อำนาจที่เหล่าขุนนางของท่านอ๋องอู๋แสดงออกมาฮ่องเต้ยังไม่เห็น แต่ราษฎรของเมืองอู๋เห็นถึงอำนาจของฮ่องเต้ก่อนแล้ว
ระหว่างการเดินทาง ประกาศดึงดูดให้เหล่าราษฎรออกมาดู ทุกคนต่างรู้ว่าราชสำนักส่งกองกำลังเตรียมโจมตีเมืองอู๋ เดิมทียังรู้สึกเป็นกังวลใจ เวลานี้กองกำลังของราชสำนักเดินทางมาจริง แต่มีเพียงสามร้อยคน ยังไม่มากเท่าทหารอู๋ที่ติดตาม ส่วนฮ่องเต้ก็อยู่ภายใน
ไม่ได้มาเพื่อโจมตีเมืองอู๋ หากแต่มาเยี่ยมเยือนท่านอ๋องอู๋ ราษฎรเมืองอู๋ฉลองกันถ้วนหน้า มุงดูโอรสสวรรค์
เมื่อรอฮ่องเต้เดินทางมาถึงเมืองหลวง ด้านหลังก็มีราษฎรจำนวนมากเดินตามอยู่แล้ว แต่ละคนไม่ว่าจะวัยชราหรือเด็กเล็กล้วนเรียกขานฝ่าบาทเสียงดัง…
มองไม่เห็นทหารสามร้อยของฮ่องเต้ ข้างตัวมีเพียงราษฎรที่ไร้อาวุธ ฮ่องเต้มือหนึ่งพยุงคนชรา มือหนึ่งถือกำต้นข้าว ถกเถียงเรื่องการเกษตรกับอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ สุดท้ายพูดขึ้น “เมืองอู๋อุดมสมบูรณ์ ไร้ความกังวลด้านการกินอยู่”
เหล่าราษฎรต่างตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “บุณคุณของฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้แตกต่างจากคำร่ำลืออย่างมาก หรืออาจเป็นเพราะอายุมากแล้ว ความทรงจำที่มีต่อฮ่องเต้ของเหล่าขุนนางเมืองอู๋จำนวนไม่น้อยยังคงหยุดไว้ที่ชายหนุ่มอายุสิบห้าที่เพิ่งขึ้นครองราชย์…เพราะหลายสิบปีมานี้ต่อหน้าเหล่าท่านอ๋อง ฮ่องเต้มักอยู่ในฝ่ายที่มีอำนาจอ่อนแอ ตอนนั้นฮ่องเต้องค์นี้ร่ำไห้ขอร้องให้เหล่าท่านอ๋องช่วยปกปักรักษาพระราชบัลลังก์ ตอนที่ท่านอ๋องอู๋องค์ก่อนเข้าเมืองหลวง ฮ่องเต้ยังนั่งรถร่วมคันเดียวกับเขา
แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้…มิน่าเขาถึงกล้าเปิดสงคราม เหล่าขุนนางทั้งตกตะลึงทั้งตื่นตระหนก พวกเขากระจายตัวของเหล่าราษฎร ข้างตัวฮ่องเต้มีเพียงทหารสามร้อยเท่านั้น ไม่มีความโดดเด่นอันใดในเมืองหลวงอันใหญ่หลวง นอกจากท่านแม่ทัพที่สวมเสื้อเกราะด้านข้าง…เพราะบนใบหน้าของเขามีหน้ากากเหล็ก
พวกเขาล้วนรู้จักแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ท่านแม่ทัพนี้อยู่ในราชสำนักราวกับท่านมหาราชครูเฉินอยู่ในเมืองอู๋ เป็นขุนนางใหญ่ทางการทัพ
นับแต่สงครามห้าเมือง แม่ทัพหน้ากากเหล็กและท่านมหาราชครูเฉินอายุใกล้เคียงกัน เวลานี้ก็แก่ชราลงแล้ว ไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ ผ้าคลุมเสื้อเกราะปกคลุมทั้งตัวเอาไว้ รูปร่างอวบเล็กน้อย เผยให้เห็นมือที่แห้งเหี่ยว…
สายตาของแม่ทัพหน้ากากเหล็กกวาดผ่านมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้หน้ากากเหล็กจะบดบังเอาไว้ แต่ก็ทำให้คนรู้สึกเสียววาบ ผู้คนที่ลอบมองรีบเบี่ยงเบนสายตาออกไป
เหล่าขุนนางไม่กล้าตั้งขบวนอันใดอีก พูดเพียงท่านอ๋องรออยู่ด้านนอกพระราชวัง รอต้อนรับฝ่าบาท…ไม่ถึงขั้นที่ต้องมาต้อนรับยังหน้าประตูเมือง เพราะตอนที่เหล่าท่านอ๋องเข้าเมืองหลวงนั้น ฮ่องเต้ล้วนเดินลงมาตอนรับจากราชบัลลังก์
ท่านอ๋องสามารถมาต้อนรับที่หน้าประตูพระราชวัง ก็ปฏิบัติตามมารยาทของผู้เป็นขุนนางอย่างเต็มที่แล้ว
ฮ่องเต้ไม่มีความไม่พอใจแม้แต่น้อย เขาเดินยิ้มไปทางพระราชวัง
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหันหลังไปมอง ภายในฝูงคนมองไม่เห็นร่างของเฉินตันจู นับแต่ฮ่องเต้ขึ้นจากเรือมา ขันทีและองครักษ์หลวงของท่านอ๋องอู๋อีกทั้งยังมีเหล่าขุนนางตามทางล้วนมาปรากฏตรงหน้าของฮ่องเต้ แต่ไม่เห็นเฉินตันจูแม้แต่น้อย
“ท่านมหาราชครูเฉินล่ะ? ข้าไม่เจอกับเขามาสิบกว่าปี คราก่อนพบกันระยะไกลในพื้นที่เมืองเยียน” แม่ทัพหน้ากากเหล็กถามขุนนางอู๋ท่านหนึ่ง “เหตุใดจึงไม่เห็นเขามา หรือว่าไม่ยินดีที่จะได้พบฝ่าบาท”
ขุนนางอู๋ที่ถูกถามหนังตากระตุกเล็กน้อย มองไปยังคนรอบด้าน คนรอบด้านต่างหันหน้าหนีราวกับไม่ได้ยิน เขาจึงทำได้เพียงพูดอย่างคลุมเครือ “ท่านมหาราชครูเฉิน…ล้มป่วย ท่านแม่ทัพน่าจะรู้ว่าท่านมหาราชครูเฉินร่างกายไม่ดีนัก”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่งเสียงอ่อออกมา “ข้ารู้ว่าเขาพิการขาไปข้างหนึ่ง ขาข้างหนึ่งเท่านั้น ร่างกายไม่ดีอย่างไรกัน”
หากท่านมหาราชครูเฉินมา พวกท่านคงเดินไม่ถึงเมืองหลวง ขุนนางอู๋หันหน้าหนีไม่สนใจ “ใกล้ถึงพระราชวังแล้ว”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้ถามต่อ เขาหันไปพูดกับทหารข้างตัวเสียงต่ำ ทหารรายนั้นถอยออกไป เขามองไปยังฝูงคนด้านหลังอีกครั้ง ก่อนจะดึงสายตากลับมาเดินตามอยู่ด้านหลังของฮ่องเต้มุ่งหน้าไปยังพระราชวังอู๋
เฉินตันจูเดินทางกลับบ้านทันทีหลังจากที่ฮ่องเต้เข้าเมือง เมื่อเทียบกับความคึกคักในเมืองหลวง ทางตระกูลเฉินกลับเงียบสงัดอย่างประหลาด
เฉินตันจูหยุดลงอยู่บริเวณปากทาง
ชาติก่อนหลังจากที่นางถูกจับไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ระหว่างทางที่ถูกส่งตัวไปอารามดอกท้อได้เดินทางผ่านหน้าจวน มองเห็นแต่เพียงซากปรักหักพักจากระยะไกล ไฟที่ลุกโชนนั้นไม่รู้ว่าเผาไหม้มาเป็นเวลาเท่าใดแล้ว อาเถียนปิดตาของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่นางยังคงเห็นร่างที่ไม่ครบสมบูรณ์ถูกหามออกมาอย่างต่อเนื่อง…
ตระกูลเฉินไม่ใช่คนเมืองอู๋ จักรพรรดิเกาจู่แห่งต้าเซี่ยสถาปนาฐานันดรศักดิ์อ๋องให้เหล่าองค์ชาย ในขณะเดียวกันก็มอบหมายขุนนางช่วยเหลือของพื้นที่ศักดินา ตระกูลเฉินถูกยกให้ท่านอ๋องอู๋ ติดตามท่านอ๋องอู๋อพยพจากเมืองหลวงมาเมืองอู๋
เวลานั้นราชวงศ์ต้าเซี่ยยังไม่มั่นคง ในขณะที่เหล่าท่านอ๋องนั่งบัญชาการคุมพื้นที่ พวกเขาก็ต้องปราบปรามการก่อความโกลาหล ตระกูลเฉินนำทัพออกรบบาดเจ็บล้มตายมามาก ดังนั้นถึงแม้จะมาถึงเมืองอู๋ที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ก็ไม่ได้มีการขยายสายเลือด เมื่อถึงรุ่นของบิดา มีเพียงพี่น้องสามคน ท่านอาทั้งสองร่างกายไม่ดี ไม่ได้ฝึกฝนด้านการต่อสู้ หากแต่เข้ารับราชการในพระราชวัง ท่านพ่อสืบทอดตำแหน่งท่านมหาราชครู เสียสละขาข้างหนึ่ง เสียสละบุตรชายคนหนึ่ง สุดท้ายกลับต้องเผชิญกับการถูกเผาตายทั้งตระกูลเป็นจุดจบของชีวิต
เฉินตันจูก้มหน้า น้ำตาหลั่งไหลหยดลงบนกระโปรง
“คุณหนูรอง” อาเถียนเรียกขานอยู่ด้านหลังอย่างระมัดระวัง คิดอยากจะปลอบแต่ก็ไม่รู้ต้องปลอบอย่างไร นางรู้ว่าสิ่งที่คุณหนูทำมีความหมายต่อนายท่านอย่างไร เฮ้อ นายท่านต้องตีคุณหนูตายแน่ “หรือไม่พวกเราไปพระราชวังก่อนเถิด”
บางทีให้ท่านอ๋องอู๋ปลอบใจนายท่าน…
เฉินตันจูเงยหน้าขึ้น “ไม่ต้อง”
อาเถียนดึงแขนเสื้อของเฉินตันจู “คุณหนู อย่ากลัว อาเถียนจะอยู่กับท่าน”
นางไม่กลัว ชาติที่แล้วนางเคยประสบเรื่องที่น่าหวาดกลัวมามากมาย เฉินตันจูยิ้มให้นาง คล้องแขนของอาเถียนเอาไว้ “ไป กลับจวน”
เด็กหญิงสองคนเดินจูงมือวิ่งไปด้านหน้า เลี้ยวผ่านปากทางเข้าไปก็พบกับจวนใหญ่ตระกูลเฉินที่รายล้อมไปด้วยองครักษ์หลวง
“คุณหนู!” อาเถียนตกใจ
เฉินตันจูดีใจอย่างมาก มีทหารเฝ้าอยู่แสดงว่าคนยังอยู่ ดีเสียจริง
เมื่อเห็นเฉินตันจูเดินมา ทหารที่เฝ้าอยู่นั้นลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรรั้งหรือไม่ควรรั้ง พระราชโองการบอกว่าไม่ให้คนแม้แต่คนเดียวหรือสุนัขแม้แต่ตัวเดียวของตระกูลเฉินวิ่งออกมา แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้คนของตระกูลเฉินวิ่งเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูรองเฉินยังเคยเป็นราชทูตถือพระราชโองการมาก่อน ในขณะที่พวกเขาลังเล เฉินตันจูก็วิ่งเข้าไปเคาะประตูแล้ว
“คุณหนูรอง?” คนด้านหลังประตูตะลึง แต่ไม่ได้เปิดประตู ราวกับไม่รู้ต้องทำอย่างไร
“ข้ารู้ว่าท่านพ่อโกรธมาก” เฉินตันจูเข้าใจพวกเขา “ข้าจะไปรับผิดกับท่านพ่อ”
คนด้านหลังประตูลังเลเล็กน้อย เปิดประตูออกเป็นร่องเล็ก มองนางด้วยสีหน้าซับซ้อน “คุณหนูรอง ท่านจากไปเถิด”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านใน ปะปนไปด้วยเสียงร้องของเหล่าบ่าวรับใช้ “นายท่าน!”
เฉินตันจูมองผ่านร่องประตูเข้าไปก็พบกับเฉินเลี่ยหู่ที่ถือมีดดาบเดินสาวเท้าออกมา ข้างตัวเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ที่ตื่นตระหนก “นายท่าน ขาของท่าน!”
“นายท่าน ตอนนี้ท่านลุกขึ้นมาไม่ได้นะขอรับ”
ขาของเฉินเลี่ยหู่กะเผลกหนักกว่าเดิมอย่างมาก แต่ยังคงไม่ต้องการให้คนพยุง เขาตะโกน “ให้นางเข้ามา!”
คนเฝ้าประตูหลีกทางด้วยสีหน้าซีดเผือด เฉินตันจูเดินเข้ามาจากร่องประตู ยังไม่ทันได้เรียกขานบิดา มีดดาบในมือของเฉินเลี่ยหู่ก็โยนเข้ามา
เขาพูด “เจ้าปลิดชีพเสียเถิด”