ฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย อาเถียนเปิดม่านในรถมองออกไปด้านนอก ท่ามกลางหมอกฝนปรากฏสำนักแพทย์แห่งหนึ่ง
“หุยชุนถัง” อาเถียนหันกลับมาพูดกับเฉินตันจูเสียงเบา “ที่นี่หรือเจ้าคะ”
เฉินตันจูไม่รู้ว่าสำนักแพทย์ของพ่อเขาจางเหยาชื่ออะไร นางส่ายหัว ลงไปถามก็รู้
อาเถียนให้จู๋หลินจอดรถ ถือร่มพยุงเฉินตันจูลงจากรถเดินเข้าไปในสำนักแพทย์
สำนักแพทย์แห่งนี้ใหญ่กว่าสำนักแพทย์ของไต้ฟูชราอย่างมาก ภายในร้านมีตู้สูง โต๊ะยาว ถึงแม้จะเป็นวันฝนตก แต่คนภายในร้านมีไม่น้อย…เด็กในร้านสองคนเฝ้าดูอยู่ด้านหน้าตู้ใบหนึ่งกำลังสนทนาอะไรบางอย่าง ใจกลางโถงมีโต๊ะสำหรับนั่งตรวจ ชายชราผมขาวคนหนึ่งกำลังหลับตาจับชีพจรให้หญิงชราคนหนึ่ง เก้าอี้ไม้ติดหน้าต่างมีคนนั่งรออยู่สามคน
เฉินตันจูมองข้ามคนเหล่านี้เข้าไปยังด้านในสุดของโต๊ะด้านหน้า ชายหนุ่มอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่งหัวสวมผ้าโพกตัวสวมชุดผ้าไหมกำลังก้มหน้าพลิกดูอะไรบางอย่าง มองไม่เห็นใบหน้าของเขา…
“คุณหนู ซื้อยาหรือหาหมอขอรับ” เด็กในร้ายคนหนึ่งถาม ขวางสายตาของเฉินตันจู “หากหาหมอต้องรอขอรับ”
เฉินตันจูพูด “หาหมอ” ก่อนจะเดินไปยังเก้าอี้ไม้ริมหน้าต่าง
อาเถียนประคองนางนั่งลง สามคนที่กำลังรอคอยอยู่พูดขึ้นเสียงเบา เมื่อเห็นหญิงสาวนั่งลง สีหน้าของพวกเขาตกตะลึงเล็กน้อย…แต่งตัวไม่เหมือนคนยากจน หากหญิงสาวตระกูลชั้นสูงป่วยมักจะเชิญไต้ฟูไปที่จวน เหตุใดจึงเดินทางออกมาหาหมอเอง
แต่แผ่นดินในเวลานี้มีแต่ความแปลกประหลาด…ทั้งสามคนดึงสายตากลับก่อนจะสานต่อบทสนทนาก่อนหน้านี้ เวลานี้ทุกคนล้วนถกเถียงกันว่าจะอยู่เมืองอู๋ต่อหรือไปเมืองโจว
“…ข้าไม่อยากไป อยู่ที่นี่มาหลายชั่วโคตรแล้ว สุสานบรรพบุรุษจะทำอย่างไร”
“แต่ท่านอ๋องไปแล้ว ที่นี่จะมีคนอพยพมาจำนวนมาก จะรังแกพวกเราหรือไม่…”
เฉินตันจูไม่สนใจบทสนทนาของพวกเขา นางมัวแต่พินิจชายหนุ่มด้านหลังโต๊ะด้านหน้า ดูท่าทางอีกฝ่ายจะเป็นเจ้าของร้าน แต่ไม่รู้ว่าแซ่อะไร
“หลิวจั่งกุ้ย” คนที่รอคอยการตรวจหยุดบทสนทนาลง ก่อนจะเรียกขานมาทางโต๊ะด้านหน้า
หลิว…เฉินตันจูกำมือแน่น จางเหยาเคยบอกไว้ว่าพ่อตาเขาแซ่หลิว นางมองไปยังเจ้าของร้านด้านหลังโต๊ะด้านหน้า…หลิวจั่งกุ้ยเงยหน้าขึ้น ใบหน้าสง่างาม ท่าทางอ่อนโยน
“หลิวจั่งกุ้ย พวกท่านไปหรือไม่” คนรอตรวจถาม
หลิวจั่งกุ้ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “พวกข้าไปไม่ได้ ระยะทางไกลเกินไป พวกข้าทั้งสองต่างไม่เป็นวิชา เฝ้าสมบัติอันน้อยนิดของพ่อตาเลี้ยงชีพ หากไปถึงเมืองโจว พวกเราจะทำอย่างไร”
คนรอตรวจพยักหน้า “ใช่ สิ่งสำคัญคือการทำมาหากิน” เขาหันไปถกเถียงกับคนข้างตัวต่อ “เวลานี้เมืองโจวคงยังโกลาหลมาก พวกเราจะไปย่อมต้องรอให้มั่นคงก่อน มิเช่นนั้นคนชราเด็กเล็กในบ้านจะทำอย่างไร…”
พวกเขาพูดคุยต่อ ดวงตาของเฉินตันจูจ้องมองไปยังหลิวจั่งกุ้ย หลิวจั่งกุ้ยรับรู้ได้จึงมองมา เฉินตันจูไม่ได้หลบสายตา
“คุณหนู” หลิวจั่งกุ้ยถามอย่างอ่อนโยน “ท่านรอได้หรือไม่ อากาศไม่ดี คนก็ยังมาก ท่านให้ข้าดูให้ก่อน?”
เฉินตันจูลุกขึ้นเดินเข้าไปอย่างไม่ปฏิเสธ
“ข้าศึกษาวิชาในภายหลัง” หลิวจั่งกุ้ยพูด ก่อนจะให้เด็กในร้านยกเก้าอี้มาเชิญเฉินตันจูนั่งลง เขาหยิบหมอนวางแขนมา ก่อนจะจับชีพจรให้นางอยู่ด้านหลังโต๊ะ “ข้าดูให้คุณหนูก่อน”
หากเป็นโรคร้ายแรง เขาสามารถบอกให้ไต้ฟูดูให้นางก่อนได้
เฉินตันจูเข้าใจความหมายของเขา พยักหน้ารับ ก่อนจะยื่นมือออกมา สีหน้ายิ่งอ่อนโยนมากขึ้น
พ่อตาของจางเหยาดูท่าทางจะเป็นคนที่มีเหตุมีผล
อืม ชาติก่อนจางเหยาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องไม่ดีของพ่อตา ถึงแม้จะไม่สนิทกับพ่อตาคนนี้ แต่เพราะจางเหยารู้มารยาท ถึงแม้การพูดและการกระทำของเขาไม่สนใจกฎเกณฑ์ แต่การประพฤติของเขามีสะอาดสูงส่ง…
เฉินตันจูมองหลิวจั่งกุ้ย แต่ภายในใจล้วนมีแต่จางเหยา จางเหยาเป็นคนที่ดีมากจริงๆ
หลิวจั่งกุ้ยจับชีพจร เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบเข้ากับดวงตาแพรวพราวของหญิงสาว ราวกับกำลังยิ้มแต่ก็ราวกับรื้นไปด้วยน้ำตา…
“คุณหนู? ไม่สบายตรงไหนหรือขอรับ” เขารีบถาม ก่อนจะจับชีพจรอีกครั้ง ชีพจรไม่มีความผิดปกติ
เฉินตันจูตั้งสติกลับมา ก่อนจะส่ายหัว “ไม่มี ข้าสบายดี”
หลิวจั่งกุ้ยตอบรับ สบายดี? เป็นคำพูดเกรงใจหรือว่าสบายดีจริงๆ
“จั่งกุ้ย ท่านแซ่หลิวใช่หรือไม่” เฉินตันจูมองเขา ถามขึ้นเสียงเบา “ได้ยินว่าแต่ก่อนตระกูลท่านเป็นหมอหลวง?”
ดังนั้นจึงมาเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงหรือ ไม่ใช่ คนบริเวณใกล้เคียงล้วนรู้ว่าตระกูลเขาเป็นอย่างไร จะมีคนที่เลื่อมใสในชื่อเสียงของพ่อตาเขาที่ใดกัน
“ใช่ พ่อตาข้าแต่ก่อนเป็นหมอหลวง” หลิวจั่งกุ้ยตอบอย่างเป็นมิตร “เพียงแต่ไม่นานก็ลาออกมาเปิดสำนักแพทย์ของตนเอง ตระกูลพ่อตาข้าสืบทอดวิชาแพทย์ เสียดายที่ภรรยาข้าไม่ได้ศึกษาต่อ ส่วนข้าก็เป็นคนเรียนหนังสือ หลังจากรับมือสำนักแพทย์ของพ่อตาถึงได้เริ่มศึกษาวิชาแพทย์”
ใช่แล้ว ใช่แล้ว คือเขา เฉินตันจูพยักหน้าตอบรับอย่างดีใจ
หลิวจั่งกุ้ยผงะ ศึกษาวิชาแพทย์ภายหลังมีอะไรดี หญิงสาวนี้…
“ข้าหมายถึง หลิวจั่งกุ้ยท่านดูเป็นคนที่ดีมาก” เฉินตันจูพูด “วิชาของท่านย่อมต้องศึกษาได้ดีอย่างแน่นอน”
หลิวจั่งกุ้ยหัวเราะ “ไม่กล้าๆ วิชาของข้าทั่วไปจริงๆ” เขาเงยหน้ามองเห็นทางไต้ฟูชราสิ้นสุดการตรวจแล้ว “ซ่งไต้ฟู ท่านดูให้คุณหนูท่านนี้ก่อนเถิด”
จากนั้นยกมือขอโทษอีกสามคนที่รอคอย
ทั้งสามคนโบกมืออย่างเกรงใจ มองไปยังเฉินตันจู “ดูให้คุณหนูท่านนี้ก่อนเถิด” “พวกเรารอได้”
ถึงแม้จะตามหาพ่อตาของจางเหยาเจอแล้ว เฉินตันจูก็ไม่ได้อยู่ต่อเป็นเวลานาน นางทำเหมือนครั้งก่อนๆ เพียงแค่รับยาแล้วจากไป แต่ทันทีที่ขึ้นรถ ความดีใจของนางก็ไม่อาจซ่อนเร้นเอาไว้ได้
นางฝังหน้าลงไปยังห่อยาแอบหัวเราะขึ้นมา
ถึงแม้จะไม่ได้พูดถึงจางเหยาแม้แต่น้อย แต่นางตามหาตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดที่สุดกับจางเหยาเจอ ทำให้นางรู้สึกได้พบกับจางเหยาแล้ว
หวังเจียนไม่ได้สนใจเรื่องเที่ยวเล่นร้านยาอย่างไร้สาเหตุของเฉินตันจู หลังจากผ่านไปครึ่งเดือนเขานึกขึ้นได้ จึงถามขึ้น
“ระยะนี้คุณหนูตันจูยังไปเยือนร้านยาอยู่หรือไม่”
ถึงแม้แม่ทัพหน้ากากเหล็กจะไม่สนใจเรื่องนี้ แต่เนื่องจากครึ่งเดือนมานี้จู๋หลินเดินทางมาบ่อยครั้ง รายงานแม้แต่เรื่องเล็กน้อยของคุณหนูตันจูต่อเขา…เรื่องเหล่านี้เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย
จู๋หลินกลายเป็นคนพูดมากไปเสียแล้ว!
เมื่อได้ยินหวังเจียนถาม เขาจึงตอบ “คงยังเยือนอยู่”
หวังเจียนหัวเราะออกมา “ร้านยาทั่วเมืองถูกนางเยือนหมดแล้วกระมัง ยาที่ซื้อสามารถเปิดร้านยาได้แล้ว”
เนื่องจากฟังจู๋หลินมากไป แม่ทัพหน้ากากเหล็กจึงตอบได้ทันที “นางไม่ได้เยือนทุกร้าน ระยะนี้ไปแค่ไม่กี่ร้าน อีกทั้งมีร้านหนึ่งที่ไปบ่อยครั้ง”
หวังเจียนทำเสียงสงสัย” “หมายความว่าอย่างไร”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้เงยหน้าขึ้น “นางตามหาเป้าหมายที่ต้องการพบแล้ว”
เที่ยวเล่นร้านยาทั่วเมือง ซื้อยาจากแต่ละร้าน หาหมออะไรเป็นเพียงแค่กลอุบายลวงตาเท่านั้น เห็นได้ชัดว่านางต้องการตามหาคน ส่วนคนที่นางต้องการตามหา หากไม่ใช่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ก็คงเป็นคนที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้…หรืออาจจะเป็นทั้งสอง
ทั้งที่ตามหาจนเจอแล้ว หากเดินทางไปบ่อยๆ ก็เกรงว่าถูกคนพบเห็น แต่ละครั้งยังเดินทางไปอีกสองร้านโดยเฉพาะ…
กลอุบายนี้ ไร้เดียงสาสิ้นดี