อาเถียนถาม “ฝันร้ายหรือเจ้าคะ”
หน้าของคุณหน้าซีดขนาดนี้
ฝันร้าย? ไม่ใช่ เฉินตันจูส่ายหัว ถึงแม้ในฝันจะไม่ได้คำตอบว่าฮ่องเต้สังหารโจวชิงหรือไม่ แต่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอันใดกับนาง นางฝันถึงคนคนนั้น!
เฉินตันจูยิ้มออกมา ยิ้มจนน้ำตาหลั่งไหล ดีใจอย่างมาก ตั้งแต่ได้ข่าวการตายของเขา นางไม่เคยฝันถึงเขาอีก ไม่คิดว่าหลังจากเกิดใหม่ เขาจะมาเข้าฝัน…
เป็นเพราะรู้ว่าพวกเขาสามารถพบกันได้อีกหรือ ต้องใช้แน่ พวกเขาพบกันได้อีกครั้ง
เฉินตันจูเอามือปิดหน้าก้มลงซบเข่า
“คุณหนู… เป็นอันใดไปเจ้าคะ” อาเถียนถามด้วยความกังวล “ฝันถึงอันใดเจ้าคะ”
ตกลงว่าดีใจหรือเสียใจ ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ
“ฝันถึง…คนเก่า” เฉินตันจูเงยหน้าขึ้น ยิ้มให้อาเถียน
อาเถียนครุ่นคิดในใจ คุณหนูมีคนเก่าอันใดหรือ หรือจะเป็นหยางจิ้งที่ถูกจับเข้าคุกหลวง
“เอาเถิด เอาเถิด ข้าจะกินข้าวแล้ว” เฉินตันจูลงมาจากเตียง ผมเผ้าแผ่สยายเดินเท้าเปล่าออกไปด้านนอก “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำ”
เรื่องสำคัญรอช้าไม่ได้ เวลานี้เรื่องที่คุณหนูทำล้วนเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับฮ่องเต้และท่านอ๋อง อาเถียนรีบเรียกคนเข้ามา สาวรับใช้สองคนเข้ามาอาบน้ำแต่งให้เฉินตันจู ส่วนสาวใช้อีกสองคนจัดเตรียมอาหาร
ลมแห่งฤดูร้อนพัดผ่านป่าไม้ นำมาซึ่งความสดชื่นเป็นระลอก อาเถียนถือไม้ปัดฝุ่นขับไล่แมลง มองดูเฉินตันจู
เฉินตันจูสวมชุดสีเหลือง กระโปรงยาวลากพื้นทิ้งตัวอยู่บนหินพลิ้วไหวไปตามลม สดใสโดดเด่นในป่าไม้สีเขียวเข้ม นางใช้มือยันคาง ตั้งใจมองไปยังเชิงเขาด้วยความจดจ่อ…
นั่งมองมาครึ่งเช้าแล้ว…เรื่องสำคัญล่ะ?
“คุณหนู” อาเถียนถาม “พวกเราจะออกไปหรือไม่”
เฉินตันจูส่ายหัว “ไม่ออก”
“เรื่องสำคัญที่คุณหนูบอก?” อาเถียนถาม
เฉินตันจูมองเชิงเขาด้วยรอยยิ้ม “กำลังทำอยู่”
ทำอันใด มองดูคนผ่านไปมาที่เชิงเขาหรือ อาเถียนฉงน
ใช่ มองดูคนผ่านไปมาบริเวณเชิงเขา จากนั้นพบกับเขาเหมือนชาติก่อน เฉินตันจูเพียงแค่นึกถึงว่าสามารถเห็นเขาเดินทางผ่านทางนี้อีกครั้ง นางก็ดีใจอย่างยิ่ง ทั้งอยากร้องไห้ทั้งอยากหัวเราะ
“คุณหนู ท่านกำลังดูอันใดเจ้าคะ” อาเถียนถาม ก่อนจะพูดเสียงเบามองซ้ายขวา “ท่านกระซิบบอกข้า”
จู๋หลินที่ยืนอยู่บนต้นไม้ที่ห่างออกไปไม่ไกลนักมองไปทางไกล ไม่ต้องพูดเสียงดัง เขาก็ไม่ต้องการแอบฟัง ท่านแม่ทัพเคยบอกไว้ คุณหนูตันจูต้องการทำอันใดก็ทำ ไม่เกี่ยวกับพวกเขา พวกเขาอยู่ตรงนี้ก็แค่ดูเอาไว้เท่านั้น
เฉินตันจูเห็นสีหน้าสงสัยของอาเถียน ทั้งอยากหัวเราะทั้งโศกเศร้า อาเถียน เขาเป็นคนที่เจ้าก็รู้จัก
“ข้ากำลังมองคนผู้หนึ่ง” นางพูดเสียงเบา “เขาจะเดินผ่านเชิงเขานี้”
อาเถียนนึกถึงอย่างเฉลียว “คนเก่าในฝันของคุณหนู?” มีคนผู้นี้จริงหรือ ผู้ใดกัน
เฉินตันจูยิ้ม “เจ้าไม่รู้จัก”
คนที่คุณหนูรู้จักแต่นางไม่รู้จัก? อาเถียนยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ ทิ้งไม้ปัดฝุ่นไว้ด้านข้าง เบียดอยู่ข้างตัวของเฉินตันจูถามขึ้น “ผู้ใดกัน ผู้ใดกัน”
เฉินตันจูไม่รู้ต้องพูดอย่างเขา เขาเป็นผู้ที่ไร้ชื่อไร้เสียง ชาติก่อนตายไปสามปีถึงมีคนรู้ เขาในเวลานี้ย่อมไม่มีผู้ใดรู้จัก เฮ้อ…เขาก็เป็นแค่นักปราชญ์ที่ยาจกหมดหนทางเท่านั้น
เขาไม่มีตระกูลที่ยิ่งใหญ่ เมืองเกิดอยู่ในสถานที่ห่างไกลที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก
นางไม่รู้จะแนะนำเขาอย่างไร เขา…ก็คือเขา
“เขาชื่อจางเหยา” เฉินตันจูพูดกับอาเถียน ชื่อนี้พูดออกมาจากปากยังรู้สึกไพเราะเหมือนเดิม
เฮ้อ ชื่อนี้ นางก็เคยเรียกแค่ไม่กี่ครั้ง…จากนั้นก็ไม่มีโอกาสได้เรียกอีก
อาเถียนมองน้ำตาในดวงตาของเฉินตันจู ไม่ต้องคุณหนูพูดให้มากความ จิตใจของคุณหนูล้วนเขียนอยู่บนใบหน้า…สิ่งที่หน้าแปลกคือ นางไม่รู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ผู้ใด คุณชายตระกูลไหน เมื่อใด ขัดต่อประเพณีและศีลธรรม อา…เห็นใบหน้ายิ้มของคุณหนูเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดนึกถึงเรื่องเหล่านั้น มีเพียงรู้สึกดีใจไปด้วย คิดถึงเรื่องเหลวไหลเหล่านั้น ใจจะเจ็บอย่างยิ่ง!
นางถาม “คุณหนูรู้จักได้อย่างไร”
เฉินตันจูมองดูเชิงเขา คางที่วางอยู่บนเงยขึ้นเล็กน้อย “รู้จักจากตรงนี้”
ที่นี่หรือ? อาเถียนยืนขึ้นมองลงไปด้านล่าง…
เฉินตันจูไม่ได้เรียกอาเถียนนั่งลง ไม่ได้บอกว่าเธอมองไม่เห็น เพราะไม่ได้อยู่ตรงนี้
นางยันคางมองเชิงเขา สายตาจับจ้องไปยังโรงน้ำชาริมทาง
โรงน้ำชาหันหน้าเขาถนนหลักสำหรับขึ้นเขา เจ้าของเป็นหญิงชรา เปิดมาเป็นเวลานานแล้ว เปิดมาก่อนนางเกิด หลังจากนางตายแล้วก็คงยังเปิดอยู่
เวลานี้เป็นฤดูร้อน เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับการเดินทาง ผู้คนที่มาพักผ่อนดื่มน้ำชาคลายร้อนในโรงน้ำชามีจำนวนมาก
เมื่ออู๋ล่มสลายปีที่สามนางถึงได้พบกับจางเหยา พบกันครั้งแรก เขามีสภาพอนาถกว่าที่เห็นในฝันอย่างมาก เวลานั้นเขาผอมราวไม้ไผ่ แบกตำราที่ใกล้จะขาดนั่งอยู่ในโรงน้ำชา พลางดื่มชาพลางไออย่างรุนแรง ไอจนจะสลบไป
“เจ้าป่วยไม่เบานะ” หญิงชราที่ต้มน้ำชาฟังจนอกสั่นขวัญแขวน “เจ้ารีบไปหาไต้ฟูดูเสียเถิด”
จางเหยากุมอกกระแอมไอ “ขอบคุณนะยาย ข้าเข้าเมืองหลวงจะไปหาไต้ฟูดู”
หญิงชรากังวลว่าเขาจะเดินไปถึงเมืองหลวงได้หรือไม่ เงยหน้ามองอารามดอกท้อ “เจ้าเดินขึ้นไปบนภูเขานี้ก่อน ไหล่เขามีอารามอยู่ เจ้าไปขอยาจากเจ้าอารามตรงนั้น”
จางเหยากระแอมไอพลางโบกมือ “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนักแล้ว”
“แม่นางตันจูฝีมือดีมาก พวกเรามีคนปวดหัวตัวร้อนล้วนให้นางรักษา คนที่รักษาได้นางก็ช่วยรักษาหาย หากรักษาไม่ได้ นางก็ช่วยลดอาการ จากนั้นให้ไปหาไต้ฟูในเมือง ไม่เจ็บปวดมากอีกทั้งหายได้ไว” หญิงชราแนะนำให้เขาอย่างใจดี “อีกทั้งไม่เอาเงิน…”
ต่อมาจางเหยาบอกนางว่า เพราะคำว่าไม่เอาเงิน ทำให้เขามาหานางบนภูเข
“เฮ้อ ข้ายากจน…” เขานั่งอยู่บนหินพูดอย่างเปิดเผย “มีเงินแค่ดื่มน้ำชาเพียงถ้วยเดียว ไม่มีเงินไปหาไต้ฟูด้วยซ้ำ…”
เป้าหมายของเขาไม่ใช่หาหมอไม่เสียเงิน หากแต่ต้องการหาสถานที่พักและกินอย่างไม่เสียงเงิน…ได้ยินหญิงชราพูดเรื่องเหล่านี้ เขาคิดว่าเจ้าอารามเป็นผู้ชอบช่วยเหลือ
สุดท้ายไม่คิดว่าจะเป็นวัดของตระกูล สถานที่เล็ก ด้านในมีเพียงสตรี อีกทั้งไม่ใช่สตรีที่มีอายุหน้าตาเมตตา หากแต่เป็นแม่นางอายุน้อย
แผนการของจางเหยาจึงต้องล้มเลิกไป เพียงแต่เขาหันกลับมาหาหญิงชราที่ขายน้ำชา ให้นางช่วยหาที่พักในหมู่บ้านดอกท้อ อีกทั้งมาขอยาที่ไม่เสียเงินที่อารามดอกท้อทุกวัน…
เวลานั้นเฉินตันจูกำลังศึกษาวิชาการรักษา หากจะพูดให้ถูกต้องคือยา สมุนไพร และพิษ เวลานั้นผู้ที่นำร่างของท่านพ่อและพี่สาวมาให้นางนั้น มีหมอทหารชราที่บาดเจ็บ ตระกูลเฉินนำทัพมาสามรุ่น มีผู้ติดตามจำนวนมาก เฉินตันจูจำหมอทหารชรานี้ไม่ได้ แต่หมอทหารชรานี้ก่อเพลิงเล็กขึ้นมาเฝ้าหลุมของเฉินเลี่ยหู่สามอยู่ปี”
เฉินตันจูรู้สึกว่าเขากำลังเฝ้ารักษานางเช่นเดียวกัน เวลานั้นนางล้มป่วยเกือบตาย นอกจากไต้ฟูที่หลี่เหลียงส่งมาแล้ว หมอทหารชราก็มักจะมาต้มยาสมุนไพรให้นาง
“คุณหนูตันจู ท่านต้องมีชีวิตอยู่” เขาพึมพำ “มีชีวิตอยู่ถึงจะแก้แค้นได้ หากคิดจะมีชีวิตอยู่ ท่านต้องเรียนรู้การรักษาตัวเอง”
ในสายตาเขา คนอื่นล้วนเชื่อถือไม่ได้ สามปีนั้นเขาถ่ายทอดวิชายาให้นางเสมอมา อาจเป็นกังวลว่านางจะถูกวางยาพิษเสียมากกว่า ดังนั้นตอนที่ถ่ายทอดสิ่งที่พูดมากที่สุดคือใช้พิษอย่างไรคลายพิษอย่างไร…ใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในพื้นที่ สิ่งที่มีอยู่บนภูเขา
สามปีต่อมาหมอทหารชราจากไป เฉินตันจูจึงค้นคว้าเอง ลงเขารักษาโรคให้ชาวบ้านในบางครั้ง แต่เพื่อความปลอดภัย นางจึงไม่กล้าใช้ยาตามใจ ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่จึงใช้ตนเองทดลอง
จางเหยามาขอยาทุกวัน นางจึงไม่เกรงใจ ไม่คิดว่าสองเดือนต่อมา จะรักษาอาการไอของจางเหยาจนหายดีได้
จางเหยาดีใจอย่างมาก บอกกับเฉินตันจูว่าอาการไอของเขาเกือบจะเป็นปีแล้ว บิดาของเขาตายเพราะไอ เดิมทีตนเองคิดว่าต้องตายเพราะไอเช่นเดียวกัน
ครานี้หายแล้ว เขาสามารถเข้าเมืองหลวงไปพบตระกูลพ่อตาอย่างแข็งแรงและเหมาะสมแล้ว
“ข้าจน แต่พ่อตาของข้าไม่จน” เขายืนอยู่ท่ามกลางภูเขาด้วยชุดที่พริ้วไหวไปตามสายลม