การตายจาก? ฟังไม่เข้าใจ เด็กชายทำหน้าฉงนถึงแม้จะยังมีน้ำมูกไหลออกมา
อาเถียนเหมือนจะเข้าใจแต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณหนูเป็นรอยยิ้มที่แท้จริง ไม่ใช่การแสร้งทำเป็นดีใจ ไม่ใช่การฝืนยิ้ม…นางชะลอฝีเท้าลง
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง สายลมบนภูเขาพัดพาเสียงเรียกขานเข้าใกล้ “อาเหมา…อาเหมา…กินข้าวแล้ว”
เด็กชายที่นั่งอยู่บนพื้นในเดิมทีกระเด้งตัวขึ้นมา “พ่อข้าเรียกข้ากินข้าวแล้ว…” เขายกเท้าเตรียมจะวิ่ง แต่เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ยังโกรธอยู่ ทันใดนั้นรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย ดังนั้นจึงชะลอฝีเท้าลง
เฉินตันจูโบกมือยิ้มให้เขา “กินข้าวก่อน ค่อยออกมาวิ่งเล่นเถิด”
เด็กชายพึมพำ “ข้าไม่ได้ออกมาเล่น” พูดจบก็วิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
เฉินตันจูมองแผ่นหลังของเด็กชายที่หายลับไปท่ามกลางภูเขา อาเถียนไม่ได้เดินขึ้นหน้า หากแต่เรียกขาน คุณหนูอยู่ที่เดิม
เฉินตันจูหันหน้ามา อาเถียนโบกมือเรียกนาง “คุณหนู กินข้าวเจ้าค่ะ”
เฉินตันจูพยักหน้า ยกกระโปรงขึ้นสาวเท้าเดินมาทางนางอย่างรวดเร็ว
นายบ่าวสองคนเดินจากไปบนทางเดินของภูเขา จู๋หลินที่ยืนอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่งหันไปหาองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังต้นไม้อีกต้น ก่อนจะลงจากภูเขาไป…
…
ภายในพระราชวัง แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็กำลังกินข้าวเช่นเดียวกัน ฉากกั้นปิดบังเอาไว้ ทำให้เห็นเพียงเงาที่เลือนราง
จู๋หลินยืนรายงานอยู่อีกด้านของฉากกั้น ได้ยินเสียงกินข้าวจากอีกฝั่งหยุดลง
“ตายจากหมายความว่าอย่างไร” เสียงชราของแม่ทัพหน้ากากเหล็กคลุมเครือ “อายุเพียงเท่านี้มีการตายจากได้อย่างไร…หรือว่าหมายถึงแม่และพี่ชายของนาง”
จู๋หลินไม่รู้รายละเอียดที่ชัดเจน เพราะคุณหนูตันจูไม่ได้พูด แต่ไม่ว่าอย่างไร คุณหนูตันจูราวกับไม่ได้เศร้าโศกมากเพียงนั้น
“ไม่เศร้าโศกก็ดี ช้าคิดว่าจะป่วยหนักเหมือนครั้งก่อนเสียอีก” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ไม่เศร้าโศกมาก ชีวิตในวันต่อไปถึงจะอยู่ได้ไม่เศร้าโศกนัก”
เศร้าโศกที่ว่านี้เป็นความหมายเดียวกันหรือไม่ จู๋หลินไม่ได้ถาม แม่ทัพหน้ากากเหล็กที่อยู่ด้านในฉากกั้นไม่พูดอะไรอีก จดจ่อกับการกินข้าว
ในขณะที่จู๋หลินกำลังจะถอยออกไป องครักษ์คนหนึ่งที่เฝ้าเฉินตันจูอยู่บนภูเขาเดินเข้ามา
“เจ้ามาได้อย่างไร” จู๋หลินตะลึงเล็กน้อย “คุณหนูตันจูเกิดเรื่องอันใดหรือ”
ด้านหลังฉากกั้น เสียงกินข้าวของแม่ทัพหน้ากากเหล็กหยุดลง พลางถาม “มีเรื่องอันใด”
องครักษ์รีบรายงาน “คุณหนูตันจูลงเขาไปตระกูลเฉินอีกแล้วขอรับ”
เอ๊ะ? เพราะว่าไม่เศร้าโศก ดังนั้นจึงไม่ละทิ้งที่จะกลับตระกูลหรือ จู๋หลินสงสัย
ก่วนเจียตระกูลเฉินที่มาเปิดประตูก็สงสัยอย่างมาก
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นการสั่นคลอนอย่างมหันต์สำหรับตระกูลเฉิน เวลานี้ทุกคนยังตั้งสติไม่ได้ บรรยากาศภายในตระกูลก็ไม่ดีนัก แต่ละคนยังตกอยู่ในความฉงน อีกทั้งตั้งแต่เมื่อคืน มีคนขว้างปาสิ่งของสกปรกตะโกนก่นด่าอยู่ด้านนอกประตูอย่างต่อเนื่อง ก่วนเจียจึงให้ปิดประตูใหญ่ให้สนิท ไม่ต้องสนใจราษฎรเหล่านี้ เพียงแค่อย่าให้พวกเขาบุกรุกเข้ามาก็พอ
ก่วนเจียไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อได้ยินเสียงก่นด่าขว้างปาสิ่งของด้านนอกเริ่มหมดไป ในขณะที่กำลังจะงีบหลับสักพัก เขาก็ได้รับรายงานจากองครักษ์ว่าคุณหนูรองมา
เมื่อวานเฉินเลี่ยหู่ไม่คิดจะเฆี่ยนตีหรือสังหารเฉินตันจูอีก แต่ก็แสดงอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมรับเฉินตันจูเป็นบุตรอีก เฉินตันจูถูกขับไล่ออกจากตระกูลเฉินอย่างแท้จริงแล้ว เรื่องนี้เป็นการสั่นคลอนครั้งยิ่งใหญ่สำหรับเฉินตันจูเช่นเดียวกัน คิดว่าอีกฝ่ายก็คงข่มตานอนหลับไม่ได้ เศร้าโศก เสียใจ ไม่สบายใจ…
แต่เหตุใดผ่านไปเพียงค่ำคืนเดียวจึงมาเยือนอีกครั้ง นางคิดจะมาขอร้องนายท่านหรือ
“ให้คุณหนูรองไปเถิด” ก่วนเจียส่ายหัวอย่างระอา “นางไม่รู้นิสัยของนายท่านหรือ เมื่อตัดสินใจแล้วย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
เมื่อพูดจบ เขาก็รู้สึกสงสารอย่างอดไม่ได้ อย่างไรก็ตามคุณหนูรองอายุเพียงสิบห้า เฮ้อ…อาหารบนภูเขาดอกท้อเพียงพอหรือไม่ คุณหนูรองมีเงินหรือไม่
“ถึงแม้นางจะเสียดายแต่ก็ต้องอดทน” เขากำชับเสียงต่ำ “รออีกสักระยะก่อน ถึงแม้จะห่างจากนายท่านแล้ว แต่ภายในตระกูลยังมีคนอื่น”
องครักษ์พูดด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “คุณหนูรองมาหาท่าน”
ก่วนเจียขมวดคิ้ว “หาข้าก็ไร้ประโยชน์ ข้าเกลี้ยกล่อมนายท่านไม่ได้”
“ไม่ใช่ขอรับ” องครักษ์พูด แต่ก็รู้สึกพูดได้ไม่ชัดเจน “ท่านไปพบเถิด คุณหนูรองบอกว่ามีเรื่องที่ต้องการให้ท่านช่วย อีกทั้ง…”
เขานึกถึงท่าทางของหญิงสาวที่ยืนอยู่นอกประตู
“คุณหนูรองเหมือนว่าไม่ได้เศร้าโศกมาก”
ก่วนเจียฟังด้วยความฉงน ทำได้เพียงเดินทางไปพบอีกฝ่าย เฮ้อ อย่างไรก็ตาม เขาเห็นคุณหนูรองมาตั้งแต่เล็ก จะตัดขาดได้อย่างไร
ก่วนเจียมาถึงนอกประตู สิ่งแรกที่เห็นก็คือหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตู หญิงสาวสวมชุดที่แตกต่างจากเมื่อวาน ชุดสีเขียวอ่อนทำให้อีกฝ่ายดูสดชื่น ไร้ซึ่งสภาพน่าอนาถแต่อย่างใด หากแต่เป็นด้านหน้าประตูของตระกูลเฉินที่มีสภาพเละเทะ บนพื้น บนประตู บนกำแพงล้วนเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก
เฉินตันจูยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีความโกรธเคืองและเศร้าโศก แม้แต่คิ้วก็ไม่ขมวดแม้แต่น้อย ท่าทางสบาย ไม่สนใจแต่อย่างใด
ไม่เหมือนดั่งที่จินตนาการเอาไว้ แต่ว่าคุณหนูรองไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้แล้วจริงๆ ก่วนเจียสงสัยภายในใจ แต่ก็ละทิ้งความคิดเหลวไหลไป
“คุณหนูตันจู” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แสดงท่าทางในการพบปะแขก
เฉินตันจูไม่สนใจท่าทางของเขา เดินขึ้นหน้าพูดเสียงเบา “ฉางซาน ฉางหลินยังถูกขังอยู่หรือไม่”
ก่วนเจียไม่คิดว่านางจะถามเรื่องนี้ ทุกสิ่งล้วนเริ่มต้นมาจากหลี่เหลียง เวลานี้เกิดเรื่องมากมายเพียงนี้ เขาคิดว่าเรื่องของหลี่เหลียงจบสิ้นตั้งนานแล้ว เหตุใดคุณหนูจึงถามอีก
“ยังขังอยู่ ไม่ได้จัดการขอรับ” เขาพูด
หลังจากสังหารหลี่เหลียงแล้ว เรื่องที่ตามมามีจำนวนมากเกิน หากคุณหนูรองไม่พูด เขาคงลืมฉางซาน ฉางหลินไปแล้ว
เฉินตันจูพูด “พาข้าไปพบพวกเขา” นางพูดพลางเดินเข้าด้านในอย่างเปิดเผย ราวกับกลับจวนอย่างแต่ก่อน…
ก่วนเจียถอนหายใจ “คุณหนูตันจู…”
“หาคนสอบปากคำมาให้ข้าสองคน” เฉินตันจูพูดขัดเขา ก่อนจะข่มเสียงต่ำลง “เรื่องที่ข้าจะถามฉางซาน ฉางหลินเป็นสิ่งที่รักษาชีวิตของพวกเขาเอาไว้ พวกเขาคงไม่ยอมพูดออกมาอย่างง่ายดาย”
เรื่องสำคัญ? ก่วนเจียตะลึงภายในใจ
“เรื่องนี้ไม่ต้องบอกท่านพ่อ” เฉินตันจูพูดเสียงต่ำอีกครั้ง “ข้าถามเสร็จก็จะไป”
ก่วนเจียมองใบหน้าสงบนิ่งของหญิงสาว ไม่ทำการขัดขวางอีก เขาให้องครักษ์ไปเรียกสองคนมา ส่วนตนเองนำทางเฉินตันจูเข้าไปด้านใน
ถึงแม้เฉินตันเหยียนจะอ่อนล้า แต่เมื่อวานนอนหลับสนิทยิ่งกว่าเวลาอื่น
เฉินเลี่ยหู่ขอลาท่านอ๋อง กลายเป็นคนทรยศไร้คุณธรรมในที่สุด ชื่อเสียงของตระกูลเฉินพังทลายลง แต่ก็เหมือนดั่งหินก้อนใหญ่บนหน้าอกถูกวางลง ทำให้สบายยิ่งขึ้น
หลังจากเฉินตันเหยียนตื่นขึ้นมาก็ดื่มยาก่อน จากนั้นสาวรับใช้ยกข้าวเข้ามา ข้าวหนึ่งถ้วยเล็กกับผักสองจานเล็ก ถึงแม้ว่าจะน้อยแต่เฉินตันเหยียนก็ยังต้องบังคับให้ตนเองกินลงไป ท่านพ่อ น้องสาวและตระกูลกลายเป็นเช่นนี้ นางไม่อาจล้มลงได้
เพียงแต่ครานี้เมื่อยกข้าวขึ้น นางก็รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา นางหันไปอาเจียน สาวใช้ด้านข้างหยิบกะละมังออกมาได้ทันเวลา แต่เฉินตันเหยียนเพียงแค่อาเจียนน้ำออกมาไม่กี่คำ
“เรียกไต้ฟู” เสี่ยวเตี๋ยเรียก
สาวใช้ด้านข้างรีบพูดขึ้น “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนูแพ้ท้อง อาการแพ้ท้องของคุณหนูมาช้า…” นางยังพูดไม่ทันจบก็เงียบลง ก้มหน้าต่ำ
เฉินตันเหยียนลูบท้องด้วยสีหน้าเหม่อลอย ร่างกายผอมบางของนางในเวลานี้สามารถเห็นท้องน้อยที่นูนขึ้น เสี่ยวเตี๋ยรู้สึกโศกเศร้า กัดฟันไม่พูดเรื่องนี้ “ให้ไต้ฟูมาดูเถิด อย่างน้อยถามว่าจะเปลี่ยนอาหารให้ถูกปากได้อย่างไร”
สาวใช้ตอบรับก้มหน้ากำลังจะถอยออกไป แต่เฉินตันเหยียนเรียกนางเอาไว้ “ไม่ต้อง ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” พูดจบก็ก้มหน้ากินข้าวทีละคำ ไม่มีอาการอาเจียนอีก
เสี่ยวเตี๋ยไม่รู้สึกผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ภายในใจยิ่งเศร้าโศก นางโบกมือกับสาวใช้คนนั้น ก่อนจะปรนนิบัติเฉินตันเหยียนกินข้าวด้วยตนเอง พลางรายงานเสียงเบาว่านายท่านตื่นแล้ว กินอะไรบ้าง เมื่อคืนเหล่าฮูหยินนอนหลับดี ทำให้เฉินตันเหยียนรู้สึกสบายใจ ในขณะที่กำลังพูด มีสาวใช้เดินเข้ามาจากด้านนอกส่งสายตาให้นาง
เสี่ยวเตี๋ยมองเฉินตันเหยียนที่จดจ่ออยู่กับการกินข้าว นางเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ถาม “มีเรื่องอันใด”
นางให้สาวรับใช้จับตาดูเรื่องของด้านนอก ถึงแม้ภายในตระกูลมีผู้อาวุโสอยู่ แต่จากสถานการณ์ในเวลานี้ นางต้องรู้ทันเหตุการณ์ ถึงจะสามารถรับมือได้ทันเวลา
สาวรับใช้พูดเสียงเบา “คุณหนูรองมา”
เสี่ยวเตี๋ยเลิกคิ้วขึ้น คุณหนูรอง… “มีก่วนเจียรั้งเอาไว้อยู่”
สาวรับใช้ส่ายหัว พูดเสียงเบา “ก่วนเจียพาคุณหนูรองเข้ามาแล้ว”
ก่วนเจียเสียสติไปแล้วหรือ เสี่ยวเตี๋ยขมวดคิ้ว
“แต่ไม่ได้ไปหานายท่าน” สาวรับใช้พูดต่อ นางแอบตามไปดูแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าเข้าใกล้มาก ดังนั้นจึงฟังที่พวกเขาพูดได้ไม่ชัด “ได้ยินเพียงเลือนรางว่ามีชื่อของ ฉางซาน ฉางหลิน”
ฉางซาน ฉางหลิน? เสี่ยวเตี๋ยรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา มีส่วนเกี่ยวข้องกับกูเหยีย?
“นางหาพวกเขาทำอันใด” เสียงของเฉินตันเหยียนดังขึ้นจากด้านหลัง
เสี่ยวเตี๋ยและสาวรับใช้ตกใจ หันกลับไปพบว่าเฉินตันเหยียนยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้
“ไม่ได้ถามหมดแล้วหรือ” เฉินตันเหยียนพูด ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้ถามเรื่องของหลี่เหลียงอีกจะมีความหมายอันใด ไม่ว่าหลี่เหลียงทรยศหรือไม่ ตระกูลเฉินก็ทรยศท่านอ๋องอู๋อย่างแท้จริง
สาวรับใช้ส่ายหัว “ไม่รู้ว่าเรื่องอันใดเจ้าค่ะ แต่ คุณหนูรองจากไปด้วยความโกรธอย่างมาก”