[ส่วนที่ 3 ภาคพิเศษ]
ตอนที่ 37 ป่วย
ฮ่องเต้และท่านอ๋องอู๋กลับเข้าพระราชวังอีกครั้ง ท่านมหาราชครูเฉินถูกขังไว้ในจวนอีกครั้ง เฉินตันจูเดินทางกลับอารามดอกท้อ นางล้มตัวลงนอนทันทีที่เดินทางมาถึง เมื่อนางตื่นขึ้นมาก็พบกับอาเถียนที่กำลังร่ำไห้จนดวงตาแดงก่ำ
“เจ้าร้องไห้แต่เช้าทำไมกัน” นางพูด ทำให้นางคิดว่าตนเองเกิดใหม่อีกครั้งเสียอีก…เมื่อชาติก่อน สิ่งที่นางเห็นบ่อยครั้งที่สุดคือดวงตาแดงก่ำของอาเถียน
นางเพิ่งตระหนักได้ว่าเสียงของตนเองอ่อนเพลียเมื่อเปิดปากพูด จากนั้นหันไปมองแสงแดดแจ่มจ้าด้านนอก
“เฮ้อ ข้าก็แค่นอนมากไปบ้าง”
น้ำตาของอาเถียนหลั่งไหลลงมาราวหยาดฝน “คุณหนู เช้าอะไรกันเจ้าคะ นอนมากไปอะไรกันเจ้าคะ คุณหนู ท่านหลับมาสามวันแล้ว ตัวร้อน พูดละเมอ ไต้ฟูบอกว่าท่านป่วยมาเกือบเดือนแล้ว แต่อดทนเอาไว้…”
หมายความว่าคุณหนูป่วยตั้งแต่ค่ำคืนนั้นที่ฝ่าฝนจากภูเขาดอกท้อกลับไปยังจวนตระกูลเฉิน แต่นางยังคงอดทนเดินทางไปมา จนกระทั่งเวลานี้ที่นางอดทนไม่ไหวจึงล้มลงราวกับบ้านเรือนที่พังทลายราวภูเขาที่ล้มลง ไต้ฟูพูดน่ากลัวอย่างมาก อาเถียนพูดถึงตรงนี้ก็ไม่อยากจะพูดต่อไปอีก ร้องไห้ปล่อยโฮออกมา
ที่แท้ก็ป่วยหรือ เฉินตันจูทาบมือลงบนหน้าผาก ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อันที่จริงตั้งแต่ตระกูลของตนเองล่มสลายเมื่อชาติที่แล้ว หลังจากนางเดินทางมาถึงอารามดอกท้อก็ล้มป่วยลงเช่นเดียวกัน ป่วยราวเกือบหนึ่งเดือน หลี่เหลียงเชิญไต้ฟูจำนวนมากในเมืองหลวงมารักษาให้ นางถึงได้ดีขึ้น
เฉินตันจูเงียบไปสักพัก จึงเอ่ยถาม “ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง”
อาเถียนร้องไห้พลางพยักหน้า “ในจวนปกติดีเจ้าค่ะ คุณหนูล้มป่วย เดิมทีข้าจะวิ่งกลับไปบอกคนในจวน แต่ท่านแม่ทัพบอกว่าสองวันนี้คุณหนูคงฟื้นขึ้นมา หากไม่ฟื้นค่อยให้ข้าไปบอกคนในจวน เขาจะให้องครักษ์หลวงที่ล้อมรอบอยู่ออกไป”
ใช่แล้ว เวลานี้นอกจวนมีองครักษ์หลวงล้อมรอบอยู่ ไม่ปล่อยให้คนออกมา หากพวกเขารู้ว่าตนเองป่วยคงทำได้เพียงร้อนใจ หากฝ่าฝืนออกมาจะเป็นโทษอีกข้อหนึ่ง ท่านแม่ทัพตระหนัก…เอ๊ะ? ท่านแม่ทัพ?
เฉินตันจูมองอาเถียนอย่างฉงน
อาเถียนเช็ดน้ำตา “คุณหนูล้มป่วยลง ข้าจึงให้จู๋หลินไปตามไต้ฟู ดังนั้นท่านแม่ทัพจึงรู้”
เรื่องที่เกิดขึ้นไม่อาจปิดบังแม่ทัพหน้ากากเหล็กได้ เฉินตันจูตอบรับ คิดจะดันตัวลุกขึ้น แต่เพียงแค่ลุกขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อยก็ล้มลงไป…นางมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าตนเองป่วย ไร้สิ้นเรี่ยวแรง
“คุณหนูอย่าขยับเจ้าค่ะ ท่านนอนอยู่เฉยๆ ไต้ฟูบอกแล้ว ร่างกายของคุณหนูสูญเสียกำลังไปมาก ต้องพักผ่อนให้ดีถึงจะฟื้นคืนมาได้” อาเถียนรีบพยุง พลางถาม “คุณหนูหิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าต้มเย่าซั่น[1]เอาไว้หลายอย่าง”
อาจเป็นเพราะความหิวหรือความอ่อนเพลีย เฉินตันจูพยักหน้า “ข้าหิว ข้ากินอะไรก็ได้ ไต้ฟูให้ข้ากินอะไรข้าก็จะกิน”
นางต้องมีชีวิตอยู่ กินอาหาร กินยา ชาติก่อนมีเพียงอยู่รอดถึงจะแก้แค้นให้คนในตระกูลได้ แต่ชาตินี้มีเพียงอยู่รอดถึงจะปกป้องคนในตระกูลได้
อาเถียนตอบรับด้วยรอยยิ้ม นางเช็ดน้ำตา “กินข้าวต้มที่ท่านแม่ทัพนำมาให้เถิดเจ้าค่ะ ได้ยินว่าทั้งหอมทั้งหวาน ให้คุณหนูปลุกลิ้นให้ตื่น”
เฉินตันจูจับคำสำคัญได้ “มา?” แม่ทัพหน้ากากเหล็กมาที่นี่? ไม่เพียงแค่รู้ข่าว?
อาเถียนพยักหน้า “ข้าบอกว่าคุณหนูป่วยให้พวกเขาไปเชิญไต้ฟู ตอนที่ไต้ฟูมา ท่านแม่ทัพก็มาด้วย เมื่อคืนท่านก็มา ข้าวต้มนี้ส่งมาตั้งแต่เมื่อคืน อุ่นไว้บนเตาอยู่ตลอดเวลา บอกว่าหากวันนี้คุณหนูฟื้นขึ้นมาก็สามารถกินได้”
เฉินตันจูตอบรับ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
อาเถียนมองนางอย่างระมัดระวัง “คุณหนู ท่านหัวเราะอะไรเจ้าคะ หรือว่ามีอันใดไม่เหมาะสม หรือไม่ อย่ากินเลยเจ้าค่ะ?” หากมีพิษขึ้นมาจะทำอย่างไร
“กิน!” เฉินตันจูพูด “ข้าย่อมต้องกิน นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรกิน”
นางทรยศ ไม่ยึดมั่นในคุณธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้นางย่อมต้องขอความมั่งคั่ง ข้าวต้มชามเดียวจะเป็นอันใดไป!
ตอนที่ 38 พักฟื้น
คุณหนูยอมทานข้าว อาเถียนจึงรีบสั่งคนที่อยู่ด้านนอกเหล่าสาวใช้ตักข้าวต้มชามเล็กเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ไต้ฟูบอกว่า ตอนที่คุณหนูฟื้นขึ้นมา แต่ละครั้งกินมากไม่ได้”
อาเถียนนั่งอยู่ข้างเตียง ป้อนเฉินตันจูทีละคำ “แต่กินบ่อยครั้งได้”
เฉินตันจูตอบรับ ก่อนจะกินข้าวต้มชามเล็กหมดอย่างรวดเร็ว ไต้ฟูถูกเชิญเข้ามาอีกครั้ง
“รอคอยอยู่ในอารามตลอด” อาเถียนแนะนำไต้ฟู ก่อนจะหลบออกไป
ไต้ฟูนั่งลงตรวจอาการของเฉินตันจู
“คุณหนูหายดีแล้วหรือไม่” อาเถียนถามอย่างกังวล
ไต้ฟูพยักหน้า “คุณหนูป่วยอย่างกะทันหัน แต่ก็ป่วยทันเวลา หากผ่านไปอีกครึ่งเดือน อาการไม่กำเริบ ก็ไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง”
อาเถียนทั้งกลัวทั้งดีใจ นางปัดน้ำตาอีกครั้ง เฉินตันจูกล่าวขอบคุณไต้ฟู
“คุณหนูป่วยครานี้เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง” ไต้ฟูพูด เขามองสีหน้าซีดเผือดของเด็กหญิง นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ตอนที่ถูกเรียกมา ภายในห้องเล็กเต็มไปด้วยไต้ฟู ดูท่าทางเหมือนคนจะไม่ไหวแล้ว เขาเดินขึ้นหน้าจับชีพจร ก่อนจะต้องตกใจ ไม่ใช่คนไม่ไหว แต่คือคนตาย ไม่มีชีพจร…
คนที่สวมหน้ากากเหล็กพูดขึ้น “ตายได้อย่างไร ยังมีลมหายใจ”
ใช่! ดังนั้นจึงประหลาด
“ประหลาดอันใด ไม่ต้องประหลาด แค่ยังมีลมหายใจ พวกเจ้าก็รักษาเหมือนคนเป็น!” เสียงชราของชายหน้ากากเหล็กดังก้องอยู่ภายในห้อง “วิธีใดก็ตาม หากรักษาหายมีรางวัลใหญ่ให้ หากรักษาไม่หายมีรางวัลใหญ่ให้เช่นเดียวกัน”
ถึงแม้คนตรงหน้าท่าทางน่ากลัว แต่ไม่คิดว่าคำพูดจะดึงดูดคนเพียงนี้ ต่อมาเขาออกจากที่นี่ ถึงได้รู้ว่าชายคนนี้คือแม่ทัพน่ากากเหล็ก น่าเกรงขามอย่างยิ่ง…
ไต้ฟูสลัดความคิดไร้สาระทิ้งไป กำชับต่อ “ต้องพักฟื้นให้ดี อย่าได้ตากฝนอีก”
เฉินตันจูพยักหน้าอยู่บนเตียง “ข้าจำไว้แล้ว”
ไต้ฟูสั่งยาพร้อมให้สาวรับใช้ไปต้ม เฉินตันจูดื่มยาเข้าไป ก่อนจะหลับไปอีกครั้ง หลับๆ ตื่นๆ เช่นนี้ จนกระทั่งผ่านไปอีกสามวัน เฉินตันจูถึงได้ฟื้นกำลังขึ้นมา
นางเอนตัวพิงหมอนปล่อยให้อาเถียนป้อนข้าวป้อนยา นางไม่จำเป็นต้องกินแต่ข้าวต้มอย่างเดียว สามารถกินผักได้บ้าง
“ในจวนเป็นอย่างไร” นางถามทันทีที่ตื่นขึ้น
คำถามนี้นางมักจะถามทุกครั้ง อาเถียนรีบตอบ “ทุกอย่างปกติดี ในจวนมีไต้ฟู”
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าฮูหยินที่ป่วยมานานหรือว่าคุณหนูใหญ่ที่ตั้งครรภ์ หากเกิดอันใดขึ้นไม่จำเป็นต้องออกจากจวน
แต่หลังจากที่พูดจบ สีหน้าของอาเถียนฉายแววลังเล มือที่ป้อนข้าวก็หยุดลง จากนั้นคีบผักอีกครั้ง “คุณหนูลองชิมเจ้าค่ะ”
เฉินตันจูไม่ชิม ถาม “มีเรื่องอันใด”
อาเถียนถือตะเกียบ “คุณหนู ไม่ใช่เรื่องของตระกูลเรา…” นางไม่อยากพูด คุณหนูเพิ่งอาการดีขึ้น หากต้องเปลืองแรงใจกับเรื่องนี้อีก
“พูดมาเถิด มีเรื่องอันใดที่จะทำให้ข้าตกใจได้” เฉินตันจูหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวหนึ่งคำ
อาเถียนพูด “ท่านอ๋องโจวถูกสังหาร”
เฉินตันจูส่งเสียงประหลาดใจออกมา ชาติก่อนท่านอ๋องโจวไม่ได้ตายเร็วเพียงนี้ หลังจากท่านอ๋องอู๋ตาย ผ่านไปอีกปีหรือสองปี เขาถึงจะถูกสังหารหรืออาจเป็นเพราะท่านอ๋องอู๋ไม่ตาย เขาจึงตายแทนท่านอ๋องอู๋ไปก่อน
“ได้ยินว่ากองทัพของราชสำนักรุกรานเมืองโจวอย่างกะทันหัน ท่านมหาราชครูเมืองโจวเปิดประตูเมืองออก” อาเถียนนึกถึงข่าวที่เหล่าองครักษ์พูดถึง นางพูดไม่ชัดเจน ชื่อคนเหล่านั้นนางก็จำไม่ได้ จึงชี้นิ้วไปทางด้านนอก “ถ้าคุณหนูอยากฟัง ข้าจะให้พวกเขาเล่าให้ท่านฟัง”
เฉินตันจูโบกมือห้าม “ไม่ต้อง ข้าพอรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น”
เมืองโจว เมืองฉีและเมืองอู๋วางแผนกำจัดขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้ ต่อต้านการโจมตีของกองทัพราชสำนัก ถึงแม้ครานี้ท่าทีของราชสำนักจะแข็งกร้าว แต่อย่างไรกองทัพของทั้งสามเมืองก็มีจำนวนมากกว่าราชสำนักอย่างมาก ชาติก่อนราชสำนักใช้การทรยศของหลี่เหลียงโจมตีเมืองอู๋ แต่ยังคงต้องใช้กองกำลังจำนวนหนึ่งในการควบคุมเมืองอู๋ ดังนั้นเมืองโจวและเมืองฉีอยู่รอดได้นาน
ครานี้เมืองอู๋ไม่ได้ถูกบุกรุก แต่ฮ่องเต้ยังเดินทางเข้ามาในเมืองอู๋ กินอยู่ร่วมกับท่านอ๋องอู๋ แสดงท่าทีคืนดีอย่างเห็นได้ชัด สำหรับเมืองโจวและเมืองฉีจึงเป็นภัยอันใหญ่หลวง กองทัพของราชำสักและกองทัพของเมืองอู๋ ไม่อาจต้านทานได้…
ในเมื่อเหล่าท่านอ๋องย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เหล่าขุนนางของท่านอ๋องย่อมต้องแย่งชิงที่จะเป็นขุนนางของต้าเซี่ย ท่านมหาราชครูของเมืองโจวทรยศจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนท่านพ่อของนาง…เฉินตันจูหัวเราะเยาะตนเองทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้น ทุกคนอันใดกัน บุตรสาวของท่านมหาราชครูเฉินเป็นคนแรกที่ไม่เหมือนบิดาของตนเอง
นางก้มหน้ากินข้าวคำใหญ่
อาเถียนโล่งใจ ไม่กังวลว่าคุณหนูกินข้าวไม่ลง หากแต่กังวลว่าจะกินมากไป “คุณหนูกินช้าหน่อยเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะติดคอเอา”
—————————————–
[1] เย่าซั่น หมายถึง การใช้อาหารเป็นยา รักษาโรคด้วยอาหารการกิน