บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 36 ถูกเหยียดหยาม

ตอนที่ 36 ถูกเหยียดหยาม

พวกเขาให้ท่านมหาราชครูเฉินเดินทางไปตำหนิฮ่องเต้ที่พระราชวัง ท่านมหาราชครูเฉินขัดขืนต่อหน้าฮ่องเต้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น เพราะก่อนหน้านี้ท่านอ๋องกักขังเขาไว้ในจวน แต่เขาแอบหนีออกมาเอง 

 

 

แต่ตอนนี้ฮ่องเต้และท่านอ๋องอู๋กลับพระราชวังด้วยกัน หากท่านมหาราชครูเฉินขัดขืนฮ่องเต้ ท่านอ๋องอู๋จะทำอย่างไร 

 

 

“เร็วเข้า! ไปขับไล่ท่านมหาราชครูเฉิน” 

 

 

“หาวิธีรั้งฮ่องเต้และท่านอ๋องเอาไว้” 

 

 

แต่ทุกสิ่งก็ไม่ทันการเสียแล้ว ฮ่องเต้พาท่านอ๋องอู๋นั่งรถร่วมกันนำเหล่าขุนนางชั้นสูง อยู่ภายใต้การรายล้อมของเหล่าขันทีและองครักษ์หลวง เดินทางไปยังพระราชวัง ม่านแก้วทั้งสี่ด้านของราชรถถูกเปิดขึ้น ให้ราษฎรสามารถมองเห็นฮ่องเต้และท่านอ๋องอู๋ที่นั่งอยู่ด้านใน 

 

 

“ฝ่าบาทและท่านอ๋อง!” 

 

 

“อา นี่มันเรื่องอันใดกัน” 

 

 

“ท่านอ๋องยกพระราชวังให้ฝ่าบาทอาศัย แต่ฝ่าบาทไม่ยอม มาเชิญท่านอ๋องกลับวัง” 

 

 

“ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเสียยิ่งกระไร” 

 

 

ฮ่องเต้นั่งรถร่วมกับท่านอ๋องไม่ใช่ภาพแปลกตาอันใด ตอนเกิดสงครามห้าเมือง ท่านอ๋องอู๋องค์ก่อนเคยนั่งราชรถร่วมกับฮ่องเต้ เวลานั้นฮ่องเต้เพิ่งขึ้นครองราชย์ อายุเพียงสิบกว่า…ไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วยตาของตนเองอีกครั้ง 

 

 

เหล่าราษฎรหลั่งไหลมาจากทุกทิศทั่วทาง ตะโกนเรียกฝ่าบาทและท่านอ๋อง แต่บรรยากาศนี้ถูกตัดขาดเมื่อเดินทางมาถึงหน้าพระราชวัง 

 

 

เมื่อเห็นองครักษ์ที่ยืนอยู่หน้าประตูวังหลายสิบคน รวมไปถึงแม่ทัพชราที่ถือมีดสวมเกราะ ฮ่องเต้ถามอย่างตกตะลึง “น้องข้า หมายความอย่างไร” 

 

 

เรื่องนี้เล่าแล้วยาว แต่ตอนนี้ไม่เหมาะสมกับการเล่า ท่านอ๋องอู๋พูดขึ้น “เกิดอันใดขึ้น ท่านมหาราชครูเฉินถูกข้าขังไว้ไม่ใช่หรือ หนีออกมาได้อย่างไร” 

 

 

ขุนนางและขันทีข้างตัวรีบตะโกน “รีบลากออกไป!” เหล่าองครักษ์หลวงเดินเข้าไป แต่เมื่อเห็นเฉินเลี่ยหู่ถือมีดสวมเกราะ พวกเขาไม่กล้าที่จะเดินขึ้นไปลากอีกฝ่าย… 

 

 

เฉินเลี่ยหู่มองฮ่องเต้ที่อยู่บนราชรถผ่านเหล่าองครักษ์หลวง ครั้งก่อนที่พบฮ่องเต้ยังเป็นช่วงเวลาสงครามห้าเมือง ตอนนั้นฮ่องเต้อายุเพียงสิบกว่า ตอนนี้เขากลายเป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าแล้ว รูปลักษณ์คล้ายคลึงกับฮ่องเต้องค์ก่อน อืม…ใบหน้าของเขาคมกว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเล็กน้อย 

 

 

ฮ่องเต้น้อยองค์นี้ร้ายกาจกว่าฮ่องเต้องค์ก่อน มีความมุ่งมั่นเหมือนจักรพรรดิเกาจู่ เมื่อเทียบกับท่านอ๋องอู๋ที่ไร้ซึ่งพลานุภาพของท่านอ๋องอู๋องค์ก่อน…เฮ้อ เฉินเลี่ยหู่ถอนหายใจ 

 

 

“ท่านมหาราชครูเฉิน” ฮ่องเต้พูดขึ้น “ไม่พบกันนาน ท่านมหาราชครูยังคงแข็งแรงเหมือนเคย” 

 

 

เฉินเลี่ยหู่ก้มหัวคารวะ ก่อนจะลุกขึ้น “ฝ่าบาทมายอมรับผิด ล้มเลิกพระราชโองการเรียกคืนพื้นที่ศักดินาหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฮ่องเต้ยิ้มบาง “ข้ามายอมรับความเข้าใจผิดว่าท่านอ๋องอู๋ลอบสังหารข้า” 

 

 

ท่านอ๋องอู๋พูดขึ้น “พอแล้วๆ ท่านมหาราชครูรีบกลับไปเถิด!” 

 

 

ท่านมหาราชครูเฉินยืนอยู่หน้าประตูพระราชวังไม่ขยับ เพียงแต่จ้องมองฮ่องเต้ “หมายความว่าฝ่าบาทไม่ยอมล้มเลิกพระราชโองการเรียกคืนพื้นที่ศักดินา?” 

 

 

ฮ่องเต้พูด “ท่านมหาราชครู อันที่จริงพระราชโองการเรียกคืนพื้นที่ศักดินาก็ทำเพื่อเหล่าท่านอ๋อง โดยเฉพาะเหล่าโอรสของท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างเข้าใจผิด เมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็จะกระจ่าง” 

 

 

เฉินเลี่ยหู่พูด “ในเมื่อฝ่าบาทตระหนักถึงเหล่าโอรสของท่านอ๋องมากเพียงนี้หรือไม่ให้พวกเขาสืบทอดพระราชบัลลังก์ได้เหมือนดั่งเหล่าพระราชโอรสเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียง ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป แม่ทัพหน้ากากเหล็กตะโกนอย่างขุ่นเคือง “เฉินเลี่ยหู่ เจ้าบังอาจ!” 

 

 

สายตาของเฉินเลี่ยหู่มองไปยังเขา เมื่อเทียบกับฮ่องเต้ เขาคุ้นเคยกับแม่ทัพหน้ากากเหล็กมากกว่า เขายังเข้าร่วมสงครามที่ทำให้ใบหน้าของแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นแผล เหมือนจะเป็นสงครามกับท่านอ๋องเยียนผู้บ้าคลั่ง เวลานั้นกองทัพของราชสำนักอ่อนแอ จำนวนคนมีน้อย ท่านอ๋องโจวยึดเอาการข่มขู่พวกเขาเป็นเรื่องสนุก มองดูพวกเขาตกอยู่ในความลำบาก ไม่ช่วยเหลือแม้แต่น้อย… 

 

 

ช่างเป็นเรื่องที่ผ่านมานานเสียจริง คนอย่างพวกเขาที่ล้มลุกคลุกคลานในสนามรบ การบาดเจ็บเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแค่บาดเจ็บบนใบหน้าเท่านั้น จำเป็นต้องปิดบังเอาไว้หรือ ขาของเขาได้รับบาดเจ็บข้าหนึ่งเขายังกล้าพบผู้คน… 

 

 

สายตาของเฉินเลี่ยหู่ดูถูก “ท่านแม่ทัพอวี๋ ไม่เจอนาน เหตุใดเสียงจึงเปลี่ยนไป” 

 

 

แม่ทัพหน้ากากเหล็กกำลังจะพูด ฮ่องเต้ขัดขึ้น เขามองท่านมหาราชครูเฉิน รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนราง “ท่านมหาราชครูเฉิน ท่านคิดจะแทรกแซงราชบัลลังก์หรือ” 

 

 

เขาถอนหายใจ 

 

 

“ข้าว่าท่านมหาราชผิดแล้ว ท่านมหาราชครูควรจะเรียนรู้กับท่านมหาราชครูอู่ของท่านอ๋องหลูในตอนนั้นเสียบ้าง” 

 

 

ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตอย่างกะทันหัน ท่านอ๋องหลูคิดแทรกแซงพระราชบัลลังก์ ท่านมหาราชอู่จิ้นยืนตำหนิท่านอ๋องหลูอยู่หน้าพระราชวัง 

 

 

“เกาจู่แบ่งพื้นที่ศักดินาสถาปนาฐานันดรศักดิ์เพื่อให้ใต้หล้าสงบสุข แต่เวลานี้ท่านอ๋องคิดจะก่อความวุ่นวายให้ต้าเซี่ย ซึ่งขัดต่อหนทางแห่งสวรรค์อย่างไม่รู้เวลาและสถานการณ์ ทำลายตระกูลของลูกหลาน” 

 

 

ท่านอ๋องหลูโกรธมาก ประหารท่านมหาราชอู่จิ้นที่หน้าประตูวัง แอบอุ้มพระราชโอรสรองออกมาจากเมืองหลวงมาไว้ที่เมืองหลู พร้อมทั้งดูแลดุจดั่งฮ่องเต้…ต่อมาเมืองโจว เมืองฉีและเมืองอู๋ร่วมกันล้มเมืองเยียนและเมืองหลู ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งอู่จินเป็นอัครมหาเสนาบดี 

 

 

เขาเอาอู่จิ้นมาเทียบกับเขา ต้องการสื่อว่าท่านอ๋องอู๋แทรกแซงราชบัลลังก์? ยังคงใส่ร้ายท่านอ๋องอู๋มีใจก่อกบฏ! ฮ่องเต้ชอบพูดจามีความนัยซ่อนอยู่ เฉินเลี่ยหู่โกรธหนัก “ตำแหน่งท่านมหาราชครูได้รับมาจากเกาจู่ มีหน้าที่ถ่ายทอดวิชาให้ท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องไม่ได้ทำเรื่องกบฏแต่อย่างใด หากแต่ฝ่าบาทคิดไม่ดีต่อท่านอ๋อง ขัดขืนคำสั่งเกาจู่!” 

 

 

ฮ่องเต้มองเขาด้วยรอยยิ้ม “อย่างนั้นหรือ ที่แท้ในสายตาของท่านมหาราชครู การกระทำของท่านอ๋องล้วนไม่ใช่การขัดขืน” 

 

 

สำหรับเรื่องในอดีต ตั้งแต่เสด็จพ่อล้มป่วยสวรรคต เขาเคยสาบานตั้งแต่อายุสิบห้าว่าจะไม่พูดถึง จดจำไว้ภายในใจไม่มีวันลืม… 

 

 

ฮ่องเต้พูดขึ้นเสียงดัง “ท่านมหาราชครูคิดจะสอนข้า เช่นนั้นเชิญท่านมหาราชครูมาเป็นขุนนางของราชสำนักก่อนเถิด” 

 

 

เฉินเลี่ยหู่ไม่ได้มีความเกรงกลัวแต่อย่างใด เขากระแทกมีดในมือ “ข้ายอมรับคำสั่งไปเป็นท่านมหาราชครูของฝ่าบาท แต่ก่อนหน้านี้เชิญฝ่าบาทออกจากเมืองอู๋ก่อน กองทัพที่จัดวางอยู่ในเมืองอู๋ก็ต้องถอยออกไป อีกทั้งที่นี่คือพระราชวังของท่านอ๋องอู๋ ฝ่าบาทไม่อาจเข้าไปได้” 

 

 

ฮ่องเต้เหลือบมองท่านอ๋องอู๋ สีหน้าของท่านอ๋องอู๋แดงก่ำรู้สึกรำคาญใจอย่างมาก เขาไม่ชอบฟังเสียงโหวกเหวกของเหล่าขุนนาง ยิ่งไม่ได้พูดถึงว่าอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ 

 

 

เขาตะโกน “เฉินเลี่ยหู่ เจ้าถอยไป!” 

 

 

ท่านมหาราชครูเฉินขานเรียกท่านอ๋อง “พื้นที่ของเมืองอู๋ อำนาจของท่านอ๋องคือคำสั่งของเกาจู่ ฮ่องเต้ไม่ล้มเลิกพระราชโองการเรียกคืนพื้นที่หนึ่งวัน เท่ากับขันขืนเกาจู่หนึ่งวัน เป็นจักรพรรดิที่ไร้คุณธรรม!” 

 

 

ท่านอ๋องอู๋เห็นฮ่องเต้ยังเผยรอบยิ้มแม้จะถูกต่อว่า ภายในใจทั้งโกรธทั้งกลัว ท่านมหาราชครูเฉิน 

 

 

เจ้าคิดจะยั่วยุฮ่องเต้ ทำให้ข้าถูกประหารหรืออย่างไร 

 

 

เจ้าอยากตาย อย่าทำให้ข้าเดือดร้อน! 

 

 

“พวกเจ้าอยากตายหรืออย่างไร” ท่านอ๋องอู๋ยืนขึ้นจากราชรถ สะบัดแขนเสื้อใส่เฉินเลี่ยหู่ “ลากเขาลงไป! ลากลงไป!” 

 

 

เหล่าองครักษ์หลวงไม่กล้ารีรอ เดินขึ้นหน้าจับเฉินเลี่ยหู่เอาไว้ 

 

 

“ท่านอ๋อง ไม่อาจให้ฮ่องเต้อยู่ในเมืองอู๋ได้ มิฉะนั้นท่านอ๋องโจวและท่านอ๋องฉีจะเกิดความสงสัย” 

 

 

เฉินเลี่ยหู่ดิ้นรน คิดหาวิธีสุดท้ายในการแก้ไขปัญหา “มิเช่นนั้นเรียกท่านอ๋องโจวและท่านอ๋องฉีมาเข้าเฝ้าพร้อมกัน!” 

 

 

เรียกท่านอ๋องโจวและท่านอ๋องฉีมีประโยชน์อันใดกับเขา ท่านอ๋องอู๋ขุ่นเคือง ตะโกนพร้อมกระทืบเท้า “นี่เป็นเมืองอู๋ของข้า ไม่ใช่ของเจ้าเฉินเลี่ยหู่! ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาชี้นิ้วสั่ง! ลากลงไป! อุดปากเขาเอาไว้!” 

 

 

เหล่าขันทีต่างพุ่งตัวเข้าไป เฉินเลี่ยหู่ถูกปิดปากเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เฉินเลี่ยหู่ดิ้นหลุด เหล่าองครักษ์หลวงแบกเขาขึ้นมา เฉินเลี่ยหู่พยายามดิ้นรนหันกลับไปมอง… 

 

 

ท่านอ๋องปล่อยข้าออกมาเพื่อให้ข้าเป็นคนเลวไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงกลับคำเสียแล้ว 

 

 

เฉินเลี่ยหู่ไม่คิดว่าคุณชายเหล่านั้นจะขโมยตราพระราชโองการเพื่อปล่อยเขาออกมา ในฐานะที่เป็นขุนนางมาหลายสิบปี เขารู้ดีอย่างยิ่งว่ามันคือเจตนาของท่านอ๋อง 

 

 

ท่านอ๋อง ข้ายอมตายเพื่อเมืองอู๋ แต่ท่านไม่ยอมให้ข้าตาย 

 

 

เฉินเลี่ยหู่น้ำตารื้นขอบตา ถูกหามจากไปราวกับเสื้อตาย 

 

 

“ฝ่าบาท” ท่านอ๋องอู๋โล่งใจ พูดกับฮ่องเต้ “เชิญเข้าวังเถิด” 

 

 

ฮ่องเต้พยักหน้ารับ เรื่องก่อนหน้านี้ไม่มีผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย เพียงแค่อุทานต่อท่านอ๋องอู๋ “อารมณ์ของท่านมหาราชครูเฉินยังเหมือนเดิม” 

 

 

ราชรถเคลื่อนที่ผ่านประตูวังเข้าไป 

 

 

เฉินตันจูที่อยู่หลังฝูงชนนั่งอยู่ในรถ นางไม่เห็นเหตุการณ์ด้านหน้าประตูวัง นางก้มหน้าต่ำ ฝ่ามือของตนเองถูกทิ่มแทงด้วยเล็บ…นางจะทนดูท่านพ่อได้รับการดูถูกได้อย่างไร อีกทั้งนางยังเป็นคนวางแผนเรื่องนี้ นางสมควรตายเสียจริง 

 

 

อาเถียนอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ “คุณหนู พวกเรากลับ…กลับขึ้นไปบนเขาเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

เฉินตันจูพยักหน้า อาเถียนเรียกขานจู๋หลิน จู๋หลินรีบหันหัวม้าลากรถผ่านทะลุฝูงชนที่กำลังมุงดูอย่างคึกคักไปทางนอกเมือง 

 

 

ในจวนตระกูลเฉิน เฉินตันเหยียนพยุงเสี่ยวเตี๋ยวเดินออกไปทางด้านนอกอย่างรวดเร็ว นางเปลี่ยนเสื้อผ้าหวีผมเผ้าอย่างเรียบร้อย อีกทั้งยังเติมสีปากอีกเล็กน้อย 

 

 

“คุณหนู คุณหนู” ก่วนเจียร่ำไห้เดินตามนาง 

 

 

“หยุดร้องเถิด” เฉินตันเหยียนดวงตาแดงก่ำ แต่น้ำตาไม่ยอมล่วงหล่นลงมา “เตรียมโรงศพไว้ให้ดี อย่างอื่นไม่ต้องเตรียม ท่านพ่อสวมชุดเกราะอยู่ สวมใส่ชุดนั้นลงไปก็พอ” 

 

 

ก่วนเจียร้องไห้หนักกว่าเดิม “ข้าไร้ประโยชน์ ไม่อาจรั้งนายท่านได้” 

 

 

เฉินตันเหยียนเดินโซเซไปมา เสี่ยวเตี๋ยวร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่เฉินตันเหยียนยืนนิ่งไม่ล้มลง หอบหายใจอยู่หลายที “ไม่ต้องรั้ง ท่านพ่อดีใจ ท่านพ่อตายอย่างไร้ความเสียดาย พวกเรา พวกเราต้องดีใจ…” 

 

 

ก่วนเจียปิดหน้าเอาไว้ วิ่งไปด้านหน้า “ข้าไปเอาโรงศพของนายท่านใส่รถ” 

 

 

เขาเพิ่งวิ่งไป ด้านนอกก็มีคนวิ่งสวนเข้ามา ตะโกน “นายท่านกลับมาแล้ว!” “มีทหารมาจำนวนมาก!” 

 

 

ฝีเท้าของก่วนเจียชะงักลง นายท่านถูกประหารแล้ว ทหารเหล่านี้มาเพื่อประหารทั้งตระกูลหรือ เขาหันกลับไปมองเฉินตันเหยียน คุณหนู…เฉินตันเหยียนยืนนิ่ง เรียกขาน “ท่านพ่อ” 

 

 

ก่วนเจียหันหน้ากลับไป พบว่าประตูใหญ่เปิดกว้าง เหล่าองครักษ์รายล้อมอยู่รอบตัวเฉินเลี่ยหู่เดินเข้ามา ไม่ใช่หามเข้ามา เขาตะโกนเรียกอย่างดีใจ “นายท่าน!” 

 

 

เสื้อเกราะของเฉินเลี่ยหู่สลาย มีดในมือก็หายไป ผมขาวของเขาพลิ้วไหวไปมาตามขาที่กะเผลก สีหน้าเหม่อลอย ไร้การตอบสนองต่อการขานเรียกของพวกเขา 

 

 

นายท่านไม่เคยอนาถเพียงนี้มาก่อน…ก่วนเจียรู้สึกเหมือนหัวใจแหลกสลาย 

 

 

“ท่านพ่อ” เฉินตันเหยียนเดินขึ้นหน้า ถามเสียงสั่น “ท่าน ยังดีอยู่หรือไม่” 

 

 

เฉินเลี่ยหู่ตอบรับ เดินไปด้านหน้าอย่างไร้ความรู้สึก น้ำตาของเฉินตันเหยียนล่วงลงมา หากท่านพ่อตาย นางจะไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่ตอนนี้ท่านพ่อยังอยู่ นางสามารถหลั่งน้ำตาได้ 

 

 

“ท่านพ่อ” นางร้องไห้ “ท่าน อย่าเสียใจ” 

 

 

เฉินเลี่ยหู่ยิ้ม “ข้าไม่เสียใจ ไม่เสียใจแม้แต่น้อย” เขายื่นมือกุมหน้าอก “ใจของข้าได้ตายไปแล้ว” 

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท