เฉินตันจูออกจากวัดถิงอวิ๋นมาขึ้นรถ เรียกหาจู๋หลิน
“ท่านแม่ทัพว่าอย่างไร” นางถาม
นางให้จู๋หลินรายงานแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เชิญฮ่องเต้มาเยี่ยมเยียนวัดถิงอวิ๋น และทำความเข้าใจเมืองอู๋ให้มากขึ้น
จู๋หลินหลุบตาต่ำ “ท่านแม่ทัพบอกว่ากลัวคุณหนูรองทำร้ายท่าน ท่านอยู่ในเมืองอู๋ตัวคนเดียว ไร้อำนาจและกำลัง ไม่เหมือนคุณหนูรองที่มีมิตรสหายล้อมรอบ”
เฉินตันจูเกือบจะสำลักน้ำลายตนเอง แม่ทัพหน้ากากเหล็กหยอกล้อเล่นอีกแล้วหรือ เขากำลังหมายถึงเรื่องที่หยางจิ้งมาหาตนหรือ
นางให้องครักษ์ลอบตามหยางจิ้ง แอบสืบว่าเขาต้องการทำอันใด ถึงแม้เป็นเรื่องที่ตนเองอยากรู้ แต่อย่างไรก็เป็นองครักษ์ของเขา เขาก็ต้องรู้อย่างแน่นอน
หยางจิ้งกลัวอันใดกัน ถึงแม้เขาอยู่ตัวคนเดียวในเมืองอู๋ แต่เมืองอู๋มีสายของพวกเขาอยู่จำนวนมาก
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไร้ซึ่งความใจกว้างของคนชรา ใจแคบเสียจริง เฉินตันจูปวดหัวเล็กน้อย
“เขาต้องการอันใด”
จู๋หลินพูด “ท่านแม่ทัพให้คุณหนูลองไปเฝ้าทูลฝ่าบาทเอง อย่าหลอกใช้ความเชื่อใจของฝ่าบาทที่มีต่อเขา”
อันใดคือการหลอกใช้ นางมีสิทธิหลอกใช้เขาหรือก็แค่ไม่เชื่อใจนางเท่านั้น
เฉินตันจูสะบัดผ้าม่านลง “เข้าวัง”
จู๋หลินถอยไปไม่พูดอันใด เคลื่อนรถมุ่งหน้าไปทางพระราชวัง รถจอดอยู่ด้านหน้าพระราชวัง บนประตูเมืองมีองครักษ์มือถือคันธนูเฝ้าระวังอย่างหนาแน่น
“ข้าคือเฉินตันจู ข้ามาเข้าเฝ้าฝ่าบาท” คุณหนูรองเฉินลงจากรถ พูดขึ้น “เปิดประตูวัง”
ประตูวังเปิดออกตามเสียง สายตาที่จับจ้องเฉินตันจูเข้าพระราชวังอยู่ไม่ไกล สายตานั้นแอบมองก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็วและนำข่าวนี้ส่งไปให้คนที่กำลังรอคอยอยู่จำนวนมาก
“คุณหนูรองเฉินเข้าวังแล้ว!”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ หยางจิ้งจึงยกชาด้านหน้าขึ้นดื่มจนหมด คุณชายด้านข้างต่างกล่าวชื่นชม
“เมื่อวานที่พูดไป วันนี้ก็เข้าวังแล้ว”
“มีเพียงคุณชายรองหยางสามารถเกลี้ยกล่อมคุณหนูรองเฉินได้”
“คุณหนูรองเฉินเชื่อฟังคุณชายรองหยางอย่างมาก”
“คุณชายรองหยางตอนนั้นควรจะเกลี้ยกล่อมเฉินตันจูสังหารฝ่าบาทเสีย”
ประโยคนี้พูดไม่ได้ หยางจิ้งกระแอมไอหนึ่งที “คุณหนูรองไม่ได้เชื่อฟังข้า เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวกับตัวของนาง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของนางกับบิดา หากข้าบอกให้นางลอบสังหารฮ่องเต้ จะเป็นการทำลายผลประโยชน์ของนาง นางจะฟังข้าได้อย่างไร”
คุณชายด้านข้างหัวเราะขึ้นมา “คุณชายจิ้งพูดถูก ทุกคนอย่าเพิ่งได้ใจคิดอันใดก็ได้”
เขาหุบพัดในมือลง “เรื่องต่อไปเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
ทุกคนพยักหน้าเรียกขานคุณชายห้า “ได้สิ่งนั้นมาหรือไม่”
บุตรคนที่ห้าของมหาดเล็กเหวินพยักหน้า หยิบตราหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “ข้าได้มาแล้ว”
สิ่งนี้คือตราพระราชโองการท่านอ๋อง ทุกคนต่างล้อมดูอยู่สักพัก ถึงแม้พวกเขาล้วนเป็นบุตรหลานของตระกูลใหญ่ แต่ไม่ได้พบตราพระราชโองการท่านอ๋องได้อย่างง่าย เวลานี้ท่านอ๋องพักอยู่ในจวนของมหาดเล็กเหวิน คุณชายห้าของมหาดเล็กเหวินอยู่ใกล้ แอบลักขโมยพระราชโองการท่านอ๋องมา…
“คุณชายห้า ท่านอ๋องจะกล่าวโทษหรือไม่” คุณชายคนหนึ่งถามอย่างหวาดกลัว
ลักขโมยพระราชโองการท่านอ๋องต้องโทษประหาร
คำพูดนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยสีหน้าหวาดกลัว แต่ก็เป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้น
“พวกเราทำเพื่อท่านอ๋อง ทำเพื่อเมืองอู๋” คุณชายอีกคนพูด “ช่วงเวลาพิเศษย่อมต้องทำในสิ่งที่ไม่เป็นไปตามกฎ ถึงแม้ท่านอ๋องจะกล่าวโทษ พวกข้าก็ยอม”
ใช่ ทุกคนพยักหน้า
คุณชายเล็กของตระกูลจางเจี้ยนจวินแอบหัวเราะอยู่ในใจ กังวลอันใดกัน หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านอ๋อง เขาจะขโมยมาง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร
โง่หรือไม่ เฮ้อ! หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านอ๋อง ผู้ใหญ่ในตระกูลจะหลับตาข้างเดียวทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่พวกเขาจะทำ พวกเขาคงถูกกักขังไว้ในบ้านตั้งแต่แรก
“เอาเถิดๆ” คุณชายเล็กจางพูดขึ้น “ทุกท่านอย่าได้กังวลเลย พระราชโองการอยู่ในมือ รีบไปปล่อย ไม่ก็ รีบไปเชิญท่านมหาราชครูเฉินออกมาเถิด เมื่อถึงเวลาถึงแม้ท่านมหาราชครูเฉินไม่ยอมสังหารฮ่องเต้ ก็ย่อมต้องสังหารบุตรสาวของตน ย่อมต้องเผยอาวุธต่อหน้าฮ่องเต้ เพียงแค่เผยอาวุธ ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางอยู่นิ่ง การเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
ช่างเป็นกลอุบายที่สมบูรณ์แบบ!
…
ท่านอ๋องอู๋ถูกขับไล่ออกไป พระราชวังอ้างว้างอย่างมาก เฉินตันจูเดินไปตามทาง ก่อนจะพบกับแม่ทัพหน้ากากเหล็กนั่งตกปลาอยู่ด้านหน้าแม่น้ำของราชวังต้องห้าม ด้านหลังยังมีหวังซินแสที่เฝ้าเตาถ่านเผาปลา
“ปลานี้ไม่อร่อย” หวังซินแสบ่น เมื่อเห็นเฉินตันจูก็เชิญให้นางลองชิม
เฉินตันจูถาม “ท่านแม่ทัพเข้าพระราชวังอู๋เพื่อเหยียดหยามท่านอ๋องหรือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่ายหัว “คุณหนูตันจูอย่าได้คิดเช่นนั้น ข้ามักตกปลาในพระราชวังเช่นเดียวกัน ฝ่าบาทไม่คิดว่าจะเป็นการเหยียดหยาม”
“ท่านอยู่ในจวนของตนเองอยากทำอันใดย่อมได้” เฉินตันจูพูดอย่างไม่พอใจ “ที่นี่คือพระราชวังอู๋”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเก็บไม้ไผ่ตกปลา ถามขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ดังนั้นคุณหนูตันจูคิดจะตำหนิพวกข้าไม่มีมารยาทของแขกหรือ”
นางมีสิทธิตำหนิพวกเขาอย่างไรกัน เฉินตันจูพูดอย่างจริงใจ “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่อยากให้ฝ่าบาทจบสิ้นสถานการณ์แขกไม่เป็นแขก นายไม่เป็นนายนี้เสียที”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพินิจ “คุณหนูตันจูคำนึงแทนฝ่าบาทอย่างมาก”
นางไม่ได้คำนึงเพื่อฮ่องเต้แต่อย่างใด เพียงแต่นางรู้ว่ายากเกิดจะต้านทานได้ ถึงแม้นางจะพยายามแล้ว อาทิสังหารฮ่องเต้ก่อนที่ฮ่องเต้จะเข้าเมืองอู๋ เสียดายที่ท่านอ๋องอู๋ไม่ต้องการ
เฉินตันจูหัวเราะเยาะตนเอง “ข้าเพียงแค่คำนึงต่อตัวข้าเท่านั้น จบสิ้นสถานการณ์วุ่นวายนี้ได้เร็วเท่าใด ข้าย่อมมีชีวิตอยู่ที่สงบสุขได้เร็วเท่านั้น มิฉะนั้นข้าในฐานะราชทูตต้อนรับฮ่องเต้ จะไม่ใช่คนทั้งนอกทั้งใน อยู่ไม่สงบ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กลุกขึ้นยืน พูดอย่างช้าๆ “ในเมื่อคุณหนูตันจูรู้ว่าตนเองไม่เป็นคนทั้งนอกและใน ก็อย่าได้คิดจะเป็นทั้งคนนอกคนใน ไปทำให้ฝ่าบาทเชื่อใจอย่างเปิดเผยเถิด”
ทำให้ฮ่องเต้เชื่อใจ? เฉินตันจูผงะ ไม่พูดอันใดต่อ
“ไปเถิด ฝ่าบาทรอเจ้าอยู่” แม่ทัพหน้ากากเหล็กหันหลังเดินเข้าด้านในไป เมื่อเห็นเด็กหญิงด้านหลังไม่ได้เดินตามมา จึงพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณชายรองหยางให้เจ้าเข้าวังไม่ใช่หรือ เจ้าเข้าวังแล้ว พวกเขาถึงได้ทำเรื่องต่อไปได้ง่าย”
เฉินตันจูคิ้วกระตุก อย่างไรเป้าหมายของคนเหล่านั้นไม่เพียงเกลี้ยกล่อมให้ท่านพ่อของตนมาตำหนิฮ่องเต้ อีกทั้งยังต้องการให้นางพบกับท่านพ่อในพระราชวัง พวกเขาต้องการบังคับให้ท่านพ่อสังหารนางหรือว่าให้นางดูฮ่องเต้สังหารท่านพ่อ แต่ไม่ว่าผลเป็นอย่างไร นางก็อย่าได้คิดมีชีวิตอยู่…
เมื่อนึกถึงใบหน้าเป็นห่วงของหยางจิ้ง เฉินตันจูทำได้เพียงถอนหายใจ ชาตินี้นางสังหารหลี่เหลียงเร็ว หยางจิ้งจึงมาสังหารนางเร็วเหมือนกัน
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเห็นสีหน้าของเฉินตันจูซีดเผือด คิดว่าแม่นางคงเสียใจต่อการทอดทิ้งของคนในใจ กำลังจะพูดอันใดบางอย่าง…เรื่องของเด็กเขาไม่เข้าใจ
เฉินตันจูก้าวเท้าเดินตามมา แม่ทัพหน้ากากเหล็กชักสายตากลับมามองไปด้านหน้า
เฉินตันจูเดินทางมาถึงตำหนักใหญ่ ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าไป นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะของฮ่องเต้ดังขึ้น
“คุณหนูตันจู” เขาถาม “เจ้าจะพาข้าไปที่ใด ข้าให้คนเตรียมรถม้าไว้แล้ว”
ฮ่องเต้ตกลงแล้ว? ไม่จำเป็นต้องให้นางโน้มน้าว? เฉินตันจูตกตะลึงเล็กน้อย นางมองไปยังแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เห็นเพียงแผ่นหลังที่ถูกเสื้อเกราะปกคลุมเอาไว้ของแม่ทัพหน้ากากเหล็กกำลังเดินไปด้านหน้าของฮ่องเต้
เฉินตันจูก้มหัวตอบรับ “สถานที่นี้เป็นสถานที่สวยงามที่สุดในเมืองอู๋ มีมาตั้งแต่ยังมีต้าเซี่ย”
ฮ่องเต้สนใจอย่างมาก “ข้าต้องไปดูเสียหน่อย”
…
เสียงเกือกม้าหนักหน่วงดังขึ้นบริเวณกำแพงพระราชวัง ดึงดูดสายตาของคนจำนวนมากที่อยู่ด้านหลังประตูหน้าต่าง เห็นเพียงแต่ด้านนอกมีคนจำนวนหนึ่งที่สวมชุดเกราะวิ่งผ่านไป คนอื่นล้วนแต่งตัวในลักษณะองครักษ์ทั่วไป จำนวนคนมีไม่มาก แต่พลานุภาพราวดังกองทัพนับพัน…
“ท่านมหาราชครูเฉิน!” เหล่าคนด้านหลังประตูจำได้ “ท่านมหาราชครูเฉินออกมาแล้ว” ก่อนจะตกตะลึง “ท่านมหาราชครูเฉินจะไปพระราชวังหรือ เหตุใดจึงพาคนไปจำนวนมากเช่นนี้”
ใช่ ท่านอ๋องถูกฮ่องเต้ขับไล่ออกจากพระราชวัง ท่านมหาราชครูเฉินกำลังจะไปขับไล่ฮ่องเต้แทนท่านอ๋อง ทางฮ่องเต้มีกำลังเพียงสามร้อยเฝ้าระวังกำแพงวัง จะเกิดเหตุการณ์เลือดย้อมประตูพระราชวังหรือไม่ หากเผชิญหน้าขึ้นมาจริง กองกำลังของราชสำนักจะบุกรุกเข้าเมืองอู๋หรือไม่ ถึงแม้ภายในจะมีกองกำลังราชสำนักเพียงสามร้อย แต่นอกเมืองอู๋มีกองทัพรออยู่นับแสน!
สวรรค์เอ๋ย ต่อไปจะเป็นอย่างไร ทุกคนล้วนตื่นเต้น ฮึกเหิมและหวาดกลัว
ไม่ว่าอย่างไร เฉินเลี่ยหู่มองไปยังพระราชวังด้านหน้า ครานี้เขาออกจากจวนมาก็ไม่คิดจะอยู่รอดกลับไป…
ฮ่องเต้กริ้ว สั่งประหารเขาทันที
ฮ่องเต้ไม่กริ้ว ท่านอ๋องต้องให้เหตุผลแก่ทั้งสองฝั่ง เขากลายเป็นคนบาปที่ต้องถูกลงโทษ
แต่แล้วอย่างไร ตายเพื่อท่านอ๋องไม่หวาดกลัวและไม่เสียดาย
เฉินเลี่ยหู่ถือดาบยาวไว้ด้านหน้าของตน เร่งม้าด้วยขาข้างเดียว มุ่งตรงไปยังประตูพระราชวัง แต่…
“ท่านมหาราชครู!” องครักษ์คนหนึ่งตะโกน “ไม่มีผู้ใดอยู่ภายในพระราชวัง”
เกิดอันใดขึ้น
เฉินเลี่ยหู่มองกำแพงพระราชวังด้านหน้า ประตูพระราชวังเปิดกว้าง มองไม่เห็นองครักษ์แม้แต่คนเดียว เดิมทีเขาคิดว่าเป็นกลอุบาย แต่หลังจากเหล่าองครักษ์เข้าไปดู พบว่าด้านในเหลือเพียงความว่างเปล่า ไร้ซึ่งกองทัพของราชสำนัก แม้แต่ฮ่องเต้ก็หายไป
ฮ่องเต้…หนีไปแล้ว?