณหนูรองเฉินเดินทางมาถึงสองครั้ง ครั้งแรกถือตราอาญาสิทธิ์ของท่านมหาราชครูเฉินสังหารหลี่เหลียง
พวกเขาต่างรู้แล้วว่าหลี่เหลียงตายอย่างไร ในเวลาเดียวกับที่ท่านมหาราชครูเฉินนำร่างของหลี่เหลียงแขวนประจานที่หน้าประตูเมือง เขาก็ส่งคนมารายงานในค่ายทหาร จับกุมพรรคพวกของหลี่เหลียง เรื่องนี้ยังไม่จบสิ้น คุณหนูรองเฉินก็เดินทางมาอีกแล้ว ครั้งนี้ถือพระราชโองการของท่านอ๋อง กลายเป็นราชทูตต้อนรับฮ่องเต้!
ก่อนหน้านี้กองกำลังและเรือรบของราชสำนักพร้อมโจมตี พวกเขาเตรียมเผชิญหน้า ไม่คิดว่าคนทางนั้นจะถือพระราชโองการของท่านอ๋องอู๋ บอกว่าท่านอ๋องอู๋จะต้อนรับฮ่องเต้เข้าเมืองอู๋ ช่างเหลือเชื่อเสียจริง…ราชทูตของฮ่องเต้นำพระราชโองการมาให้พวกเขาดู พระราชโองการเป็นของแท้
ต้อนรับฮ่องเต้! สงครามนี้ไม่ทำแล้ว?! ผู้ที่อยากรบตกตะลึง ผู้ที่เดิมทีไม่อยากรบก็ตกตะลึง ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเมืองหลวงเกิดอันใดขึ้น คุณหนูรองเฉินกลายเป็นคนที่ได้รับความเชื่อใจที่สุดของท่านอ๋องอู๋ได้อย่างไร
เฉินตันจูไม่สนใจความตกตะลึงของพวกเขา อีกทั้งไม่อธิบายเรื่องเหล่านี้ เพียงแค่ถามว่าเฉินเฉียงอยู่ที่ใด
ครั้งก่อนเฉินเฉียงหายตัวไปหลังจากพบเฉินลี่ นางไม่มีเวลาสืบหาในค่ายทหาร นำร่างของหลี่เหลียงจากไปอย่างเร่งรีบ เวลานี้ในมือนางมีพระราชโองการ จะถามอันใดสืบอันใดย่อมได้
สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือเฉินเฉียงยังไม่ตาย เขาถูกส่งตัวมาอย่างรวดเร็ว คำอธิบายที่ได้มาคือหลี่เหลียงตายแล้ว คุณหนูรองเฉินเดินทางกลับไปแล้ว ดังนั้นเหลือเขาเอาไว้รับมือต่อหน้าที่ของหลี่เหลียง ถึงแม้หลายวันนี้เฉินเฉียงจะถูกคุมขังเอาไว้…
ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือคนของจางเจี้ยนจวิน หรือพรรคพวกของหลี่เหลียง หรือว่าคนของราชสำนัก
เฉินเฉียงเพิ่งรับรู้เป้าหมายในการมาของเฉินตันจู เขามีความรู้สึกเหมือนพลิกฟ้าเปลี่ยนดินภายใต้ความฉงน ท่านอ๋องอู๋เชิญฮ่องเต้เข้าเมืองอู๋? ท่านมหาราชครูไม่มีทางยินยอม เฮ้อ คนอื่นอาจไม่รู้ ท่านมหาราชครูออกรบเป็นเวลานาน มองดูความขัดแย้งระหว่างเหล่าท่านอ๋องและราชสำนักมาหลายสิบปี เขาจะไม่รู้ท่าทีของราชสำนักที่มีต่อเหล่าท่านอ๋องได้อย่างไร
หากเหล่าท่านอ๋องก้มหัวลง ฮ่องเต้ไม่มีทางเหลือโอกาสให้พวกเขา…เนื่องจากเห็นแก่เห็นเฉินตันจู เฉินเฉียงจึงคิดว่านางเป็นตัวแทนของท่านมหาราชครู
เฉินตันจูถอนหายใจภายในใจ ใช้พระราชโองการส่งเฉินเฉียงไปไว้ที่ปากแม่น้ำ “รักษาเขื่อนเอาไว้ให้ได้”
ถึงแม้ชาตินี้ยังคงต้องตาย เมืองอู๋ยังคงล่มสลาย แต่หวังว่าเหตุการณ์ซากศพเกลื่อนพื้นที่เพราะน้ำหลากจะไม่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เฉินเฉียงเลือกทหารที่พึ่งพาได้ที่สุดไปเฝ้าอยู่ที่ปากแม่น้ำ เฉินตันจูยืนมองแม่น้ำที่ห่างไกลออกไปอยู่ด้านนอกค่ายทหาร แม่น้ำหลั่งไหลอย่างไม่ขาดสาย อีกฝั่งไม่รู้ว่ามีกองทัพจำนวนมากน้อยเพียงใด ภายในแม่น้ำจะมีเรือรบมากน้อยอีกเพียงใด
บนแม่น้ำในเวลานี้มีเรือเพียงหนึ่งลำที่กำลังข้ามฝั่ง แม่ทัพหน้ากากเหล็กนั่งอยู่หัวเรือ ภายในมือถือไม้ไผ่ตกปลา ภาพในเวลานี้ราวกับภาพวาด แต่หวังไต้ฟูที่ชื่นชมงานเขียนไม่มีอารมณ์วาดภาพแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ทัพ ท่านไม่อาจทำให้ฝ่าบาทกริ้วได้อีกแล้ว!” เขาพูดเสียงทุ้ม “เรื่องสงครามยืดเยื้อมานานเกินไปแล้ว ฝ่าบาททรงกริ้วหนักมากแล้ว”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “กำลังจะเข้าเมืองอู๋ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
หวังไต้ฟูเดินขึ้นหน้า หัวเรือที่คับแคบเพียงพอต่อการนั่งแค่หนึ่งคน เขาทำได้เพียงยืนอยู่ด้านหลังของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก “ฝ่าบาทจะเข้าเมืองอู๋ตัวคนเดียวได้อย่างไร เวลานี้ไม่ใช่หลายสิบปีก่อน ฮ่องเต้ไม่ต้องดูสีหน้าของเหล่าท่านอ๋อง ถูกพวกเขารังแกอีกต่อไป ถึงเวลาต้องให้พวกเขารับรู้ถึงอำนาจของฮ่องเต้แล้ว”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ข้ารู้สึกว่าคุณหนูรองเฉินพูดถูก เมื่อเทียบกับใช้กองกำลังนับพันนับหมื่นกวาดล้างเมืองอู๋ การที่ฝ่าบาทเดินทางเข้าเมืองอู๋ตัวคนเดียวจะยิ่งแสดงถึงอำนาจโอรสสวรรค์” เขามองไปยังผิวน้ำ น้ำเสียงโศกเศร้า “อำนาจของเหล่าท่านอ๋องยึดครองพื้นดินเป็นเวลานาน ราษฎรในพื้นที่ศักดินาเหล่านี้รู้เพียงท่านอ๋อง ไม่รู้ฮ่องเต้”
เขาถูกคุณหนูรองเฉินโน้มน้าวแล้วจริงด้วย หวังไต้ฟูกระทืบเท้า “ท่าน ท่านเหมือนคุณหนูรองเฉินนั่น…เล่นเป็นเด็กคิดอะไรเกินจริง!”
คลื่นน้ำไหลแรงเรือลำเล็กไหวไปมา หวังไต้ฟูกระแทกเท้า ร่างของเขาก็โซเซไปมาด้วยเช่นเดียวกัน แม่ทัพหน้ากากเหล็กสะบัดไม้ไผ่ตกปลาให้เขาจับเอาไว้
“หวังเจียน สถานการณ์ถูกกำหนดไว้แล้ว เหล่าท่านอ๋องต้องตาย” เขาเรียกขานชื่อของหวังไต้ฟูด้วยรอยยิ้ม “อำนาจโอรสสวรรค์มีอยู่ทุกที่ ฮ่องเต้เดินทางไปตัวคนเดียว สถานที่ที่ล้วนมีราษฎรก้มกราบ ช่างมีอำนาจบารมี ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้ไปคนเดียวจริงๆ ข้าจะนำกำลังสามร้อยคุ้มกันเข้าไป”
หวังไต้ฟู…หวังเจียนสะบัดไม้ไผ่ออก “แมลงร้อยขาถึงตายไม่ล้ม ถึงแม้บุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่จะเสียสติ แต่เฉินเลี่ยหู่ยังไม่ตาย สามร้อยคนอยู่ต่อหน้าเขาไม่มีประโยชน์อันใด!”
ถึงแม้พวกเขาจะวางสายลับเอาไว้ทุกที่ของเมืองอู๋ แต่หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น กองกำลังของราชสำนักจะมีมากเพียงใดก็ช่วยไว้ไม่ทัน
บางทีนี่อาจเป็นแผนการของเฉินเลี่ยหู่และบุตรสาวก็เป็นได้ พวกเขาตั้งใจหลอกลวงฮ่องเต้ อย่าคิดว่าท่านอ๋องไม่กล้าที่จะสังหารฮ่องเต้ ตอนนี้สงครามห้าเมือง พวกเขาเป็นคนที่ทำให้พระราชโอรสผิดใจกัน แทรกแซงปั่นป่วนราชบัลลังก์ หากไม่ใช่องค์ชายสามอยู่รอดลงมาอย่างยากลำบาก ตอนนี้ฮ่องเต้ของต้าเซี่ยอาจจะเป็นท่านอ๋องคนไหนก็ไม่แน่
นึกถึงหลายสิบปีมานี้ที่ฮ่องเต้เพาะเลี้ยงกองกำลังอย่างลับๆ ก็เพื่อกำจัดท่านอ๋องเหล่านี้เสีย ไม่อาจล้มเหลวเพราะความประมาทในเวลานี้ได้
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหัวเราะร่า เขาเหวี่ยงไม้ไผ่ราวเหวี่ยงดาบลงบนผิวน้ำอยู่ที่หัวเรือ พูดขึ้นเสียงดัง “ข้าคนเดียวสามารถต้านกองกำลังนับพันหมื่นได้ ถึงแม้เมืองอู๋จะมีกองกำลังมาก สิ่งที่ข้าและฝ่าบาทปรารถนาเป็นสิ่งเดียวกัน ไร้ที่เทียมทาน รวบรวมเก้าแค้วน!”
เสียสติไปแล้ว หวังเจียนส่ายหัวอย่างระอา ฮ่องเต้ไม่ใช่คนที่บ้าคลั่ง แต่ฮ่องเต้เป็นคนที่สงบและโหดเหี้ยมอย่างมาก
ฮ่องเต้เนื่องจากมีการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ ทำให้หัวใจของเขาแข็งราวหินเหล็ก เขาสามารถสังหารทุกคนได้เพื่อแผนการของตนเอง เฮ้อ โจวไต้ฟู…
หวังเจียนมองดูแม่น้ำที่หลั่งไหลด้วยสีหน้าซับซ้อน
น้ำในแม่น้ำขึ้นๆ ลงๆ หัวใจของเฉินตันจูที่รอคอยอยู่ในค่ายก็ขึ้นๆ ลงๆ เช่นเดียวกัน ยามเช้าของสามวันต่อมา เสียงกลองในค่ายทหารดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เหล่าทหารต่างเคลื่อนตัว
“กองทัพของราชสำนักข้ามแม่น้ำมาแล้ว!”
“กองทัพของราชสำนักโจมตีข้ามมาแล้ว!”
เมื่อได้ยินเสียงเตือนนี้ ขันทีที่เตรียมทหารและม้าเอาไว้แล้วรีบเร่งเร้าให้รีบไป อีกทั้งยังทุบหน้าอกของตนเองเสียดายที่จากไปช้า ตอนนี้คงหนีไปไม่ได้แล้ว
เฉินตันจูยืนอยู่ในค่ายทหารอย่างไม่กระวนกระวาย รอคอยการตัดสินของโชคชะตา ไม่นานนักมีทหารกลับมารายงานอีกครั้ง
“มีเรือเพียงห้าลำ ทหารสามร้อย” สีหน้าของทหารนั้นเหลือเชื่อ “ทางนั้นบอกว่าฮ่องเต้มาแล้ว”
ทหารสามร้อย? ฮ่องเต้มาแล้ว?
เหล่าแม่ทัพต่างตกตะลึง ในขณะที่กำลังจะถามต่อนั้น เฉินตันจูพลิกตัวขึ้นขี่ม้า นำอาเถียนมุ่งตรงไปยังริมแม่น้ำ เหล่าแม่ทัพต่างเดินทางตามไปอย่างลังเล
กองกำลังของเมืองอู๋เรียงรายอย่างแน่นหนาบนผิวน้ำ ภายในแม่น้ำมีเรือรบเพียงห้าลำเคลื่อนตัวเข้าใกล้ ราวกับถูกเปิดทางด้วยคันธนู
เฉินตันจูมองดูอยู่ที่สูง เรือรบลำที่นำอยู่นั้นมีธงมังกรปลิวสะบัด ชายรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดและหมวกฮ่องเต้ถูกรายล้อมเอาไว้ ฮ่องเต้ในเวลานี้อายุสี่สิบห้า เป็นช่วงเวลาที่แข็งแรงที่สุด…
ชาติก่อนนางเคยเจอฮ่องเต้เพียงครั้งเดียว
นางก้มหน้าถอยหลังไปหลายก้าว หลังจากมั่นใจว่าอีกฝ่ายมีกองกำลังเพียงสามร้อยแล้ว ขันทีของท่านอ๋องอู๋ก็ไม่หนีแล้ว เขาพาองครักษ์หลวงเดินเข้าไปต้อนรับ นี่เป็นคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ของเขา!
เฉินตันจูไม่ได้เดินขึ้นหน้า นางยืนอยู่ด้านหลังของเหล่าแม่ทัพ ได้ยินว่าฮ่องเต้ขึ้นบกมาได้รับการต้อนรับแล้ว เสียงฝีเท้าดังกึกก้อง ฝูงคนต่างคุกเข่าตะโกนสรรเสริญหมื่นปีราวคลื่นทะเลซัดถาโถมมาอยู่ตรงหน้า เสียงหนึ่งดังขึ้น
“นี่หรือบุตรสาวของขุนนางเมืองอู๋ท่านมหาราชครูเฉิน คุณหนูรองเฉิน?”
เหล่าแม่ทัพข้างตัวหลบออก เฉินตันจูเงยหน้าขึ้น เห็นฮ่องเต้มองนางจากที่สูง ใบหน้านั้นเหมือนในความทรงจำ…
เฉินตันจูรู้สึกแสบตา ก้มหัวต่ำลงคารวะ “เฉินตันจูคารวะฝ่าบาท ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
สายตาของฮ่องเต้จับจ้องอยู่บนตัวนาง สีหน้าประหลาดใจก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “คนรุ่นหลังน่าหวั่นเกรง”
อา ครานี้เป็นคนรุ่นหลังน่าหวั่นเกรง ดวงตาของเฉินตันจูร้อนฉ่า นางไม่ใช่เด็กผู้หญิงน่าสงสารที่คนในตระกูลตายหมด ได้แต่รอคอยผู้อื่นตัดสินความเป็นความตายเหมือนชาติก่อนแล้ว
เฉินตันจูก้มหัวลงอีกครั้ง “ฝ่าบาทน่าเกรงขามเพคะ”