ข่าวฮ่องเต้ขึ้นบกแพร่กระจายไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ตอนที่ท่านอ๋องอู๋รับรู้นั้นกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย
เป็นครั้งแรกของเขาที่นั่งอยู่ในพระตำหนักใหญ่นานถึงเพียงนี้ นอกจากไม่ได้จัดงานเลี้ยงมาหลายวันแล้ว ยังไม่ได้ไปหาเหม่ยเหรินที่วังหลังอีก เขาไม่ได้เป็นกังวลเรื่องสถานการ์ณแม้แต่น้อย…สถานการณ์ไม่มีอันใดคับขัน ราชสำนักรุกรานดุเดือด แต่เขาตกลงเจรจากับราชสำนักแล้ว ราชสำนักจะมีเหตุผลอันใดโจมตีเขา
เขาถูกท่านมหาราชครูเฉินกักขังไว้ตำหนักต่างหาก
“ราชสำนักมีใจคิดเรียกคืนพื้นที่ของท่านอ๋องตั้งแต่ห้าสิบปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด หลังจากสงครามห้าเมืองแล้ว ฮ่องเต้สะสมกำลังให้เกรียงไกรมายี่สิบปี เวลานี้มีความปรารถนาอันแรงกล้าในอำนาจและกองกำลังอยู่ในมือ ท่านอ๋องไม่อาจสมคบคิดกับเขา ยิ่งไม่อาจไปโจมตีเมืองอ๋องอื่นๆ น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า หากมิเช่นนั้นจะสูญเสียเมืองอู๋ ท่านอ๋องยากที่จะอยู่”
เมื่อเห็นเฉินตันจูถือพระราชโองการไปต้อนรับฮ่องเต้ เฉินเลี่ยหู่ล้มลงกับพื้นทันที แต่เขานอนเพียงหนึ่งวันเท่านั้น วันต่อมาเขาลุกขึ้นเดินทางมายังพระราชวัง คุกเข่าขอให้ท่านอ๋องอู๋เรียกคืนพระราชโองการ ท่านอ๋องอู๋ไม่ฟัง เขาก็คุกเข่าอยู่ด้านหน้าพระตำหนักใหญ่ของพระราชวังไม่ขยับ
ท่านอ๋องอู๋ส่งคนไปขับไล่เขาหลายครา แต่เฉินเลี่ยหู่ก็วิ่งกลับมาอีก อาศัยฐานะท่านมหาราชครูบุกรุกเข้ามา ท่านอ๋องอู๋หลบอยู่ในส่วนลึกของวังก็ถูกเขาหาเจอ
ขุนนางอื่นก็มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้พวกเขาสับสนวุ่นวาย นั่งยืนไม่เป็นสุข พวกเขาจึงเฝ้าอยู่ภายในพระตำหนักเสียเลย มีคนเห็นด้วยกับท่านมหาราชครูเฉิน มีคนนิ่งเงียบไม่พูด คนส่วนมากตำหนิท่านมหาราชครูเฉิน
“เฉินเลี่ยหู่ เจ้าไร้ยางอายเสียเหลือเกิน” เหวินจงก่นด่า “ตอนนี้เจ้าจะแสร้งทำเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีอะไรกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือเจ้า พวกเจ้าทั้งสองกำลังหยอกท่านอ๋องเล่นหรืออย่างไร”
ตอนนี้ขุนนางอู๋ต่างทั้งไม่เข้าใจทั้งดูถูกเฉินเลี่ยหู่
ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่อง ดูถูกการการะทำของเขาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการตายของหลี่เหลียง ภายในเมืองมีคำล่ำลือใหม่…หลี่เหลียงไม่ได้ทรยศท่านอ๋อง แต่เนื่องจากไม่ทรยศ จึงถูกท่านมหาราชครูเฉินสังหาร
ท่านมหาราชครูเฉินตั้งตนว่าเป็นผู้จงรักภักดีเฝ้ารักษาเมืองอู๋ แต่อันที่จริงเขายอมจำนนราชสำนักนานแล้ว
ข่าวลือนี้ทำให้หัวใจของเฉินเลี่ยหู่สลายไปอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาล้มลงไม่ได้
เฉินเลี่ยหู่ยืดหลังตรง “ข้าเคยพูดแล้ว สิ่งที่บุตรสาวเฉินตันจูทำข้าไม่รู้เรื่อง!”
สีหน้าของเขาทั้งเจ็บปวดทั้งโกรธเคือง นึกย้อนไปถึงตอนที่เฉินตันจูหยิบพระราชโองการออกมาบอกว่าจะไปรับฮ่องเต้…เฮ้อ
“บุตรสาวเฉินตันจูรู้แผนการทรยศของหลี่เหลียง ถึงแม้สังหารหลี่เหลียงสำเร็จ แต่ถูกจารชนของราชสำนักควบคุมตัว นางถูกพวกเขาขมขู่ หรือ…” เฉินเลี่ยหู่ถึงแม้เจ็บปวดใจ แต่ก็ไม่แก้ตัวให้บุตรสาว เขาวินิจฉัยความจริง “ถูกพวกเขาโน้มน้าว นางยอมจำนนต่อราชสำนัก นำจารชนของราชสำนักเข้ามาในเมืองหลวง จากนั้นบังคับท่านอ๋อง…”
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าเหตุใดวันนั้นเฉินตันจูจึงเข้าพบท่านอ๋องอู๋คนเดียว นางชักนำจารชนราชสำนักเข้ามา ก่วนเจียเล่าเรื่องที่เฉินตันจูทำตอนที่เขาไม่อยู่จวน…เขาถีบประตูคลังที่กักขังทหารใกล้ชิดของหลี่เหลียง เห็นว่าขาดไปหนึ่งคน ทหารใกล้ชิดของหลี่เหลียงที่ว่านั้นถึงแม้จะสวมชุดทหารอู๋ แต่เมื่อพินิจดูก็จะพบว่าพวกเขาไม่ใช่คนอู๋!
ไม่จำเป็นต้องใช้การเฆี่ยนตีเพื่อสืบสวน พวกเขายอมรับว่าตนเองเป็นทหารราชสำนักอย่างรวดเร็ว
เฉินเลี่ยหู่ลากคนเหล่ามาที่ด้านหน้าของพระราชวังคิดจะประหาร แต่ถูกท่านอ๋องอู๋ใช้หตุผลไม่ประหารราชทูตห้ามปรามเอาไว้
“พวกเขาไม่ใช่ราชทูต พวกเขาเป็นจารชน!” เฉินเลี่ยหู่ร้องขอท่านอ๋องอู๋อย่างเจ็บปวด “ถึงแม้จะเป็นราชทูต ไม่ได้รับการอนุญาตของท่านอ๋อง แอบลักลอบเข้ามาในเมืองอู๋ก็คือโจร สมควรประหาร”
ท่านอ๋องอู๋ถูกกวนจนโมโห “เฉินเลี่ยหู่ หากเจ้าบังอาจประหารคนเหล่านี้ นำมาซึ่งสงครามระหว่างราชสำนักและเมืองอู๋ เจ้าก็คือคนบาปของเมืองอู๋! ข้าไม่มีทางให้อภัยเจ้า!”
เขาคือคือคนบาปของเมืองอู๋… เฉินเลี่ยหู่กระอักเลือดออกมาหลังจากได้ยินคำพูดของท่านอ๋องอู๋ ก่อนจะถูกหามกลับจวน แต่หลังที่ฟื้นขึ้นมา เฉินเลี่ยหู่ก็เดินทางมาถึงพระราชวังอีกครั้ง เขาต้องห้ามการกระทำทำลายตนเองของท่านอ๋องอู๋ มิเช่นนั้น เขาคงได้กลายเป็นคนบาปของเมืองอู๋จริงๆ
“ท่านอ๋อง…” เฉินเลี่ยหู่ไม่สนใจเสียงโหวกเหวกของเหล่าขุนนาง ทำเพียงแค่ร้องขอต่อท่านอ๋องอู๋
“ท่านอ๋อง!” ขันทีด้านนอกประตูวิ่งเข้ามาอย่างดีใจ ยกหนังสือรายงานข่าวขึ้นสูง “ฮ่องเต้เข้าเมืองอู๋แล้ว!”
ภายในตำหนักเงียบสงัดลงทันที สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังขันที บ้างมีสีหน้าตะลึงบ้างมีสีหน้าเกรงกลัวบ้างมีสีหน้าไม่ชัดเจน
เสียงของท่านอ๋องอู๋สั่นเทา “เขา…”
ขันทีรู้ว่าท่านอ๋องต้องการถามอะไร เขารีบพูด “ฝ่าบาทนำองครักษ์ติดตามมาแค่สามร้อยเพื่อมาพบท่านอ๋อง…” พูดจบก็คุกเข่าพูดขึ้นเสียงดัง “ท่านอ๋องมีบารมี!”
นำมาแค่สามร้อยองครักษ์ ฮ่องเต้ไม่นำกองทัพเข้าเมืองอู่จริงๆ เหล่าขุนนางต่างตกตะลึง จางเจี้ยนจวินตั้งสติได้ก่อน รีบคุกเข่าลงไป “ท่านอ๋องมีบารมี! ฮ่องเต้มาพบท่านด้วยมารยามการพบพี่น้อง!”
เวลาหนึ่ง เหล่าขุนนางต่างแย่งชิงกันโห่ร้องชัยโย ท่านอ๋องอู๋นั่งหัวเราะร่าอยู่บนบัลลังก์ สายตาจับจ้องไปยังคนที่ยืนอยู่เพียงหนึ่งเดียวในพระตำหนัก เสียงหัวเราะจึงชะงักไป
เฉินเลี่ยหู่ที่คุกเข่าอยู่ก่อนหน้านี้ลุกขึ้นมา สีหน้าทั้งตกตะลึงทั้งย่อท้อ “บารมีของท่านอ๋องอันใดกัน มันคือบารมีของฮ่องเต้ เป็นการดูถูกท่านอ๋อง มองเมืองอู๋เป็นสิ่งที่อยู่ในกำมือ”
เขาพึมพำก่อนจะเดินขึ้นหน้าเรียกขานท่านอ๋องเสียงดัง
“ให้ข้านำทัพ จู่โจมฮ่องเต้…”
ท่านอ๋องอู๋ตกใจ “ท่านมหาราชครูเฉิน อย่าพูดเหลวไหล!”
ด้านข้างมคนพูดเสียดสีขึ้น “ท่านมหาราชครูเฉิน บุตรสาวของท่านมาพร้อมฮ่องเต้ ท่านจะสังหารอย่างไร”
เฉินเลี่ยหู่สีหน้าเย็นชา “หากบุตรสาวข้ายอมฟังข้า รั้งฮ่องเต้เอาไว้ นางยังเป็นบุตรสาวของข้า หากนางยังคงทำโดยพลการ นางก็ไม่ใช่บุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่ แต่เป็นโจรที่ทรยศต่อเมืองอู๋ ข้าจะประหารหัวของนางด้วยตนเอง”
“ท่านมหาราชครูเฉิน!” จางเจี้ยนจวินจะโกน “ท่านอย่าได้พูดคำพูดที่บ้าคลั่งเช่นนี้อีก! ฮ่องเต้มาโดยไม่นำกองกำลังเข้ามาตามสัญญา ตั้งใจเจรจากับท่านอ๋อง แต่เจ้ากลับตะโกนไล่ฆ่าได้อย่างไรกัน เจ้กำลังปั่นป่วนเมืองอู๋!”
คนอื่นต่างลุกยืนขึ้นมา ตำหนิต่อว่าเสียงดัง “เหลวไหลสิ้นดี!” “ไร้ความรักษาคำมั่น!” “ทำให้เมืองอู๋อับอาย!” “เจ้าอยากให้ท่านอ๋องแบกรับโทษก่อกบฏหรือ”
เฉินเลี่ยหู่มองดูภายในตำหนัก ราวกับหลังจากที่ได้ยินฮ่องเต้เข้าเมืองอู๋แล้ว ท่าทางของเหล่าขุนนางต่างเปลี่ยนไป นอกจากส่วนน้อยที่ไม่พูดอะไร คนอื่นล้วนมีท่าทางดีใจอย่างยิ่ง แม้แต่เหวินจงก็ไม่ตำหนิการเจรจาของท่านอ๋องอู๋และฮ่องเต้อีก ทุกคนล้วนดีใจที่สามารถเจรจาได้ ตื่นเต้นกับการมาถึงของฮ่องเต้ อดทนรอไม่ได้ที่จะ…
เนื่องจากรู้ว่าสถานการณ์ถูกกำหนดไว้แล้ว ดังนั้นคำพูดคัดค้านแม้แต่คำเดียวก็ไม่กล้าพูด เกรงว่าจะยั่วยุฮ่องเต้ ส่งผลต่ออนาคตในภายหลังของตนเอง
แต่ท่านอ๋องยังยืนอยู่ต่อหน้าทุกคน! เฉินเลี่ยหู่เงยหน้าร้องออกมาอย่างเศร้าโศก “ท่านอ๋อง รอข้าไปถามฮ่องเต้ เหตุใดจึงมีเรื่องท่านอ๋องส่งมือสังหารลอยสังหารฮ่องเต้ เหตุใดจึงใส่ร้ายท่านอ๋องก่อกบฏ เขายังจำคำสั่งสอนของเกาจู่ได้หรือไม่”
พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
ฃุนนางใหญ่สองข้างรีบเดินขึ้นหน้ารั้งเฉินเลี่ยหู่เอาไว้ “ท่านมหาราชครู ไปไม่ได้!” คนอื่นต่างตะโกนวุ่นวาย “ท่านอ๋อง!”
ท่านอ๋องอู๋ไม่ต้องให้ทุกคนเอ่ยเตือนก็รู้ตัวขึ้นมา เขาจะปล่อยให้ท่านมหาราชครูเฉินไปซักถามฮ่องเต้ได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นคงมีเรื่องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฮ่องเต้นำแค่ทหารสามร้อยเข้าเมืองอู๋ แสดงว่าไม่มีสงครามแล้ว สงบแล้ว เขายังมีสิ่งใดต้องกังวล เขาควรถูกขังเอาไว้ได้แล้ว
ท่านอ๋องอู๋ยืนขึ้นออกคำสั่ง “ท่านมหาราชครูเฉิน ส่งอำนาจทหารออกมา!” ก่อนจะเรียกคนมาอีก “ส่งตัวท่านมหาราชครูกลับจวน!”
เฉินเลี่ยหู่ทั้งตะลึงทั้งโกรธ “ท่านอ๋อง…อย่าได้ฟังคำใส่ร้าย! ไม่อาจเจรจากับฮ่องเต้! ไม่อาจร่วมมือกับฮ่องเต้จู่โจมเมืองโจวเมืองฉี! ไม่อาจ…”
เฉินเลี่ยหู่ดิ้นรนด้วยร่างกายที่แก่ชราและขาที่พิการ องครักษ์หลวงสามคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อง เหล่าขุนนางต่างบดบังอยู่ด้านหน้าของท่านอ๋องอู๋ องครักษ์หลวงจำนวนมากขึ้นหลั่งไหลเข้ามา นำตัวของเฉินเลี่ยหู่ไปด้านนอก…
เฉินเลี่ยหู่ถูกลากออกไปในที่สุด ขันทีที่เฉลียดให้คนปิดปากของเขาเอาไว้ เสียงตะโกนและเสียงด่าก็เงียบไป ภายในตำหนักหลงเหลือเพียงหมวกและรองเท้าที่ล่วงหล่นจากการดิ้นรน…
เหล่าขุนนางต่างโล่งอก บรรยากาศภายในตำหนักกลมเกลียวขึ้นอีกครั้ง
“ท่านอ๋อง ข้าไปพบฮ่องเต้แทนท่านอ๋องก่อน” จางเจี้ยนจวินพูดออกมา
ขุนนางอื่นต่างแย่งชิงกันขอโปรดเกล้า ท่านอ๋องอู๋หัวเราะร่า “ไปให้หมด ให้ฮ่องเต้เห็นถึงอำนาจของเมืองอู๋!”