บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 13 เจตนา

ตอนที่ 13 เจตนา

เฉินเลี่ยหู่ไม่รู้สาเหตุที่บุตรสาวคนเล็กหลั่งน้ำตาไม่หยุด เขามองดูบุตรสาวที่กำลังร่ำไห้ หัวใจของเขาแทบแหลกสลาย 

หากทุกสิ่งเป็นเรื่องจริง สำหรับบุตรสาวอายุสิบห้าแล้ว ภายในใจของนางต้องแบกรับความเจ็บปวดมากเพียงใด เฮ้อ ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าเป็นเรื่องจริง 

เฉินเลี่ยหู่ดึงเฉินตันจูขึ้นมา เชิญไต้ฟูมาดูพิษที่อยู่ในตัวนาง วันต่อมาร่างของหลี่เหลียงเดินทางมาถึง ฉางหลินถูกจับกุมกลับมาคุมขังไว้กับฉางซาน หลังจากผ่านการทรมานพวกเขาต่างยอมรับ 

หลี่เหลียงถูกโน้มน้าวจากราชสำนัก ให้เฉินตันเหยียนขโมยตราอาญาสิทธิ์เพื่อรุกรานเข้าเมืองอู๋อย่างกะทันหัน 

สุดท้ายพวกเขาร่ำไห้ “ใต้เท้า นายน้อยของพวกข้าไม่มีวิธีอื่น ต่อหน้าพระราชโองการ บอกว่าท่านอ๋องอู๋ส่งมือสังหารลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ท่านอ๋องโจวและท่านอ๋องฉีล้วนชี้โทษว่าเป็นฝีมือของท่านอ๋องอู๋ นี่คือโทษกบฏ พวกข้าทำได้เพียงเชื่อฟัง” 

เฉินเลี่ยหู่ได้ยินดังนี้จึงตบโต๊ะจนหัก “พระราชโองการของฮ่องเต้เชื่อไม่ได้!” 

ฮ่องเต้องค์นี้ขัดขืนต่อพระราชโองการของจักรพรรดิเกาจู่ อีกทั้งหลงเชื่อคำพูดของขุนนางชั่วอย่างโจวชิง ใช้กลอุบายทุกชนิดเพื่อแย่งคืนพื้นที่ศักดินาของท่านโหวและท่านอ๋อง นอกจากสร้างความขัดแย้งระหว่างท่านโหวท่านอ๋องแล้ว ยังสร้างความขัดแย้งภายในตระกูลของท่านโหวท่านอ๋อง 

ตอนนั้นที่รับมือกับเมืองเยียนและเมืองหลู ฮ่องเต้องค์นี้ออกพระราชโองการบอกว่าเมืองเยียนและเมืองหลูส่งมือสังหารมาลอบสังหารตนเอง…ตอนนี้ยังคงใช้กลอุบายนี้กับเมืองอู๋ 

เฉินตันจูยืนเงียบอยู่ด้านข้าง ฉางซานและฉางหลินไม่ได้พูดความจริง หลี่เหลียงไม่ได้ถูกโน้มน้าวโดยราชสำนัก พวกเขาไม่ได้เปิดเผยถึงองค์หญิงของหลี่เหลียงแม้แต่น้อย 

นางไม่ได้เปิดโปงออกมา หลี่เหลียงตายแล้ว ฉางซานและฉางหลินอยู่ในมือไม่อาจหนีออกไปได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญคือจัดการเรื่องใหญ่แห่งความเป็นความตาย 

“บางทีพี่เขยอาจเห็นว่าราชสำนักมีกองทัพที่แข็งแกร่ง ไม่อาจต้านทานได้ ดังนั้นจึงหมดความมั่นใจในการเผชิญหน้า” นางพูดเสียงเบา “ระหว่างทางไปนี้ข้าพบว่าด้านนอกเต็มไปด้วยผู้อพยพ แตกต่างจากภายในเมืองหลวงราวฟ้ากับดิน ค่ายทหารของพวกเราไม่สามัคคีกัน เกิดความขัดแย้งภายในไม่หยุด เมื่อเทียบกับกองทัพราชสำนักที่อยู่ตรงข้าม…” 

เฉินเลี่ยหู่ตบโต๊ะอีกครั้ง ตะโกนเสียงดัง “หุบปาก!” 

เฉินตันจูก้มหน้าไม่พูดอีก 

“ยังไม่ต้องพูดว่าคำพูดของเจ้าจะเป็นการส่งเสริมผู้อื่นให้มีอํานาจแต่กลับดูถูกความสามารถของตนเองหรือไม่ ถึงแม้เจ้าจะพูดความจริง” เฉินเลี่ยหู่สีหน้าแน่วแน่ “ทหารของเมืองอู๋ก็ไม่เกรงกลัวสงคราม ถึงแม้จะเหลือเพียงคนเดียว รบจนตายก็ไม่ล่าถอย ฮ่องเต้ใส่ร้ายท่านอ๋องอู๋อย่างไม่ชอบธรรม เขาขัดขืนต่อเกาจู่ สงครามแห่งความไม่ชอบธรรม เมืองอู๋จะเกรงกลัวอันใด!” 

เขาย่อมรู้ว่าเหตุใดหลี่เหลียงจึงถูกโน้มน้าว ไม่ใช่พระราชโองการ หรืออำนาจของฮ่องเต้ แต่เพราะการติดตามฮ่องเต้มีอนาคตมากกว่าการติดตามท่านโหวและท่านอ๋อง 

อย่าว่าแต่หลี่เหลียง ขุนนางจำนวนไม่น้อยในเมืองต่างก็หวั่นไหว ดังนั้นราชสำนักจึงเกิดความวุ่นวาย จนถึงเวลานี้ท่านอ๋องยังไม่ออกคำสั่งจู่โจมกองทัพราชสำนัก โอกาสการสงครามกำลังสูญเสียไปครั้งแล้วครั้งเล่า… 

เขามองเฉินตันจูด้วยคิ้วที่ขมวด 

“อาจู เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าเฉินเลี่ยหู่ เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนี้ออกมา” 

เฉินตันจูพูดเสียงเบา “ข้าไม่ได้หวาดกลัว เพียงแต่เห็นความจริงกับตาของตนเอง รู้สึกว่าท่านอ๋องดูถูกศัตรูเกินไป” 

เฉินเลี่ยหู่เงียบไปสักพัก 

“ราชสำนักส่งกองทัพออกมาอย่างกะทันหัน ท่านอ๋องเพียงแค่รับมือไม่ทันเวลาเท่านั้น” เขาพูด ก่อนจะตบโต๊ะที่หัก “ตอนนี้มีทหารรายงานเข้ามามากมาย ท่านอ๋องรู้สถานการณ์แล้ว เมืองหลวงออกคำสั่งห้ามออกในยามค่ำคืน ราชสำนักกำลังหารือการจัดการผู้อพยพ” 

เขาเหลือบมองเฉินตันจู 

“เจ้าไม่ต้องกังวล ฝ่ายพวกเราอาจเปิดได้ไม่ดี แต่เพียงเรามีใจเดียวกัน ราชสำนักจะมีอำนาจมากเพียงใด ก็ไม่อาจเหยียบย่ำเมืองอู๋ได้” 

พูดถึงเรื่องสงคราม คนอื่นล้วนพูดว่าไม่ต้องกังวล เพราะมีแม่น้ำเป็นอุปสรรคทางธรรมชาติ ไม่มีอันใดต้องเกรงกลัว แต่ท่านพ่อไม่ได้พูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาตระหนักได้ว่าอุปสรรคทางธรรมชาติไม่อาจต้านทานกองทัพได้ เฉินตันจูทั้งเสียใจทั้งเจ็บใจ ถึงจะเป็นเช่นนี้ ท่านพ่อก็ไม่เคยโทษท่านอ๋องอู๋ที่ไม่เชื่อคำของเขา เพียงแต่คิดว่าเป็นความผิดของตน 

ถึงจะถูกท่านอ๋องอู๋ประหารก็ยินยอม ถึงแม้จะถูกท่านอ๋องอู๋ประหารทั้งตระกูลก็ยังคิดว่าเป็นความผิดของตนเอง 

ทั้งที่เป็นความผิดของท่านอ๋องอู๋ เป็นเพราะท่านอ๋องอู๋ไม่เชื่อท่านพ่อ เป็นเพราะท่านอ๋องอู๋เกรงกลัวสงคราม อีกทั้งยังมีเหล่าขุนนางชั่วที่คิดจะอาศัยช่องโหว่ขับไล่ท่านพ่อออกจากราชสำนัก… 

หลี่เหลียงรังแกพวกเขา ท่านอ๋องอู๋รังแกพวกเขา ตระกูลเฉินเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งหน้าและหลัง เป็นคนบาปของเมืองอู๋ เป็นคนบาปของราชสำนัก ขึ้นฟ้าลงดินไร้หนทาง มีชีวิตอยู่เป็นคนบาป ตายไปก็เป็นคนบาป 

เฉินตันจูมองดูผมขาวของบิดา คิดถึงท่านพี่ที่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับข่าวร้ายอย่างไร พี่ชายที่ตายไปแล้ว รวมไปถึงญาติที่กำลังจะถูกท่านอ๋องอู๋ประหาร…นางแค้น นางไม่ยอม! 

“นายท่าน นายท่านขอรับ” ก่วนเจียวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “ท่านอ๋องมีพระราชโองการ! มีองครักษ์มาด้วยจำนวนมาก ให้นายท่านมอบตราอาญาสิทธิ์ออกมา! อีกทั้งยังจะจับนายท่านเข้าคุกหลวง!” 

เฉินตันจูตะลึง “เกิดอันใดขึ้น” หรือว่าเรื่องนี้จะเกิดเร็วขึ้นแล้ว แต่นางยังไม่ได้นำพาทหารรุกรานเมืองหลวง 

เฉินเลี่ยหู่ยืนขึ้น เดินออกไปข้างนอกด้วยขาที่กะเผลก “ข้าไปดูเอง” 

เฉินตันจูรีบตามขึ้นไป แต่ไม่ได้พยุงอีกฝ่าย เฉินเลี่ยหู่ยอมที่จะถูกหัวเราะเยาะว่าพิการ แต่ก็ไม่ยอมให้คนพยุงเดิน 

ด้านนอกประตูถูกองครักษ์หลวงล้อมรอบเอาไว้ มีขันทีคนหนึ่งถือพระราชโองการด้วยสีหน้าเย็นชา เมื่อเห็นเฉินเลี่ยหู่ที่เดินกะเผลกออกมา รีบตะโกนเสียงแหลม “เฉินเลี่ยหู่ เจ้ารู้ผิดหรือไม่!” 

เฉินเลี่ยหู่เดินเข้ามา คุกเข่าลงอย่างเชื่องช้า “ข้าไม่รู้” 

ขันทีหัวเราะเสียงเย็น “ท่านมหาราชครู เวลานี้เมืองอู๋กำลังเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ท่านอ๋องเชื่อมั่นท่าน จึงมอบหมายเรื่องการป้องกันเมืองให้ท่าน แต่ท่านกลับให้บุตรสาวถือตราอาญาสิทธิ์ก่อความวุ่นวายในค่ายทหาร! หากไม่ได้รับข่าวด่วนจากกองทัพ ท่านคิดจะปิดบังท่านอ๋องใช่หรือไม่! ในสายตาของท่านยังมีท่านอ๋องอยู่หรือไม่!” 

เฉินตันจูกัดฟันอยู่ด้านหลัง รายงานเร็วเพียงนี้ ภายในค่ายทหารมีคนมากน้อยเพียงใดที่จับจ้องให้ท่านพ่อถูกปลดและรอตระกูลเฉินล้มลง 

เฉินเลี่ยหู่ “เรื่องนี้มีสาเหตุ หวังกงกงทูล…” 

ขันทีพูดขัดเขา “อีกทั้งยังใส่ร้ายจางเจี้ยนจวินว่าทำให้บุตรชายเจ้าตาย ดังนั้นจึงให้บุตรสาวเจ้าถือตราอาญาสิทธิ์ไปปั่นป่วนในค่ายทหาร ท่านมหาราชครู จางเจี้ยนจวินถูกท่านไล่กลับมาแล้ว ตอนนี้หลี่เหลียงตายแล้ว ท่านคิดจะใส่ร้ายใครอีก ท่านไม่ต้องเข้าทูล ใต้เท้าเหวินส่งผู้ตรวจการไปสืบที่ค่ายทหารแล้ว ท่านมหาราชครูไปรอผลในคุกหลวงเถิด” 

คำว่าใส่ร้ายทำให้ร่างกายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นของเฉินเลี่ยหู่ตัวสั่นเทา เขาเงยหน้าขึ้น มองขันทีด้วยดวงตาแดงก่ำ “บุตรชายและบุตรเขยของข้าเฉินเลี่ยหู่ล้วนตายในค่ายทหาร แต่ในปากของท่านอ๋องมีเพียงคำว่าใส่ร้ายหรือ” 

ชายพิการที่คุกเข่าอยู่บนพื้นถึงจะแก่ชรา แต่พลานุภาพยังคงดุจดั่งเสือร้าย ขันทีตกใจจนก้าวถอยหลังไป ยังดีที่องครักษ์ด้านหลังทำให้เขาสงบจิตใจไว้ได้ 

เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เฉินเลี่ยหู่ เจ้ากำลังกล่าวโทษท่านอ๋องหรือ!” 

เฉินเลี่ยหู่ส่ายหัว “ข้ามิกล้า ข้าจะเข้าพบท่านอ๋อง” 

เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน แต่เนื่องจากขาที่บาดเจ็บ ทำให้เขาดูอนาถ ภายในสายตาของขันทีฉายแววรังเกียจ…เจ้าแก่นี้จะไปรบกวนอารมณ์ดีของท่านอ๋องอีกแล้ว 

เนื่องจากคำพูดของเขา ทำให้ท่านอ๋องไม่มีกะจิตกะใจ ไร้อารมณ์ที่จะชื่นชมการแสดงในหอวั่งเซียน 

ขันทีพูดเสียงแหลม “เรื่องนี้มอบหมายให้มหาดเล็กเหวินไปจัดการ ท่านอ๋องไม่พบ…” 

เฉินตันจูเดินออกมาจากด้านหลัง พยุงเฉินเลี่ยหู่ขึ้นมา พร้อมพูดขัดขันที “มหาดเล็กเหวินเป็นเพียงมหาดเล็ก ท่านพ่อข้าเป็นมหาราชครู เป็นขุนนางชั้นสูงที่สามารถเข้าพบฮ่องเต้แทนท่านอ๋อง หากคิดจะจัดการก็มีเพียงท่านอ๋องที่จัดการได้ ให้มหาดเล็กเหวินจัดการ นี่เป็นเมืองอู๋ของผู้ใดกันแน่!” 

ขันทีตกใจ ก่อนจะพูดด้วยความขุ่นเคือง “บังอาจ ต่อหน้าคำสั่งท่านอ๋อง บุตรของเจ้า…” 

เฉินเลี่ยหู่ลุกขึ้นยืนก่อนจะจับเฉินตันจูเอาไว้ พูดเสียงทุ้ม “หวังกงกง ข้ามีข่าวลับทางการทหารจะรายงาน หวังกงกงส่งข่าว เมื่อข้าพบท่านอ๋อง พูดเรื่องทุกอย่างให้กระจ่าง ข้าย่อมจะไปรับโทษ” 

ไม่รอขันทีนั้นคัดค้าน เขาหยิบดาบยาวที่วางอยู่ด้านข้างกระแทก พื้นดินสั่นสะเทือน 

“ก่อนที่ข้าจะได้เข้าพบท่านอ๋อง ข้าไม่อาจฟังคำสั่งได้!” 

ตามการกระแทกดาบยาวของเขา องครักษ์ตระกูลเฉินต่างวิ่งออกมารายล้อมขันทีและองครักษ์เอาไว้ 

ขันทีสีหน้าซีดเผือด หดตัวอยู่ท่ามกลางองครักษ์ตะโกนเสียงสั่น “เฉินเลี่ยหู่ เจ้าจะก่อกบฏหรือ” 

เฉินเลี่ยหู่ไม่สนใจต่อการชี้โทษนี้ ในเมืองอู๋ผู้ใดก็กบฏได้ ยกเว้นเขาเฉินเลี่ยหู่ คำพูดนี้ถึงแม้จะพูดต่อหน้าท่านอ๋องอู๋ ท่านอ๋องอู๋ก็ไม่มีทางใส่ใจ 

เขาโน้มตัวคำนับ “เชิญหวังกงกงกลับไปรายงาน เฉินเลี่ยหู่รอเข้าเฝ้าที่หน้าประตูวัง” 

เขาพูดจบจึงก้าวเท้าออกไป ตามการย่างก้าวของเขา องครักษ์ตระกูลเฉินก็ก้าวไปอย่างพร้อมเพรียง องครักษ์เหล่านี้ล้วนถอยลงมาจากกองทัพ เป็นทหารส่วนตัวของเฉินเลี่ยหู่ องครักษ์หลวงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ขันทีทั้งแค้นทั้งกลัว สิ่งสำคัญคือตำแหน่งของเฉินเลี่ยหู่สูงส่ง หากเขาสังหารตนเอง ตนเองคงจะตายเปล่า… 

“เจ้า เจ้าบังอาจ” ขันทีตะโกน ก่อนจะทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง “เจ้ารอก่อนเถิด” 

จากนั้นจึงวิ่งหนีจากไป เหล่าองครักษ์เห็นเขาจากไปจึงรีบวิ่งตามไป 

เฉินเลี่ยหู่ไม่ได้หยุดลง เขาเดินไปข้างนอกอย่างเชื่องช้า ออกคำสั่งให้ก่วนเจียเตรียมม้า 

ก่วนเจียจูงม้ามาเตรียมไว้นานแล้ว เฉินตันจูก็เรียกให้เตรียมม้าให้นาง “ข้าไปพร้อมท่านพ่อ” 

เฉินเลี่ยหู่ขมวดคิ้ว “เจ้าอย่าไป” 

เฉินตันจูพูด “ท่านพ่อ ผู้ที่ถือตราอาญาสิทธิ์ไปค่ายทหารคือข้า ข้าต้องไปพูดให้ชัดเจน” 

เฉินเลี่ยหู่ส่ายหัว “ไม่ต้อง เรื่องนี้ข้าจะพูดกับท่านอ๋องเอง” 

เฉินตันจูดึงมือของเขาไม่ปล่อย “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ไปสารภาพผิด ข้าไปค่ายทหาร เรื่องของพี่เขยเป็นฝีมือข้า ข้ารู้เรื่องทุกอย่างดีที่สุด ให้ข้าเป็นคนบอกท่านอ๋องเองจะดีกว่า” 

เฉินเลี่ยหู่ลังเลเล็กน้อย ก็ดี เขาพยักหน้าต่อก่วนเจีย ก่วนเจียให้คนรีบเตรียมม้าให้เฉินตันจู บิดาและบุตรสาวออกจากบ้านสองคน ด้านหน้าประตูมีคนรายล้อมมากมาย 

ขันทีและองครักษ์หลวงก่อนหน้านี้ดึงดูดคนมาเป็นจำนวนมาก ก่อนจะเห็นขันทีและองครักษ์หลวงวิ่งหนีไป องครักษ์ตระกูลเฉินที่ออกมาดุดัน ทุกคนล้วนตกใจ ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น 

“ไม่มีอันใด ไม่มีอันใด” ก่วนเจียพาคนสลายชาวบ้าน “ท่านอ๋องเรียกท่านมหาราชครูเข้าวัง” 

เฉินเลี่ยหู่ขี่ขึ้นบนม้าด้วยความช่วยเหลือจากองครักษ์ เฉินตันจูรอบิดาขี่ขึ้นบนม้าแล้วถึงขึ้นตาม กำเชือกในมือแน่นมองไปยังทิศทางของพระราชวัง 

เหตุใดที่ตระกูลของเขาจงรักภักดีแต่ต้องถูกท่านอ๋องอู๋สังหาร แต่คนที่ใส่ร้ายป้ายสีท่านอ๋องอู๋กลับมีชีวิตที่ดี 

มหาดเล็กเหวินคนนี้บอกว่าตนเองจงรักภักดี แต่กลับใส่ร้ายป้ายสี ปิดบังข่าวทางการทหาร ข่มเหงท่านพ่อ รอจนกระทั่งหลี่เหลียงนำกองทัพบุกเข้ามา เขากลับหนีเป็นคนแรก อีกทั้งยังหลอกทหารที่มาช่วยนอกเมืองว่าราชสำนักรุกรานเข้ามา ท่านอ๋องตายแล้ว ให้ทุกคนยอมจำนน ทั้งที่เวลานั้นท่านอ๋องอู๋ยังไม่ตาย… 

เมืองอู๋สิ้นแล้ว ท่านอ๋องอู๋ตายแล้ว แต่เขาไม่มีความรู้สึกผิด ยิ่งไม่คิดจะตายเพื่อตอบแทนท่านอ๋องอู๋ หากแต่ขึ้นเป็นขุนนางของต้าเซี่ย ถูกสถาปนาฐานันดรสูงส่งและได้เบี้ยบำนาญจำนวนมาก 

นางไม่หวาดกลัวความตาย แต่หากจะตายเพราะท่านอ๋องเช่นนี้ขุนนางเช่นนี้ ไม่คุ้มค่า 

นางสังหารหลี่เหลียง ยอมจำนนต่อราชสำนักแทนเขา เช่นนั้นก็ใส่ร้ายป้ายสีท่านอ๋องอู๋แทนขุนนางเมืองอู๋ไปด้วยเลยแล้วกัน 

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท