บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 0 บทนำ (2)

ตอนที่ 0 บทนำ (2)

หลังจากฝนในฤดูใบไม้ผลิตกลงมาหลายครั้ง แปลงผักด้านหลังอารามงอกเงยเต็มไปด้วยต้นอ่อนสีเขียวขจีจำนวนมาก

เฉินตันจูเก็บต้นอ่อนเหล่านั้นมาเต็มตะกร้า ใช้น้ำที่หลั่งไหลลงมาจากบนเขาล้างให้สะอาด นำลงไปผัดในน้ำมัน อีกทั้งยังหั่นหน่อไม้ที่ดองเอาไว้ออกมาหลายชิ้น หุงข้าวดอกท้อหนึ่งถ้วยกินอย่างเรียบง่าย

ช่วงเวลาบ่าย เฉินตันจูมักจะวุ่นวายอยู่กับการนำผักที่เหลือตากแห้งไว้ตรงบริเวณโถงทางเดิน เพื่อให้ง่ายต่อการดองรวมกับหน่อไม้ เวลาพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ภิกษุณีจิ้งซินเดินมาจากด้านหน้าอารามอย่างรีบร้อน

“แม่นางตันจู” สีหน้าของนางเผยให้เห็นถึงความร้อนใจ “ด้านล่างเขามีเด็กคนหนึ่งอาเจียนเป็นฟองขาว สลบไสลไม่รู้สึกตัว คนที่บ้านเกรงว่าจะส่งเข้าเมืองไม่ทัน อยากขอให้แม่นางตันจูช่วยดูเสียเล็กน้อย”

เฉินตันจูรับปาก นางเช็ดมือของตนเอง จากนั้นหิ้วตะกร้าที่วางอยู่บนโถงทางเดินขึ้นมา ด้านในเต็มไปด้วยเข็มเงินและสิ่งอื่นครบครัน นางครุ่นคิดก่อนจะให้ภิกษุณีจิ้งซินรอคอยสักประเดี๋ยว ก่อนจะหิ้วตะกร้าเดินไปยังแปลงผักของตนเองด้านหลังอาราม เก็บยาสมุนไพรที่ตนเองปลูกไว้มาเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินตามภิกษุณีจิ้งซินลงเขาไป

ภูเขาดอกท้อไม่สูงนัก อีกทั้งพวกนางเดินทางบนเขาเป็นประจำจึงทำให้เดินอย่างรวดเร็ว จากอารามบนยอดเขามาถึงหมู่บ้านด้านล่างเขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ[1]

เด็กชายที่สลบมีอายุราวหกเจ็ดปี เขาถูกหามมาไว้บริเวณปากทางหน้าหมู่บ้าน มารดาของเด็กชายกำลังร้องไห้ ส่วนบิดากำลังมองไปยังบนภูเขาอย่างร้อนใจ เมื่อเขาเห็นร่างของหญิงสาวทั้งสองจึงรีบพูดขึ้น “มาแล้ว” เหล่าชาวบ้านรีบกล่าวทักทาย “ภิกษุณีจิ้งซิน แม่นางตันจู” ก่อนที่จะหลีกทางให้คนทั้งสอง

“ไม่รู้ด้วยเหตุใด” บิดาของเด็กชายพูดด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ตอนกลับมาจากข้างนอกยังดีอยู่แท้ๆ แต่พอนั่งลงยกชามข้าวขึ้นเท่านั้นก็ชักแล้วสลบไป”

เฉินตันจูวางตะกร้าลงพลันพูดขึ้น “ข้าขอดูหน่อย” นางโค้งตัวลงตรวจดูตาจมูกปากของเด็กตรงหน้า ก่อนจะเลิกเสื้อผ้าบนแขนขาขึ้น “หากไม่ได้ถูกงูหรือแมลงกัด ก็คงกินพืชป่าที่มีพิษเข้าไป”

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ มารดาของเด็กชายที่กำลังร้องไห้พูดขึ้นอย่างฉงน “ยังไม่ทันได้กินข้าวเลย หลายวันนี้ข้าก็ไม่ได้เก็บพืชป่า”

เฉินตันจูพูด “เขาคงไปเด็ดกินเล่นที่ข้างนอกเอง ข้าถอนพิษให้เขาก่อน เมื่อเขาตื่นพวกเจ้าลองถามดู”

บิดาและมารดาของเด็กชายไม่มีข้อสงสัยอีก พวกเขาหลีกทางอย่างเงียบๆ มองดูหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าตรงหน้าใช้เข็มเงินฝังเข้าไปบนศีรษะและบนมือของเด็กชาย จากนั้นหยิบต้นหญ้าสีเขียวกำหนึ่งออกมาจากตะกร้า นำไปบดละเอียดในถ้วยยาเล็ก เปิดปากของเด็กชายออกแล้วกรอกเข้าไป เพิ่งจะกรอกยาเข้าปากเด็กชายก็อาเจียนออกมา จากที่สลบไสลไม่รู้สึกตัวก็เริ่มส่งเสียงร้องไห้ออกมา

บิดามารดาของเด็กชายถามขึ้นอย่างกังวล “แม่นางตันจู?”

เฉินตันจูประคองเด็กชายอยู่ในท่ากึ่งหมอบ ปล่อยให้เขาร้องไห้และอาเจียนต่อ หลังจากนั้นสักพักนางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดทำความสะอาดให้เด็กชายอย่างเรียบง่าย ก่อนจะลุกขึ้นยืน “เสร็จแล้ว คนฟื้นแล้ว ส่งไปให้ไต้ฟู[2]ในเมืองดูเถิด”

คนในหมู่บ้านต่างโล่งใจ บิดามารดาของเด็กชายยิ่งดีใจอย่างมาก พวกเขารีบกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหามเด็กชายที่หมอบอยู่บนแผ่นไม้ที่ถึงแม้จะยังคงสลบอยู่แต่สามารถส่งเสียงร้องไห้โอดครวญออกมาไว้บนรถวัว ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองอย่างเร่งรีบ

เหล่าชาวบ้านที่เหลือต่างกล่าวขอบคุณ “แม่นางตันจูเหนื่อยแล้ว”

“ขอบคุณแม่นางตันจู”

เฉินตันจูตอบรับด้วยรอยยิ้ม “อย่าให้เด็กๆ กินสิ่งของที่อยู่บนเขาเรื่อยเปื่อย ยิ่งสิ่งที่สวยงามยิ่งกินไม่ได้”

เหล่าชาวบ้านกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เฉินตันจูและภิกษุณีจิ้งซินต่างขอตัวเดินขึ้นบนเขาไป ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิท ผ่านไปสักพักก็มองไม่เห็นร่างคนแล้ว

คู่สามีภรรยาพาบุตรของตนมาถึงตัวเมือง ความมืดปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ชีวิตยามค่ำคืนในเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองเพิ่งเริ่มต้นขึ้น แต่ละที่เต็มไปด้วยฝูงชนที่เดินไปมา แม่น้ำฉินไหวเต็มไปด้วยลำเรือ แสงไฟสว่างดุจทะเลดาว

คู่สามีภรรยาเดินทางมาถึงสำนักแพทย์ทางตะวันออกของเมืองแห่งหนึ่ง ไต้ฟูที่อยู่ประจำสำนักแพทย์ในเวลานั้นตรวจร่างกายให้เด็กชาย ก่อนจะร้องอุทานออกมา “ดันกินหญ้าไส้ขาดเข้าไป เจ้าเด็กนี้ช่างใจกล้า”

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหญ้าไส้ขาดคืออะไร แต่แค่ชื่อก็น่ากลัวอย่างยิ่ง คู่สามีภรรยาตัวสั่นเทาน้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า

“อย่ากลัวๆ” ไต้ฟูพลางปลอบประโลมพลางตรวจดู ก่อนจะส่งเสียงออกมาด้วยความสงสัย “ใช้เข็มยับยั้งการแพร่กระจายของพิษ จากนั้นเร่งการอาเจียนออกมากว่าครึ่ง พวกเจ้าหาคนมาดูให้ก่อนแล้ว?”

ผู้เป็นภรรยาพูดทั้งน้ำตา “พวกข้ามาจากหมู่บ้านดอกท้อ อยู่ใกล้กับภูเขาดอกท้อ จึงขอให้แม่นางตันจูช่วยดูให้ก่อน”

ไต้ฟูตอบรับ “เช่นนั้นก็ดี ดีมาก” พูดจบจึงทำการตรวจชีพจรของเด็กชาย จากนั้นให้คนไปหยิบยา ก่อนจะรักษาตามขั้นตอน ไม่ได้ถามอะไรมากความ

เขาเชื่อมั่นในตัวของแม่นางตันจูหรือว่าไม่แยแส? ผู้คนที่รอตรวจอยู่ด้านข้างเงี่ยหูขึ้นฟัง ฉงนเป็นอย่างมาก จึงถามขึ้นด้วยตนเอง “แม่นางตันจูคือผู้ใด เป็นหมอที่มีชื่อเสียงหรือ”

ไต้ฟูแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน คู่สามีภรรยานั้นตอบกลับอย่างคลุมเครือ “เป็นแม่นางคนหนึ่งแถวหมู่บ้านของพวกข้า”

สาวชาวบ้านหรือ เหตุใดจึงต้องให้นางดู หรือนางเป็นหมอผี ศักดิ์สิทธิ์มากหรือ คนด้านข้างยิ่งเกิดความอยากรู้ แต่เมื่อเขาถามต่อกลับไม่มีคนสนใจ อะไรกันลึกลับเสียจริง

ไต้ฟูใช้เข็มและยาในการรักษาเด็กคนนั้น ไม่นานนักเด็กคนนั้นก็ฟื้นขึ้นมา ก่อนจะบอกเล่าถึงเหตุการณ์อย่างตะกุกตะกัก เมื่อตอนบ่ายตนเองเล่นอยู่บนภูเขา ก่อนจะเด็ดหญ้าต้นหนึ่งมาเคี้ยวเล่น แต่เนื่องจากน้ำลายที่คายออกมาเป็นแดง เขาจึงไม่กล้ากินอีก

ไต้ฟูพูดกลั้วหัวเราะ “โชคดีที่ดวงแข็ง เสร็จแล้ว กลับไปเถิด”

คู่สามีภรรยาจ่ายค่ารักษาด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะหยิบยาแล้วพาบุตรของตนจากไป

คนที่รอตรวจนั่งอยู่ตรงหน้าของไต้ฟู เขายังไม่ล้มเลิกที่จะถาม “โชคดีที่ดวงแข็งหมายถึงเด็กคนนี้ถูกแม่นางตันจูช่วยถอนพิษให้ก่อนแล้วหรือ”

ไต้ฟูหัวเราะพร้อมตอบรับ

“แม่นางตันจูคือผู้ใดกัน ดูเหมือนไต้ฟูท่านก็รู้ ท่านเคยเจอผู้ที่นางรักษามาไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้งแล้วใช่หรือไม่” ผู้ที่รอรับการรักษาถามออกมาอย่างต่อเนื่อง “ฝีมือการรักษาล้ำเลิศมากหรือ เหตุใดไม่เคยได้ยินคนในเมืองพูดถึง”

อย่าว่าแต่มีฝีมือในการรักษา ถึงแม้จะเป็นหมอผี แต่หากเก่งกาจจริง ชื่อเสียงเรียงนามคงสามารถโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองหลวงในทันที

ไต้ฟูส่ายหัว “ไอ้หยา เจ้าอย่าถามเลย มีชื่อเสียงไม่ได้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักลง “นางเป็นบุตรสาวของขุนนางชั้นสูงของท่านอ๋องอู๋ในอดีต”

คนที่ถามเข้าใจในฉับพลัน สิบปีก่อนท่านอ๋องฉี ท่านอ๋องอู๋ และท่านอ๋องโจวก่อการกบฏที่ถูกขนานนามว่าสงครามสามอ๋อง ท่านอ๋องโจวและท่านอ๋องอู๋ถูกประหารไปตามกัน หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็ย้ายเมืองหลวง เมืองหลวงในเวลานี้คือเมืองหลวงของท่านอ๋องอู๋ในอดีต

จักรพรรดิต้าเซี่ยอพยพเมืองหลวง เหล่าขุนนางชั้นสูงย่อมต้องอพยพตามมา ส่วนขุนนางชั้นสูงของท่านอ๋องอู๋ล้วนแบกรับข้อครหาว่าเป็นผู้ก่อกบฏ ฐานะยังไม่อาจเทียบกับราษฎรธรรมดาได้ มีชีวิตอยู่รอดก็ดีแล้ว ไหนเลยกล้าที่จะแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภอีก

เพื่อกวาดล้างอำนาจหลงเหลือของท่านอ๋องอู๋ ในสิบปีมานี้ ตระกูลใหญ่ภายในอาณาเขตท่านอ๋องอู๋ถูกกำจัดไปไม่น้อย

“แม่นางตันจูเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านยิ่งนัก” ผู้ถามพูดขึ้น

ครอบครัวที่แม่นางตันจูช่วยเหลือคงไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสองครอบครัว สาเหตุที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังเป็นเพราะทุกคนปิดปากเงียบ ไม่สร้างปัญหาให้นาง

ไต้ฟูครุ่นคิด ก่อนจะพูดเสริมขึ้น “อันที่จริงแม่นางตันจูผู้นี้ไม่ต้องเกรงกลัวอันใด เพราะฮ่องเต้พระราชทานอภัยโทษให้”

ผู้ถามตกตะลึง “เหตุใด นางเป็นผู้ใดกัน”

ไต้ฟูยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มแห่งการเสียดสี “พี่เขยของนางคือท่านแม่ทัพเวยอู่ หลี่เหลียง”

สีหน้าของคนถามก็แปรเปลี่ยนไปในทันที เขาลากเสียงยาว “ที่แท้ก็ท่านแม่ทัพ…เวยอู่นี่เอง”

แม่ทัพเวยอู่ หลี่เหลียง ชื่อนี้อย่าว่าแต่คนในเมืองหลวง คนทั่วผืนแผ่นดินนี้ล้วนรู้จัก

เขาเป็นผู้ตัดพระเศียรของท่านอ๋องอู๋ด้วยมือของตนเอง พร้อมทั้งชูต้อนรับฮ่องเต้ สร้างคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่

หลี่เหลียงได้รับความเชื่อใจจากจักรพรรดิองค์ใหม่ แต่กลับไม่ได้มีชื่อเสียงที่ดี เนื่องจากตอนที่เขาตัดตัดพระเศียรของท่านอ๋องอู๋นั้น เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของท่านอ๋องอู๋ พ่อตาของเขาคือเฉินเลี่ยหู่ ผู้เป็นท่านมหาราชครูของท่านอ๋องอู๋

ถึงแม้หลี่เหลียงจะบอกว่าตนเองปฏิบัติตามพระราชโองการ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ลับหลังเขาจะถูกเยาะเย้ยว่าทรยศนายเพื่อความเจริญก้าวหน้าของตนเอง…เพราะอย่างไรก็ตามขุนนางของท่านโหวท่านอ๋องล้วนมาจากการคัดเลือกของท่านโหวท่านอ๋องเอง พวกเขาเป็นขุนนางของท่านอ๋องอู๋ก่อนที่จะเป็นขุนนางของฮ่องเต้

หลี่เหลียงนอกจากสังหารท่านอ๋องอู่แล้ว ยังใส่ร้ายและกำจัดตระกูลใหญ่ในเมืองอู๋ เขาเป็นดั่งสุนัขร้าย คนในเมืองอู๋เกลียดเขา คนอื่นในราชวงศ์ต้าเซี่ยก็ไม่เคารพเขา

คนถามไม่อยากจะพูดเรื่องเขามาก แต่กลับพูดถึงอีกชื่อหนึ่งที่คุ้นเคย “แม่นางตันจูผู้นี้เป็นบุตรสาวของท่านมหาราชครูเฉิน? ตระกูลของท่านมหาราชครูเฉินล้วนถูกท่านอ๋องอู๋ประหารไปแล้วไม่ใช่หรือ”

เรื่องในตอนนั้นไม่ใช่ความลับอันใด คนที่มารักษาในยามค่ำคืนก็มีไม่มาก โรคของคนตรงหน้าก็ไม่ร้ายแรง ไต้ฟูจึงเกิดอารมณ์พูดคุยขึ้นมา “ตอนนั้นบุตรสาวคนโตของท่านมหาราชครูเฉิน หรือก็คือภรรยาของหลี่เหลียงขโมยตราอาญาสิทธิ์ของท่านมหาราชครูเฉินให้สามี ทำให้หลี่เหลียงนำกองทัพก่อกบฏ ท่านมหาราชครูเฉินถูกท่านอ๋องอู๋ประหาร ภรรยาของหลี่เหลียงถูกแขวนประจานอยู่ที่หน้าประตูเมือง ตระกูลเฉินถูกกักขังไว้ในจวนโดยไม่แยกชายหญิงหรือเด็กชรา ก่อนที่จะถูกมีดดาบฟาดฟันและถูกไฟเผา คนทั้งตระกูลถูกฆ่าตาย บุตรสาวคนเล็กของท่านมหาราชครูเฉินเนื่องจากพักรักษาตัวอยู่ที่ภูเขาดอกท้อ จึงรอดจากภัยในครั้งนี้ไปได้ ต่อมาเมืองแตกท่านอ๋องอู๋สวรรคต นางถูกทหารราชวงศ์ต้าเซี่ยจับกุมได้ก่อนจะพามาหาหลี่เหลียง ตอนนั้น

หลี่เหลียงกำลังเข้าพระราชวังพร้อมฮ่องเต้ เมื่อเห็นเด็กหญิงอ่อนแอที่ตกใจจนนิ่งอึ้งไป ฮ่องเต้เพียงแค่พูดว่าน่าสงสาร หลี่เหลียงจึงปล่อยให้นางอยู่ในอารามบนภูเขาดอกท้อ มีชีวิตอยู่จนถึงเวลานี้”

เมื่อพูดถึงตอนนั้น คนถามเผยสีหน้าเศร้าโศก เมื่อนับดูแล้ว “ผ่านไปเป็นเวลาสิบปีแล้ว ช่างเร็วเสียจริง ข้ายังจำความอนาถในตอนนั้นได้ ด้านหนึ่งเกิดสงครามวุ่นวาย อีกด้านเกิดมหันตภัยน้ำท่วม คนตายนอนเกลื่อนไปทุกพื้นที่ เหตุการณ์ในตอนนั้น ถึงฮ่องเต้จะไม่รุกรานเข้ามา เมืองอู๋ก็ต้องล่มสลายอยู่ดี”

ถึงแม้จะผ่านไปเป็นเวลาสิบปี แต่อำนาจที่หลงเหลือของท่านอ๋องอู๋ยังคงก่อเกิดความวุ่นวายเป็นครั้งครา การพูดถึงเรื่องในอดีตเหล่านี้อันตรายยิ่งนัก ไต้ฟูกระแอมไอหนึ่งที “ดังนั้นฟ้าต้องการให้ท่านอ๋องอู๋ตาย อย่าพูดเรื่องเหล่านี้เลย โรคของเจ้าไม่มีอะไรมาก เอายาไปกินก็เพียงพอ”

คนถามยังอยากจะพูดบางอย่างต่อ แต่ด้านหลังมีคนเดินเข้ามาพร้อมกลิ่นเลือด “เจ้าตรวจเสร็จแล้วหรือไม่ เสร็จแล้วรีบหลบ มือข้าถูกมีดบาด”

คนถามตกใจ เขาหันไปพบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ มือขวาของอีกฝ่ายพันผ้าเอาไว้ เลือดไหลซึมออกมา ก่อนจะหยดลงบนพื้น

ไต้ฟูเคยชินกับภาพตรงหน้าจึงไม่ได้ตื่นตระหนก เขาถามขึ้น “บาดเจ็บได้อย่างไร” คนในสำนักแพทย์จ้องมองเขาอย่างหวาดระแวง เมืองหลวงห้ามพกพาอาวุธ

ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด สีหน้าเหลืองเล็กน้อย เขาพูดด้วยสำเนียงเมืองอู๋ “ข้าเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในหอจุ้ยเฟิง ไม่ทันระวังถูกมีดบาดเข้า”

ไต้ฟูแกะผ้าพันออก บาดแผลถึงจะดูน่ากลัวแต่ก็ยังดี เขาให้คนช่วยทำแผลให้ใหม่ พร้อมทั้งจ่ายยาทาก็เสร็จสิ้น

ชายหนุ่มจ่ายเงินแล้วเดินออกไป เขายืนอยู่บนถนนที่คึกคัก มองไปยังทิศทางของภูเขาดอกท้อที่อยู่นอกเมือง แสงไฟจากสองข้างทางส่องกระทบเข้าที่ใบหน้าของเขา

เฉินตันจูตื่นขึ้นในยามเช้าตรู่ทุกวัน นางมักจะเดินขึ้นลงตามทางภูเขาสองรอบ พร้อมทั้งหิ้วน้ำกลับมา

วันนี้นางมาถึงริมน้ำ พบว่ามีคนมาถึงก่อนแล้ว

ชายหนุ่มหันหลังให้นาง ใช้มือข้างหนึ่งรองน้ำสาดเข้าหน้า มืออีกข้างวางไว้ข้างลำตัว พันด้วยผ้าพันแผล

เขาพูดขึ้น “เหตุใดน้ำนี้จึงเย็นเพียงนี้”

เฉินตันจูพูด “น้ำของภูเขาดอกท้อเย็นตลอดปี พี่จิ้งไม่กลับมานับสิบปีลืมสิ้นแล้วหรือ”

ชายหนุ่มหันหลังกลับมา ล้างแป้งเหลืองบนใบหน้าออกเผยให้เห็นผิวขาวนวล ใบหน้านั้นรูปงาม ดวงตาฉายแววตกตะลึงเล็กน้อย “อาจู เจ้าจำข้าได้?”

เฉินตันจูเดินเข้าไป วางเหยือกน้ำสองเหยือกลง มองดูน้ำใสสะอาดที่หลั่งไหล “ท่านเป็นสหายคนสนิทของพี่ชายข้า เข้านอกออกในพร้อมกัน อีกทั้งยังพาข้าไปด้วยเป็นประจำ แผ่นหลังและเสียงของท่านข้าจะจำไม่ได้ได้อย่างไร เหตุใดท่านจึงกลับมา รายชื่อของไต้ฟูอู๋และตระกูลหยางถูกเพิกถอนการตามหาไปแล้ว เหตุใดท่านจึงออกมาอีก”

หยางจิ้งยิ้ม “ตระกูลข้าตายหมดไป ข้าเกรงว่าจะถูกคนลืม ดังนั้นจึงออกมา”

เฉินตันจูหยิบเหยือกน้ำขึ้นมา “พี่จิ้งกลับมาแก้แค้นหรือ”

หยางจิ้งมองนาง บนใบหน้าของหญิงสาววัยยี่สิบห้าไร้ซึ่งความไร้เดียงสา ผ้าโพกศีรษะบางไม่อาจปิดบังใบหน้างดงามของนางไว้ได้

เขาถอนหายใจออกมา “อาจู เจ้าไม่กลัวข้าหรือ”

เฉินตันจูพูด “กลัวท่านฆ่าข้าหรือ” นางหันหลังเยื้องย่างเข้าไป “สิบปีมานี้ มีคนมาฆ่าข้า มีคนมาบอกให้ข้าไปฆ่าคน ข้าเจอมามากเกินพอแล้ว เคยชินแล้ว ไม่มีอะไรน่ากลัว”

เสียงของหญิงสาวราบเรียบ แต่ฟังแล้วรู้สึกโศกเศร้า

“อาจู” หยางจิ้งถาม “เจ้าเกลียดท่านอ๋องอู๋หรือไม่”

เกลียดท่านอ๋องอู๋หรือ ถึงแม้จะผ่านไปสิบปีแล้ว แต่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัว เฉินตันจูไม่อาจลืมได้ ดวงตาของนางจ้องมองไปยังหยางจิ้ง กัดฟันพูดขึ้น “ท่านอ๋องอู๋เชื่อคำใส่ร้าย ประหารตระกูลข้า ถึงแม้จะบอกว่าจักรพรรดิต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่ตายไม่ได้ แต่ข้าจะไม่เกลียดได้อย่างไร ตระกูลเฉินติดตามท่านอ๋องอู่ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเกาจู่แบ่งพื้นที่ศักดินา มีเพียงความจงรักภักดี ท่านพ่อของข้าเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างกล้าหาญตอนสงครามห้าเมือง ปกป้องไม่ให้เมืองอู๋ถูกรุนรานแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ขาของท่านพ่อข้างหนึ่งจึงได้รับบาดเจ็บ เหตุใดท่านอ๋องอู๋จึงฟังเพียงคำใส่ร้าย ประหารตระกูลข้าหนึ่งร้อยสามสิบคนโดยไร้หลักฐาน! ท่านอ๋องอู๋…”

“อาจู” หยางจิ้งเดินขึ้นหน้าพูดขัดนาง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความเจ็บปวด “มันเป็นความผิดของท่านอ๋องอู๋ แต่ท่านก็ถูกหลอก ไม่ได้ไร้หลักฐาน มันมีหลักฐาน หลี่เหลียงถือตราอาญาสิทธิ์อยู่!”

เฉินตันจูหัวเราะเสียงเย็น “เช่นนั้นหรือ ก่อนหน้านี้ที่จางเจี้ยนจวิน[3] ใส่ร้ายพี่ชายข้าจนตาย เหตุใดเขาจึงไม่คิดว่าจางเจี้ยนจวินจะก่อกบฏกัน”

หยางจิ้งหัวเราะ ภายใต้เสียงหัวเราะมีน้ำตาคลอ “อาจูเอ๋ย อาจู พวกเจ้าล้วนถูกหลี่เหลียงหลอก เขาไม่ได้โกรธแค้นแทนพวกเจ้าแต่อย่างใด เขายอมจำนนต่อฮ่องเต้นานแล้ว เขาหลอกพี่สาวของเจ้าให้ขโมยตราอาญาสิทธิ์ เป้าหมายก็เพื่อรุกรานเมืองหลวง”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเฉินตันจูเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของเขา นางถาม “ท่านเป็นคนของท่านอ๋องอู๋ไท่ หรือว่าคนของท่านอ๋องลั่ว”

หลังจากท่านอ๋องอู๋ถูกสังหารแล้ว ย่อมมีขุนนางและทหารในอาณาเขตของเขาที่ไม่พอใจ คิดว่าฮ่องเต้ไร้คุณธรรม ขัดต่อคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ไม่สมควรต่อการเป็นจักรพรรดิ ดังนั้นจึงมีผู้ที่สนับสนุนท่านอ๋องอู๋ทั้งสองรวบรวมกำลังพลเพื่อวางแผนต่อต้าน เพียงแต่ท่านอ๋องอู๋ไท่ถูกกองทัพใหญ่ต้าเซี่ยกำจัดเมื่อห้าปีก่อน ส่วนคนใหม่นี้…

“ท่านแม่ทัพใหญ่ที่สนับสนุนท่านอ๋องลั่วคงฆ่าท่านอ๋องลั่วและสถานปนาตนเองเป็นท่านอ๋องแล้วใช่หรือไม่” เฉินตันจูพูด “เช่นนั้นก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องอู๋และเมืองอู๋แล้ว”

สิบปีผ่านไป ท่านอ๋องอู๋หายไปจากใจของราษฎรนานแล้ว ผู้ติดตามของท่านอ๋องอู่นั้นต่างคนก็ต่างมีเป้าหมายของตนเอง

หยางจิ้งมองเฉินตันจูด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าอยู่ในภูเขานี้ แต่รู้เรื่องภายนอกอย่างกระจ่าง หลี่เหลียงเป็นคนบอกเจ้าหรือ”

เฉินตันจูไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแต่สาวเท้าเดินไปข้างหน้า ร่างผอมบางเดินหิ้วเหยือกน้ำจากไปดั่งสายลมพัดผ่านต้นหลิว

“อาจู” หยางจิ้งพูดขึ้นอย่างช้าๆ “พี่ตันหยางไม่ได้ตายในมือบิดาของจางเหม่ยเหริน หากแต่ถูก

หลี่เหลียงวางแผนลอบฆ่า เพื่อแสดงความจงรักภักดี!”

ร่างของเฉินตันจูชะงักลงในฉับพลัน นางหันหลังกลับมา ผ้าโพกหัวร่วงหล่น เผยให้เห็นสีหน้าตกตะลึง

ตอนนั้นสาเหตุที่หลี่เหลียงให้พี่สาวเฉินตันเหยียนขโมยตราอาญาสิทธิ์ของท่านมหาราชครู เพราะจางเจี้ยนจวิน ผู้เป็นบิดาของจางเหม่ยเหรินสนมของท่านอ๋องอู๋ต้องการแย่งชิงอำนาจ วางแผนให้เฉินตันหยางตกอยู่ในวงล้มของทหารต้าเซี่ย อีกทั้งช่วยเหลือล่าช้า ส่งผลให้เฉินตันหยางหมดกำลังตายในสนามรบ แต่ท่านอ๋องอู๋ปกป้องบิดาของจางเหม่ยเหริน ท่านมหาราชครูเฉินจึงทำได้เพียงยอมจำนนเพราะความจงรักภักดี

หลี่เหลียงกลืนความโกรธนี้ไม่ลง คิดจะแก้แค้นแทนเฉินตันหยาง เขาพูดโน้มน้าวเฉินตันเหยียนให้ขโมยตราอาญาสิทธิ์ เตรียมตัวลอบกลับเข้าเมืองหลวงเผชิญหน้ากับจางเจี้ยนจวิน

สุดท้าย ข่าวคราวรั่วไหล ท่านอ๋องอู๋ออกพระราชโองการประหารท่านมหาราชครู พร้อมด้วยตระกูลเฉิน อีกทั้งแขวนภรรยาหลี่เหลียงไว้บนประตูเมืองจนตาย หลี่เหลี่ยงโกรธแค้นอย่างมากจึงก่อการกบฏต่อท่านอ๋องอู๋…

สำหรับเฉินตันจูแล้ว หลี่เหลียงก่อกบฏเพราะตระกูลของตนเอง เขาเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเฉิน เป็นครอบครัวของตน

แต่ตอนนี้หยางจิ้งบอกว่าทุกสิ่งผิดตั้งแต่ต้น?

“ท่านพูดเหลวไหล!” เสียงของนางสั่นเทา

สีหน้าของหยางจิ้งเศร้าโศก “อาจู ข้าไม่ได้โกหกเจ้า ข้าเดินทางไปเมืองฉี ได้ยินข่าวลับมา หลี่เหลียงยอมจำนนต่อฮ่องเต้นานแล้ว เขาฆ่าตันหยาง ก่อนจะหลอกล่อให้พี่ตันเหยียนขโมยตราอาญาสิทธิ์ ตอนนั้นเขากลับมาเพื่อโจมตีเมืองหลวง ไม่ได้กลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับจางเจี้ยนจวินแต่อย่างใด พี่ตันเหยียนไม่ได้ถูกแขวนตาย แต่ถูกหลี่เหลียงยิงตายที่ประตูเมือง”

เฉินตันจูมองเขา ส่ายหัว “ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ”

“หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าเรียกหลี่เหลียงมาถามย่อมได้” หยางจิ้งพูดอย่างราบเรียบ “ให้เขาสาบานต่อหลุมศพของพี่ตันเหยียน เขากล้าพูดว่าไม่ละอายใจหรือไม่!”

เฉินตันจูกัดริมฝีปากล่างด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ท่านพี่ คนทั้งตระกูลตายอย่างอนาถและถูกฝังอย่างไม่ใส่ใจ โชคดีที่มีผู้จงรักภักดีขโมยร่างของท่านมหาราชครูเฉินและเฉินตันเหยียนออกมาให้นาง นางจึงฝังพี่สาวและท่านพ่อไว้บนภูเขาดอกท้อ ก่อเป็นหลุมขนาดเล็กสองแห่ง

“อาจู” เสียงของหยางจิ้งราบเรียบ “อีกห้าวันเป็นวันเกิดของท่านพี่แล้วใช่หรือไม่”

พี่สาวเฉินตันเหยียนกำเนิดในช่วงเวลาฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นและมีดอกไม้ผลิบาน ท่านพ่อท่านแม่หวังให้นางมีชีวิตที่สดใส สุดท้ายกลับต้องร่วงหล่นในวัยยี่สิบห้าปี พร้อมกับบุตรที่ยังไม่ได้ออกมาดูโลก

เฉินตันจูใช้สองมือปิดหน้าร้องไห้ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเงยหน้าขึ้น มองไปยังหยางจิ้ง “ข้าจะถามหลี่เหลียง หากทุกสิ่งเป็นเรื่องจริง ข้า…”

สายตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น

“ข้าจะเป็นคนฆ่าเขาเอง”

เมืองหลวงในยามค่ำคืนยังคงสืบทอดความวุ่นวานในตอนกลางวัน แต่บริเวณใกล้เคียงพระราชวังกลับเป็นอีกโลกหนึ่ง

บริเวณนี้มีการเฝ้ายามที่เข้มงวด เสียงทหารยามและเสียงฝีเท้าของม้าดังขึ้นอย่างไม่ขาดสายตลอดทั้งคืน

จวนแม่ทัพเวยอู่อยู่ในบริเวณจวนหรูเหล่านี้ เวลานี้ในห้องนอนที่เงียบสงบ ชายหนุ่มลุกขึ้นเสียงเบา หยิบเสื้อคลุมตัวนอกมาสวม ในขณะที่กำลังจะก้าวเท้าออกไป ภายในม่านด้านหลังมีเสียงของหญิงสาวลอยออกมา “เกิดอันใดขึ้นหรือ”

ชายหนุ่มรีบหันกลับไปพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่มีอันใด” หยุดชะงักสักพักก่อนจะพูดต่อ “ทางอารามดอกท้อส่งคนมา ข้าจะออกไปดู”

หญิงสาวในม่านไม่ได้ลุกขึ้น เพียงแค่พูดเสียงเบา “ระวังตัวด้วย”

ชายหนุ่มตอบรับ ก่อนจะหันไปจัดแจงม่าน บอกให้อีกฝ่ายนอนหลับก่อนจะเดินจากไป เมื่อเสียงฝีเท้าเดินจากไปไกล หญิงสาวในม่านเรียกสาวรับใช้เข้ามา สาวรับใช้ที่ประจำช่วงกลางคืนรีบเดินเข้ามาพร้อมชาถ้วยร้อน

ภายในม่านนางยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ภายใต้แสงสลัวที่สอดส่อง ผิวพรรณของนางละเอียดอ่อน เล็บมือสีแดงเข้ม อวบอิ่มน่าหลงใหล สาวรับใช้เปิดม่านขึ้นส่งถ้วยชาเข้าไป

เสียงของหญิงสาวดังขึ้น “ได้ยินว่านังเด็กนั่นยิ่งโตยิ่งคล้ายพี่สาว”

สาวรับใช้หัวเราะ “ฮูหยิน[4]พูดตลกแล้ว พี่สาวนางจะสวยอย่างไร ก็ถูกกูเหยีย [5] หลอกไปตายไม่ใช่หรือ ความสวยงามไร้ประโยชน์”

“ไม่ใช่ความสวยงามไร้ประโยชน์ หากแต่มันไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจ” เสียงของหญิงสาวเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะชะงักไป “ฟังที่เจ้าพูด หากเขาไม่ได้หลงใหลในความสวยงาม เช่นนั้นเขาจะชอบข้าที่อันใด”

สาวรับใช้หัวเราะ “แน่นอนว่าเพราะท่านแม่ทัพและฮูหยินเหมาะสมกันราวสวรรค์สรรสร้าง รักแต่แรกพบ”

หญิงสาวหัวเราะ ส่งถ้วยชาออกมา “เอาเถิด นอนเถิด เขาก็แค่ชอบนังเด็กนั่น แต่ก็เป็นเพียงของเล่นเท่านั้น”

สาวรับใช้ตอบรับ เมื่อได้ยินด้านในไร้ซึ่งเสียง นางจึงถอยออกไปอย่างช้า ๆ

ไฟในห้องตำราส่องสว่าง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังสือทอดเงาดำลงบนพื้น

บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่รออย่างเงียบๆ ราวหนึ่งเค่อ ก่อนที่จะมีเสียงทุ้มดังขึ้ “วันที่สิบเดือนสามหรือ วันเกิดอาเหยียน”

บ่าวรับใช้ก้มหน้าถาม “ท่านแม่ทัพ พบหรือไม่พบขอรับ”

ภายในห้องเงียบสงัดอีกครั้ง หลี่เหลียงเคาะผิวโต๊ะเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ไปบอกคุณหนู วันที่สิบเดือนสามข้าจะรอนางอยู่ที่วัดถิงอวิ๋น”

หลี่เหลียงตกลงพบนาง หากแต่ไม่มาอารามดอกท้อ เฉินตันจูไม่เข้าใจเล็กน้อย แต่หยางจิ้งกลับไม่แปลกใจ

“เขารู้ตัวว่าทำเรื่องชั่วไว้มากเกินไป เจ้าเห็นว่าเขากล้าเข้าใกล้เจ้าตัวคนเดียวหรือไม่” เขาหัวเราะเสียงเย็น

เฉินตันจูเงียบ หลี่เหลียงแทบจะไม่เคยย่างเท้าเข้ามาในอารามดอกท้อ สาเหตุเพราะเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วจะคิดถึงพี่สาว อีกทั้งหลุมศพของพี่สาวก็อยู่ที่นี่

นางได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกถึงความรักที่ลึกซึ้ง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเปลี่ยนไป

“ไม่เป็นอันใด” หยางจิ้งพูด “เพียงแค่รู้ว่าหลี่เหลียงจะปรากฏตัวที่ไหนล่วงหน้าก็เพียงพอต่อการเตรียมการของข้าแล้ว เมื่อถึงเวลาข้าจะแอบซุ่มอยู่บริเวณนั้นช่วยเจ้า”

เฉินตันจูพยักหน้า ก่อนจะคำนับอีกฝ่าย “ยังดีที่มีพี่จิ้ง”

หยางจิ้งเอื้อมมือประคองนางเอาไว้ แต่มือไม่ได้ปล่อยออก เขามองดูหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังสูญเสียวัยเยาว์ไป สีหน้าเศร้าโศกก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “อาจู หากไม่ได้เกิดเหตุการณ์นั้น ตอนนี้พวกเราคงได้แต่งงานกันแล้ว ก็ดี เมื่อตายไปด้วยกัน บนทางหวงเฉวียน[6]จะได้มีเพื่อน”

วันที่สิบเดือนสาม เฉินตันจูขึ้นเขาไปหิ้วน้ำเหมือนอย่างเคย รดน้ำจัดการสวนของตนเอง ในสวนมีทั้งผักและดอกไม้ แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือสมุนไร พืชเหล่านั้นเติบโตอย่างเขียวชอุ่ม อีกทั้งยังมีน้ำค้างยามเช้าเกาะอยู่ด้านบน

เฉินตันจูตัดดอกไม้บางส่วนวางไว้ในตะกร้า ก่อนจะไปอาบน้ำแต่งตัว เมื่อภิกษุณีจิ้งซินเห็นนางก็ต้องตกใจ

“อ้า ตันจู…” นางมองดูหญิงสาวงดงามสวมชุดกระโปรงรัดอกแขนกว้าง ทรงผมเหินโพยม นางเรียกคำว่าแม่นางเรียกไม่ออก นางจึงพึมพำเสียงต่ำ “คุณหนู”

เฉินตันจูถามด้วยรอยยิ้ม “ทรงผมของข้าแปลกหรือไม่ นี่เป็นทรงที่นิยมที่สุดตอนข้ายังเล็ก ตอนนี้คงจะเปลี่ยนไปแล้วใช่หรือไม่”

ภิกษุณีจิ้งซินส่ายหัว “ไม่ สวยงามมาก”

มองดูเฉินตันจูที่ไม่ได้โพกผ้าบางเหมือนวันปกติ เผยให้เห็นคิ้วบางและดวงตาสดใส อีกทั้งรอยยิ้มอ่อนหวาน ทำให้นางเหม่อลอยอย่างห้ามไม่ได้

เฉินตันจูงดงามมาก

เฉินตันจูเขินอายเล็กน้อย “สิบปีที่ไม่ได้ลงจากภูเขา อย่างไรก็ต้องแต่งตัวบ้าง จะได้ไม่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก”

ภิกษุณีจิ้งซินรีบพูดขึ้น “แม่นางตันจูงดงามอย่างเป็นที่สุด”

เฉินตันจูยิ้มถาม “รถมาแล้วหรือ”

ภิกษุณีจิ้งซินพยักหน้า “มาแล้วเจ้าค่ะ มาถึงตั้งนานแล้ว กำลังรอแม่นางอยู่ด้านล่าง”

เฉินตันจูหิ้วตะกร้าดอกไม้สาวเท้าเดินไป ภิกษุณีจิ้งซินเดินตามอยู่ด้านหลัง ทั้งสองคนมาถึงด้านล่างเขา รถม้าสีดำกำลังรอคอยอยู่ข้างทาง เมื่อเห็นเฉินตันจูเดินมา คนรถรีบทักทายพร้อมจัดเตรียมเก้าอี้บนรถ

เฉินตันจูส่งตะกร้าให้เขา ยกกระโปรงก้าวขึ้นรถไป ภิกษุณีจิ้งซินขานเรียกนางว่าคุณหนู

เฉินตันจูหันกลับไปยิ้มกับนาง “อาเถียน ข้าไปแล้วนะ”

อาเถียนเป็นชื่อทางโลกของภิกษุณีจิ้งซิน เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ น้ำตาของนางหลั่งไหลลงมา ก่อนจะก้มหัวคำนับ “คุณหนูรอง เดินทางปลอดภัย อาเถียนจะรีบตามไปเจ้าค่ะ”

วัดถิงอวิ๋นอยู่อีกด้านของเมืองหลวง แตกต่างจากอารามดอกท้อ มันมีประวัติศาสตร์มานับพันปี

หลังจากท่านอ๋องอู๋ถูกประหาร ฮ่องเต้เดินทางมายังเมืองอู๋ สำรวจพระราชวังเป็นอันดับแรก ก่อนจะเดินดูวัดถิงอวิ๋น ภิกษุในวัดบอกว่าให้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองหลวงของต้าเซี่ย สามารถรักษาต้าเซี่ยไว้ตราบนานเท่านาน ดังนั้นฮ่องเต้จึงอพยพเมืองหลวงมา

วัดถิงอวิ๋นจึงกลายเป็นวัดของราชวงศ์ เต็มไปด้วยธูปเทียนสักการะ

วัดถิงอวิ๋นในเวลานี้ไร้ผู้คน ถึงแม้จะเป็นวัดของราชวงศ์ แต่หากหลี่เหลียงเป็นคนพูด วัดถิงอวิ๋นก็สามารถปิดประตูไม่รับแขกเพื่อเขาได้ ไม่ใช่เพราะอำนาจของหลี่เหลียง แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์อันดีระหว่างหลี่เหลียงและเจ้าอาวาสจื้อฮุ่ยแห่งวัดถิงอวิ๋น

รถม้าหยุดลง คนรถส่งตะกร้าดอกไม้คืนแก่เฉินตันจู ก่อนจะชี้ไปยังประตูใหญ่ “คุณหนูเข้าไปเถิด ท่านแม่ทัพอยู่ด้านใน”

เฉินตันจูหิ้วตะกร้าดอกไม้เดินเข้าไป ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หน้าตำหนัก หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์จ้องมองนาง สายตาจับจ้องไปบนตะกร้าดอกไม่ในมือของนาง ด้านในเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสวยงาม เขาถอนหายใจ “เหมือนพี่สาวของเจ้า ชอบดอกไม้”

เฉินตันจูพูด “อย่างไรข้าก็ไม่อาจขี่ม้ายิงธนูแล้ว”

ท่านมหาราชครูเฉินเลี่ยหู่ได้ลูกสาวตอนอายุมากจึงเลี้ยงดูอย่างดี แต่คุณหนูรองเฉินชื่นชอบการขี่ม้ายิงธนูแต่เล็ก ฝึกฝนจนมีฝีมือที่ดี

หลี่เหลียงไม่ได้รับคำต่อ “ยังไม่ได้กินอันใดใช่หรือไม่ เข้ามาเถิด อาหารเจที่นี่รสชาติดี”

เฉินตันจูกำลังจะพูด หลี่เหลียงยกนิ้วขึ้นวางไว้บนริมฝีปากบอกนางให้เงียบ

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบกินเจ” เขากดเสียงต่ำ “ข้านำเป็ดพะโล้ หมูพะโล้และต้มแพะมาให้เจ้า อย่าให้พระท่านได้ยิน”

เฉินตันจูมองไปรอบด้าน “พระหรือ พวกเขาไม่ได้ยินหรอก” นางส่งตะกร้าดอกไม้ไปให้หลี่เหลียงถือ ก่อนจะเดินเข้าไปภายใน อีกฝ่ายเดินตามอยู่ด้านหลัง

ทั้งสองคนเดินเขามาด้านใน เฉินตันจูนั่งลงที่โต๊ะ อาหารที่จัดเตรียมไว้สวยงามประณีต

หลี่เหลียงยืนอยู่ด้านหลังของนาง มองดูนางถือตะเกียบกินอย่างช้าๆ เขาวางมือทาบลงบนไหล่ของนางอย่างแผ่วเบา

เฉินตันจูตัวแข็งทื่อ ไม่ขัยบ

หลี่เหลียงถาม “อาจู เจ้าเข้าหาข้าด้วยเหตุใด”

เฉินตันจูกำตะเกียบในมือเงยหน้ามองเขา “พี่ชายพี่สาวข้าล้วนถูกท่านฆ่า?”

หลี่เหลียงหัวเราะ มือใหญ่ลูบใบหน้าของนาง “เหตุใดผ่านไปสิบปีถึงคิดได้ อาจูช่างน่ารัก…” ไม่กี่นาทีก็มีลมพัดมา มือข้างหนึ่งของเขาจับคางของเฉินตันจูเอาไว้อีกครั้งพลางจับตะเกียบที่นางทิ่มแทงมา

ตะเกียบถูกเปลี่ยนเป็นมีดสั้นที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ

แต่ไม่ว่าหญิงสาวจะเคลื่อนไหวเร็วหรือคล่องแคล่วเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่เหลียงก็เป็นเพียงกระต่ายน้อยเท่านั้น เขาใช้เพียงมือเดียวก็ทำให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้แล้ว

“เจ้าเด็กตระกูลหยางบอกเจ้าเรื่องนี้ เจ้าก็มาหาที่ตายแล้ว?” เขาถามกลั้วหัวเราะ หักมือที่ถือมีดสั้นของนาง เฉินตันจูร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ข้อมือของนางถูกอีกฝ่ายหักทิ้งอย่างโหดเหี้ยม “เจ้าเชื่อคำพูดของหยางจิ้งถึงเพียงนี้? เจ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นคนของท่านอ๋องอู๋หรือ เจ้าคิดว่าเขายังรักเจ้าปกป้องเจ้าเพราะสงสารเจ้า? เจ้าอย่าลืมว่าตระกูลเฉินถูกท่านอ๋องอู๋ประหารทั้งตระกูล ในสายตาคนของท่านอ๋องอู๋ พวกเจ้าเป็นคนบาป! เหมือนกับข้า ล้วนเป็นคนบาปที่สมควรตาย!”

เฉินตันจูมองเขาอย่างโกรธแค้น ความเจ็บปวดที่ข้อมือทำให้น้ำตาของนางหลั่งไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ร่างกายของนางสั่นเทา นางเป็นดั่งดอกสาลี่ท่ามกลางสายฝนที่หลี่เหลียงพบเจอเมื่อหลายวันก่อน ทันใดนั้นภายในใจของเขาร้อนรุ่ม…

เฉินตันจูกรีดร้องออกมาเมื่อถูกเขากดไว้บนโต๊ะ

“เจ้าแต่งตัวเช่นนี้คิดจะมาล่อลวงข้าหรือ” มือของหลี่เหลียงลูบไล้จากใบหน้าของเฉินตันจูลงมายังลำคอ ก่อนจะกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายออกอย่างแรง เนินอกขาวราวหิมะปรากฏขึ้นต่อหน้า

เฉินตันจูกรีดร้องเงยหน้ากัดเข้าที่มือของเขา เลือดไหลซึมลงจากมือ

หลี่เหลียงไม่เพียงไม่สะบัดออก แต่ยังส่งมือยัดเข้าปากของนาง หัวเราะร่า “กัดสิ เจ้ากัดแรงๆ ”

มือใหญ่ปิดปากและจมูกของนางเอาไว้ เฉินตันจูแทบจะหายใจไม่ออก

“ถูกหยางจิ้งหลอกใช้อย่างง่ายดายเพียงนี้ สู้ให้ข้าดื่มด่ำดีกว่า”

“เจ้าคิดว่าหยางจิ้งจะลอบฆ่าข้าได้? เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงยอมออกมาเจอเจ้า เพราะข้าอยากดูว่าหยางจิ้งจะตายอย่างไร”

หลี่เหลียงหัวเราะเยาะ มือใหญ่สะบัดอย่างรุนแรง เฉินตันจูถูกตบจนเลือดกบปาก หัวพับล้มลงกับโต๊ะ

ฝ่ามือของหลี่เหลียงถูกกัดจนเป็นแผลเหวอะ เนื้อหนังพลิกออก เขาวางไว้ริมฝีปากเลียแผลอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะมองแพะที่รอเชือดจากมุมสูง

เวลานี้เฉินตันจูไม่ได้ร้องไห้อย่างเจ็บปวดและไม่ได้ตะโกนกร่นด่า เพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะออกมา พร้อมกับหันหน้ามาอย่างเชื่องช้า ดวงตาเหม่อลอย “ข้ารู้สิ เป็นเพราะข้ารู้ว่าหยางจิ้งจะลอบสังหารท่าน ท่านถึงให้โอกาสข้าพบท่าน”

เสียสติไปแล้วหรือ หลี่เหลียงมองนางด้วยคิ้วที่ขมวด ในขณะที่กำลังจะพูดอันใดบางอย่าง ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น มีคนเอ่ยเรียกท่านโหวเสียงเบา “คนของท่านอ๋องอู๋ถูกจับกุมแล้ว รถม้าขององค์ชายหกใกล้ถึงแล้วขอรับ”

หลี่เหลียงตอบรับคนด้านนอกว่ารู้แล้ว

หลีเหลียงมองไปยังเฉินตันจูที่อยู่บนโต๊ะ ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “อาจู มีข่าวดีที่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า ในที่สุดแม่ทัพหน้ากากเหล็กป่วยตายแล้ว ตำแหน่งทหารรักษาพระองค์ต้องตกเป็นของข้าอย่างแน่นอน”

หลีเหลียงถึงจะมีความชอบในการปราบปรามอ๋องอู๋ แต่ในสายตาของจักรพรรดิเซี่ย ทหารที่ได้รับความไว้วางใจคือท่านแม่ทัพอีกคน ท่านแม่ทัพนี้เสียโฉมเนื่องจากได้รับบาดเจ็บบนสนามรบ จึงใช้หน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้า ทุกคนล้วนขนานนามว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ชื่อจริงๆ ของเขาทุกคนคงจะลืมไปหมดแล้ว

แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นแม่ทัพที่ฮ่องเต้เชื่อใจที่สุด ตอนเกิดสงครามห้าเมือง เพื่อความปลอดภัยของฮ่องเต้ เขาอาศัยจังหวะสนับสนุนท่านโหว ท่านอ๋องปราบปรามเมืองเยียนและเมืองหลู นอกจากตัดกำลังของเหล่าท่านโหว ท่านอ๋องแล้ว ยังเพิ่มกำลังให้กับกองทัพเซี่ยอีกด้วย

หลังจากนั้นในระยะเวลายี่สิบปี เขาฝึกฝนทหารและเลี้ยงม้า ใช้พื้นที่สิบกว่าแคว้นในการเพาะเลี้ยงม้าทหารนับแสนตัว ทำให้ราชสำนักกลับมาเข้มแข็ง อีกทั้งยังทำให้ฮ่องเต้กล้าที่จะออกพระราชโองการใช้วิธีการแบ่งพื้นที่ศักดินาตามความชอบ นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เผชิญหน้ากับท่านอ๋องทั้งสามตอนที่พวกเขาบุกรุกพระราชวัง

ภายในสงครามสามอ๋องนี้ เขาเป็นผู้ปราบปรามท่านอ๋องโจวขับไล่ท่านอ๋องฉีให้ฮ่องเต้ อีกทั้งเมื่อหลายปีก่อนเขายังสร้างอาวุธเป็นเรือหลายพันลำสำหรับสงครามกลางน้ำ ปล่อยอาวุธพร้อมกันตั้งแต่ทะเลทางตะวันออกจนถึงซีซู่ ทำให้เมืองอู๋ไม่อาจรับมือได้

เมื่อเทียบกับเขา หลี่เหลียงเป็นแค่ขุนนางที่มีความชอบในการปราบปรามเมืองอู๋เท่านั้น

หากไม่ใช่หลี่เหลียงลงมือก่อน ผู้ที่รุกรานเมืองอู๋สำเร็จก็คงจะเป็นท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กอีกเหมือนเคย อาจด้วยเหตุนี้ แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ถูกกับหลี่เหลียงเสมอมา ได้ยินว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กเคยโจมตีหลี่เหลียงต่อหน้าสาธารณะ ถึงแม้จะถูกฮ่องเต้ต่อว่า แต่หลี่เหลียงก็ไม่ได้ได้เปรียบอันใด หลี่เหลียงจึงไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรงกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก

ตอนที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กอยู่ในเมืองหลวง หลี่เหลียงจะไม่เข้าราชสำนัก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะ

หลี่เหลียงคอยสาปแช่งให้แม่ทัพหน้ากากเหล็กตายไวๆ ตอนนี้เขาสมดังปรารถนาแล้ว

“ท่านรัชทายาทรับปากข้าแล้ว เพียงแค่ข้าฆ่าองค์ชายหกได้ หลังครองราชย์ท่านจะแต่ตั้งข้าให้เป็นทหารรักษาพระองค์ ต่อไปฐานะของข้าในต้าเซี่ยจะสูงกว่าท่านพ่อของเจ้าที่อยู่ภายใต้ท่านอ๋องอู๋เสียอีก”

เขากดไหล่เปลือยเปล่าทั้งสองข้างของเฉินตันจูเอาไว้ ทั้งตื่นเต้นทั้งร้อนลุ่ม

“ต่อจากนี้หากเจ้าติดตามข้า เจ้าจะยังเป็นคุณหนูรองเฉินที่สง่างามที่สุดในต้าเซี่ย”

เฉินตันจูเงยหน้าขึ้นกัดเข้าที่คางของเขาอย่างแรง หลี่เหลี่ยงตบนางออกไป คางที่มีหนวดเคราเป็นรอยแผล มีเลือดซึมออกมา

“นังคนไม่รู้ชั่วดี” หลี่เหลียงกร่นด่า “เจ้าและคนของท่านอ๋องอู๋ตายไปพร้อมกับองค์ชายหกเถิด…เดิมทีเจ้าก็เป็นคนของท่านอ๋องอู๋อยู่แล้ว”

เขาหิ้วปีกเฉินตันจูขึ้นมา ก่อนจะเดินออกไปข้างนอก

“คราก่อนข้าฆ่าท่านอ๋องอู๋ฆ่าพี่ชายพี่สาวเจ้า ครานี้เพื่อฆ่าองค์ชายหก ข้าจะฆ่าเจ้าอีกครั้ง”

เขาเปิดประตูออก ในขณะที่ก้าวเท้าออกไป ร่างของเขาล้มลงไปบนพื้นด้านหน้าพร้อมกับเฉินตันจู

“เกิด เกิดอันใดขึ้น” หลี่เหลียงจับคอของตนเอง สีหน้าทุกข์ทรมาน เสียงของเขาแหบพร่า มองไปยังเฉินตันจูที่อยู่ด้านข้างอย่างเหลือเชื่อ

เฉินตันจูนอนหัวเราะอยู่บนพื้น “พี่เขย ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนฆ่าพี่ชายข้า ข้ารู้ว่าหยางจิ้งหลอกใช้ข้า ข้ารู้ว่าท่านรู้ว่าหยางจิ้งจะหลอกใช้ข้าจึงวางใจต่อข้า ท่านคิดว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของท่าน มิเช่นนั้น ข้าก็ไม่อาจเข้าใกล้ท่านได้”

หลี่เหลียงเอื้อมมือมาบีบคอของนาง “เจ้าวางยาพิษข้า? เมื่อไหร่ เหตุใดเจ้า”

เขาเห็นมือของตนเองที่ถูกกัดจนเป็นแผลเหวอะออก เนื้อที่พลิกและเลือดที่ไหลเริ่มกลายเป็นสีดำ…

เขามองไปยังเฉินตันจู ริมฝีปากสีแดงของเฉินตันจูกลายเป็นสีดำไปแล้ว นางยิ้มให้เขา เผยให้เห็นฟันดำทั้งปาก

ฟันของนางล้วนมีพิษ

“นังชั่วช้า!” หลี่เหลียงตะโกน มือออกแรงบีบ

เฉินตันจูขาดอากาศหายใจ สติของนางค่อยๆ เลือนหายไป แต่สุดท้ายก็รู้สึกได้ว่ามือของหลี่เหลียงปล่อยออกแล้ว เขาไม่มีแรงที่จะบีบตนเองให้ตายแล้ว เฉินตันจูเผยรอยยิ้มออกมา แน่นอนว่านางเองก็กำลังจะตาย เพื่อหาวิธีฆ่าหลี่เหลียงให้ตายอย่างสมบูรณ์แบบ นางเตรียมการกว่าสิบปี

เสียงฝีเท้าโกลาหลดังขึ้น เสียงร้องโหวกเหวกพลันใกล้พลันไกล!

“ท่านแม่ทัพ!” “ท่านแม่ทัพเป็นอันใดไป” “รีบไปเชิญไต้ฟู!” “นี่ รถม้าขององค์ชายหกมาถึงแล้ว พวกเราจะลงมือหรือไม่” “รถม้าขององค์ชายหกเข้ามาแล้ว!”

ข้างหูของเฉินตันจูเต็มไปด้วยคำว่าองค์ชายหก นางรู้ว่าองค์ชายหกคือผู้ใด องค์ชายหกเป็นบุตรชายคนเล็กสุดของจักรพรรดิเซี่ย ร่างกายอ่อนแอเพราะโรครุมเร้ามากมาย พักรักษาตัวอยู่ในเมืองหลวงเก่าเสมอมา

ตอนนั้นฮ่องเต้เดินทางเข้าเมืองอู๋ ถูกหลี่เหลียงชักนำมาวัดถิงอวิ๋น ไม่รู้ว่าภิกษุชรานั้นพูดอันใด ฮ่องเต้ถึงตัดสินใจอพยพเมืองหลวงมาไว้ที่เมืองอู๋ เมื่อเมืองหลวงถูกอพยพมา เหล่าขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงต่างอพยพติดตามมาด้วย ราษฎรเมืองอู๋ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ขุนนางชั้นสูงในเมืองอู๋ยิ่งลำบาก มีเพียงหลี่เหลียงที่ใช้ข้ออ้างรักษาความสงบของเมืองหลวงในการข่มเหงราษฎรเมืองอู๋ ขู่เข็ญฆ่าล้างขุนนางชั้นสูง ทำให้หน้าที่การงานเจริญรุ่งเรือง

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่อพยพมา อย่างองค์ชายหกก็พักอาศัยอยู่ในเมืองตะวันออกเสมอมา บ้างบอกว่าร่างกายอ่อนแอไม่อาจห่างไกลจากบ้านเกิดได้ บ้างบอกว่ารักษาสุสานจักรพรรดิแทนองค์รัชทายาท…คนเป็นอพยพได้ง่าย แต่เหล่าราชวงศ์ที่ตายไปไม่อาจอพยพสุสานได้ ดังนั้นสุสานยังคงอยู่ในเมืองตะวันออก

ช่วงก่อนฮ่องเต้ประชวร เรียกองค์ชายหกเข้าเมืองหลวง ครานี้จึงเป็นคราแรกที่องค์ชายหกปรากฏต่อหน้าทุกคนเมื่อสิบปีมานี้…

หลี่เหลียงจึงคิดจะฆ่าเขา? จากนั้นใส่ร้ายให้หยางจิ้ง

ใช่แล้ว

ฮ่องเต้ประชวร องค์ชายหกเข้าเมืองกะทันหัน องค์รัชทายาทเป็นกังวลว่าองค์ชายหกจะแย่งชิงราชบัลลังก์ ดังนั้นจึงลงมือสังหารองค์ชายหก

หากเป็นเช่นนี้ องค์ชายหกก็กำลังจะตายแล้ว?

เฮ้อ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับนาง

เฉินตันจูหลับไปอย่างสบาย ตอนนี้แก้แค้นสำเร็จ นางสามารถไปพบท่านพ่อท่านพี่ได้แล้ว

————————————————————————————-

[1] หนึ่งเค่อ เป็นหน่วยนับเวลาในสมัยโบราณ โดยหนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที

[2] ไต้ฟู คือคำสรรพนามแทนแพทย์ผู้รักษาในสมัยโบราณ

[3] เจียนจวิน ตำแหน่งขุนนางใหญ่ฝ่ายทหาร

[4] ฮูหยิน สรรพนามเรียกแทนเจ้านายผู้หญิงในสมัยโบราณ

[5] กูเหยีย สรรพนามเรียกแทนลูกเขย

[6] ทางหวงเฉวียน เป็นเส้นทางก่อนเข้ายมโลกตามความเชื่อของคนจีน

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท