ไม่ ไม่ใช่ นางไม่สามารถรออยู่ตรงนี้
สามปีต่อมาจางเหยาถึงจะมา นางรอไม่ได้ นางต้องให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมาให้เร็ว! ให้เขาไม่ต้องทนทุกข์ขนาดนั้น…นึกถึงลักษณะที่พบจางเหยาในตอนแรก เห็นได้ชัดว่าเขาลำบากพเนจรอยู่ด้านนอก
ต้องตามหาเขาให้พบ เฉินตันจูลุกขึ้นยืน มองซ้ายมองขวา อาเถียนกระจ่างทันที ตะโกน “จู๋หลิน จู๋หลิน”
จู๋หลินลงมาจากบนต้นไม้ มาถึงด้านหน้าพวกนาง
“เจ้าไปไหน ทำไมไม่อยู่ด้านหน้า คุณหนูตามหาอยู่” อาเถียนบ่น
จู๋หลินกลอกตาขึ้นฟ้าภายในใจ ตอนสนทนากลัวเขาแอบฟัง แต่ก็อยากให้เขามาทันทีที่เรียก
“คุณหนูตันจูมีอะไรให้รับใช้ขอรับ” เขาก้มหน้าถาม
“ข้าต้องการตามหาคนผู้หนึ่ง…” เฉินตันจูพูด พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง ฉงนเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าเวลานี้จางเหยาอยู่ที่ใด
จำได้ว่าตอนนั้นเขาบอกว่าตนเองพเนจรไปทั่วไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
จู๋หลินเห็นเฉินตันจูยากที่จะพูด ภายในใจระแวงขึ้นมา หญิงสาวตรงหน้ามักจะพูดเรื่องที่น่ากลัว ไม่รู้จะพูดเรื่องที่ทำให้คนตกใจและทำยากเพียงใด
“คุณหนูพูดสิเจ้าคะ” อาเถียนเร่งเร้า “จู๋หลินทำได้ทุกอย่าง”
ไม่ เขาทำไม่ได้สักอย่าง! จู๋หลินคิดในใจ
“หากข้าต้องการหาคนผู้หนึ่ง แต่รู้เพียงชื่อของเขา อย่างอื่นล้วนไม่รู้” เฉินตันจูครุ่นคิด ถามจู๋หลิน “หาง่ายหรือไม่”
ท่านคิดว่าอย่างไร! จู๋หลินตะโกนภายในใจ หลุบตาต่ำถาม “ชื่ออะไรขอรับ”
เฉินตันจูอ้าปาก ชื่อของจางเหยามาถึงริมฝีปากก่อนจะกลืนกลับเข้าไป นางไม่อยากเสี่ยงอันตราย คนตรงหน้าเป็นคนของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ไม่เพียงไม่สนิทกับนาง เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูยังไม่ชัดเจน…
ชาตินี้ นางไม่ยอมให้จางเหยาต้องเผชิญกับอันตรายและความลำบากแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องแล้ว” นางยิ้มให้จู๋หลิน “ข้านึกออกแล้วว่าจะตามหาอย่างไร”
หลอกคน จู๋หลินคิดภายในใจ พลางตอบรับ “คุณหนูตันจูมีคำสั่งอื่นหรือไม่ขอรับ”
เฉินตันจูส่ายหัว “ไม่มีแล้ว”
จู๋หลินรีบจากไปอย่างรวดเร็ว อาเถียนมองเฉินตันจู ถามเสียงเบา “คุณหนูไม่สะดวกให้พวกเขารู้หรือเจ้าคะ ท่านต้องการตามหาคนเก่าคนนั้นใช่ไหมเจ้าคะ”
เฉินตันจูยิ้ม พยักหน้ากับนาง พูดเสียงเบา “แต่ข้ารู้ว่าจะตามหาเขาอย่างไรจริงๆ เขามีญาติอยู่ในเมือง…”
ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าจางเหยาอยู่ที่ใด แต่นางรู้จักญาติของจางเหยา หรือตระกูลพ่อตา
จางเหยายอมที่จะอยู่ในสถานที่ห่างจากเมืองหลวงเพียงหนึ่งก้าวก็ไม่ยอมไปตระกูลพ่อตา เห็นได้ชัดว่าสองตระกูลมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนัก แต่จางเหยาไม่เคยพูดใส่ร้ายตระกูลพ่อตาแม้แต่น้อย เพียงแต่พูดถึงน้อยครั้งมาก
เฉินตันจูจำได้ว่าเขาเคยพูดไว้ ตระกูลพ่อตาเปิดร้านยา พ่อตาแซ่หลิว แต่ร้านยาแซ่เฉา
“เป็นของแม่ยายข้า” เขาพูดกลั้วหัวเราะในเวลานั้น “เจ้ารู้จักตระกูลเฉาหรือไม่”
เฉินตันจูไม่สนใจเขา
“แม่ยายข้าแซ่เฉา บรรพบุรุษเป็นหมอหลวง” เขาหยอกล้อนาง “เจ้าเป็นกบในกะลา?”
หมอหลวงที่มีชื่อเสียงเพียงใดก็ไม่ได้อยู่ในสายตาท่านมหาราชครูตระกูลเฉิน เฉินตันจูขุ่นเคือง
แต่เมื่อครุ่นคิดในเวลาต่อมา จางเหยามักจะพูดว่านางเป็นใครตามใจ ไม่เหมือนคนอื่นที่เกรงกลัวว่านางจะนึกขึ้นได้ว่านางเป็นใคร ดังนั้นนางจึงอยากฟังเขาพูดอย่างไม่รู้ตัว นางย่อมไม่เคยลืมว่าตนเองเป็นใคร
“คุณหนู คุณหนู” อาเถียนเห็นนางเหม่อลอย เรียกขานเสียงเบา “ญาติเขาอยู่ที่ใด ตระกูลใด หากรู้พวกเราหาเองก็ได้แล้ว”
เฉินตันจูพยักหน้า “ไม่รีบ ข้าคิดก่อนว่าจะทำอย่างไร”
อาเถียนมองซ้ายมองขวา ก่อนจะทำหน้าเข้าใจ “ความลับ”
เฉินตันจูหัวเราะเสียงเบา ภายในใจรู้สึกมีความสุขเล็กน้อยเป็นครั้งแรก หลังจากเกิดใหม่สามารถรักษาชีวิตของคนในตระกูลได้ อีกทั้งยังพบจางเหยาได้อีกครั้ง
เพียงแต่อีกสามปีจางเหยาถึงจะปรากฏตัว
นางมองไปยังโรงน้ำชาที่เชิงเขา รู้สึกยาวนานเหลือเกิน ทันใดนั้นบริเวณเชิงเขาคึกคักขึ้นมา มีคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมา มีรถมีม้า ชายหญิงชราเด็กล้วนมี “ที่นี่หรือ” “นี่คือภูเขาดอกท้อ?” “ใช่ ไม่ผิด ที่นี่” เสียงโหวกเหวกดังขึ้น พวกเขามองซ้ายมองขวา มีคนวิ่งไปถามโรงน้ำชา “คุณหนูรองตระกูลท่านมหาราชครูเฉินอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”
อาเถียนได้ยิน พูดอย่างตะลึง “คุณหนูรอง มีคนมาหาท่าน? คนเหล่านี้คือผู้ใดกัน”
เฉินตันจูโบกพัดไปมาพลางพูด “ถึงแม้ไม่รู้ว่าผู้ใด แต่ดูเหมือนไม่ได้มาดี”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง คนที่เชิงเขามั่นใจว่าที่นี่คือภูเขาดอกท้อ มีคนเห็นหญิงสาวสองคนที่ยืนอยู่บนทางภูเขา…
“อยู่ตรงนั้น คือนาง!” คนนั้นตะโกน ชี้นิ้ว “นางคือเฉินตันจู!”
ตามการตะโกนของเขา ทุกคนล้วนมองมา ก่อนจะเปล่งเสียงตะโกนดังขึ้น
“เฉินตันจู…เหตุใดเจ้าจึงทำร้ายข้า!”
เฉินตันจูรู้สึกว่าหลายวันนี้นางทำร้ายแค่ไม่กี่คน อาทิหลี่เหลียง จางเหม่ยเหริน นางตั้งใจทำร้ายพวกเขาจริงๆ
แต่คนจำนวนมากวิ่งมาบอกว่านางทำร้ายคน แสดงว่ามีคนอื่นคิดจะทำร้ายนาง ถึงแม้คนเหล่านี้ไม่ใช่ทหารไม่ใช่แม่ทัพ อีกทั้งไม่มีชายหนุ่มอายุน้อย ไม่ใช่คนชรา ก็เป็นหญิงสาวหรือเด็กเล็ก
“ออกมา” เฉินตันจูโบกพัดไปมาตะโกนขึ้น ชี้ไปที่เชิงเขา “ไล่พวกเขาไป”
เชิงเขาภูเขาดอกท้อวุ่นวาย คนจำนวนมากที่กำลังจะเดินขึ้นเขาถูกองครักษ์ที่ปรากฏตัวขึ้นรั้งเอาไว้
บนมือของพวกเขามีอาวุธ ท่าทางคล่องแคล่ว ล้อมคนเหล่านี้เอาไว้เพียงชั่วพริบตา
“พวกเจ้าทำอันใด” คนชราที่นำหน้าตะโกน “ทำร้ายร่างกายกลางวันแสกๆ คนของตระกูลท่านมหาราชครูเฉินโหดเหี้ยมเพียงนี้หรือ”
ผู้คนบนถนนที่ถูกดึงดูดชี้นิ้วติเตือน
“ข้าต้องถามว่าพวกท่านจะทำอันใดถึงจะถูก” เฉินตันจูยืนอยู่ด้านบน โบกพัดเดินลงมาสองก้าว มองพวกเขาจากที่สูง “ภูเขานี้ท่านอ๋องมอบให้ตระกูลเฉิน เป็นสมบัติส่วนตัว”
ใช่ เป็นเช่นนี้จริง แต่ตระกูลเฉินไม่เคยจำกัดการเข้าออกภูเขาดอกท้อ ชาวบ้านเชิงเขาสามารถตัดต้นไม้ล่าสัตว์ได้ตามใจ ราษฎรสามารถปีนเขาชื่นชมทิวทัศน์ได้ แต่หากตระกูลเฉินจะรั้งเอาไว้ก็ไม่ผิดอันใด
“ข้าถามว่าพวกท่านจะทำอันใด” เฉินตันจูพูดเสียงดัง “พวกท่านเห็นว่าท่านพ่อของข้าถูกท่านอ๋องขังเอาไว้ ตระกูลเฉินใกล้จะล้ม พวกท่านจึงมารังแกหญิงอ่อนแออย่างข้า?”
ทุกคนต่างรู้เรื่องที่ท่านมหาราชครูเฉินถูกขังเอาไว้ แต่หญิงอ่อนแอน่าสงสาร…คนเชิงเขามองเฉินตันจู หญิงสาวหน้าตางดงาม องครักษ์ที่ขวางทางดูดุดัน
“ข้าจะฟ้องที่ว่าการ…” เฉินตันจูตะโกนต่อ
ผู้คนที่เดินทางมาถึงแต่ตะโกนออกมาได้เพียงประโยคเดียวสีหน้าแข็งทื่อ นี่เรียกว่าผู้ร้ายฟ้องก่อนหรือไม่ อีกทั้งหญิงสาวนี้กล้าที่จะฟ้องเสียจริง…นางเพิ่งส่งคุณชายรองตระกูลหยางเข้าคุกหลวง
หากพวกเขาก็ถูกขังเข้าคุกหลวง จะทำให้ราษฎรรู้เรื่องชั่วร้ายที่เฉินตันจูทำได้อย่างไร ไม่อาจให้หญิงสาวร้ายกาจนี้จับจุดอ่อนได้ คนชราที่เป็นผู้นำสูดลมหายใจเข้า ห้ามผู้คนโหวกเหวกด้วยความตกใจและความโกรธ
“คุณหนูตันจู เหตุใดพวกข้ามาหาท่าน เพราะท่านต้องการทำให้พวกข้าตาย” เขาพูดเสียงสั่น “พวกข้าไม่ใช่ขอทาน คนพเนจร หรือคนร้าย ตระกูลของพวกข้าล้วนเป็นขุนนางของท่านอ๋องเหมือนท่านพ่อของท่าน”
จากนั้นก็รอให้เฉินตันจูถามออกมาว่า “ในเมื่อเป็นขุนนางของท่านอ๋อง ข้าจะบังคับให้พวกท่านตายได้อย่างไร” เขาก็จะสามารถพูดต่อไปได้
แต่เฉินตันจูไม่ถาม นางใช่พัดปิดหน้าสะอื้น “ข้าไม่รู้จักพวกท่าน เวลานี้ท่านพ่อข้าเป็นขุนนางที่ถูกท่านอ๋องทอดทิ้ง”
ขุนนางที่ถูกท่านอ๋องทอดทิ้งจะถูกขุนนางอื่นรังแก
พวกท่านล้วนมารังแกข้า
นางย้อนเล่นงานอีกฝ่ายก่อน คนชราแทบจะโกรธจนหงายหลัง…เฉินตันจูนี้ไร้เหตุผลสิ้นดี!